บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1436 แสวงหาเต๋า
บทที่ 1436 แสวงหาเต๋า
บทที่ 1436 แสวงหาเต๋า
แม้แต่เหล่าเซียนและปีศาจก็ยังหลีกหนีจากมัน ขณะที่ทวยเทพก็มิอาจสั่นคลอนมันได้!
นี่คือคำกล่าวขานที่มีต่อคุกเนตรเซียนแห่งภพเซียน และเป็นคุกของมหาเต๋าที่มีชื่อเสียง
เมื่อนานมาแล้ว เฉินซีได้ทราบจากไป๋หว่านฉิง ว่าตั้งแต่มารดาของเขาถูกจับกุมและนำกลับมายังภพเซียน นางก็คุมขังอยู่ในคุกเนตรเซียนมาโดยตลอด
และรู้ด้วยว่า สมาชิกของตระกูลจั่วชิวส่วนหนึ่งคอยแอบดูแลจั่วชิวเสวี่ย ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของนางมากนัก
แต่ทันทีที่ตระกูลเซวียนหยวนประกาศต่อภพเซียนทั้งหมด ว่าจะสนับสนุนเขา มันย่อมทำให้ตระกูลจั่วชิวเริ่มเคลื่อนไหว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เฉินซีจะกล้าประมาทได้อย่างไร?
ทว่าปฏิกิริยาของเขาต่อกลับเรียบง่ายมาก เพียงขอให้อาซิ่วคอยเฝ้าระวังต่อสถานการณ์ภายในตระกูลจั่วชิวอยู่ตลอดเวลา และเขาจะลงมือทันทีที่เกิดความขัดแย้งภายใน!
หากช่วงเวลานั้นมาถึงจริง ๆ นั่นหมายความว่าชายหนุ่มได้ประกาศสงครามกับตระกูลจั่วชิวโดยสมบูรณ์!
แน่นอนว่า เฉินซีทำได้เพียงสงบใจ และอาศัยอยู่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า จนกว่าเวลานั้นจะมาถึง ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อที่จะเพิ่มพูนพลังฝีมือและเตรียมพร้อมที่จะช่วยเหลือมารดาของตน
…
อาซิ่วรีบออกไปทำตามคำสั่ง เหลือเพียงเฉินซีอยู่ตามลำพัง ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ๆ และกลับเข้าสู่โลกแห่งดาราไป
เหนือเต๋าแห่งปราชญ์ คือมหาเต๋าแห่งราชันเซียน หากข้าต้องการทะลวงสู่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น ข้าจะต้องเริ่มต้นด้วยมหาเต๋าทั้งสาม ได้แก่ เวลา มิติ ชีวิต และความตาย…
เฉินซีนั่งขัดสมาธิในขณะที่หลับตาครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยแสงของดวงดาวอันเย็นยะเยือก ในขณะที่สภาพแวดล้อมโดยรอบเริ่มเปล่งประกายรัศมีของเต๋าแห่งปราชญ์ มันทั้งสุกใส เจิดจ้า และสว่างไสวไปทั่วสวรรค์ทั้งเก้า
หลังจากที่กลับมาจากภพมนุษย์ในวันนั้น เขาได้ฝึกฝนในโลกแห่งดารามาเป็นเวลาสิบห้าปี ในที่สุด ก็สามารถหลอมรวมตราศักดิ์สิทธิ์แห่งนิจกาลเข้ากับเต๋าแห่งปราชญ์ และบัญญัติเต๋าแห่งปราชญ์ยันต์อักขระของตนเองได้อย่างสมบูรณ์!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในแง่ของการบ่มเพาะ เฉินซีได้บรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์ขั้นสมบูรณ์แล้ว ทั้งยังบัญญัติเต๋าแห่งปราชญ์ของตัวเองได้!
ในขณะนี้ ทุกการเคลื่อนไหวทำให้ดูเหมือนปราชญ์ได้ลงมายังโลก และทุกคำพูดก็เปี่ยมด้วยพลังแห่งปัญญา ถ้าเป็นในยุคบรรพกาล มันก็เพียงพอที่จะก่อตั้งนิกาย และถ่ายทอดเต๋าไปทั่วใต้หล้า
กล่าวได้ว่า เฉินซีได้กลายเป็นตัวตนที่สามารถบดขยี้ผู้บ่มเพาะที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันได้ทั้งหมด
นั่นเป็นเพราะ รากฐานของเฉินซีลึกล้ำกว่าคนอื่น ๆ เกือบร้อยเท่า ทั้งยังคว้าสุดยอดมรดกของยันต์เทวะอนันต์แห่งเขาเทพพยากรณ์ และการบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่ก็บรรลุขอบเขตเซียนกระบี่ขั้นสมบูรณ์ ตอนนี้เขาได้บัญญัติเต๋าแห่งปราชญ์ยันต์อักขระของตนเอง เมื่อรวมทั้งหมดนี้เข้าด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าพลังฝีมือของชายหนุ่มนั้นน่าเกรงขามเพียงใด
พลังฝีมืออันยอดเยี่ยมดังกล่าวสามารถอธิบายได้ว่า ไม่เคยมีมาก่อนในโลก แต่ขอบฟ้าของเฉินซีได้แตกต่างไปจากเดิม สายตาของเขาจับจ้องเส้นทางสู่การเป็นเทพมานานแล้ว
ท้ายที่สุด สำหรับเฉินซี ขอบเขตเซียนปราชญ์เป็นเพียงก้าวแรกสู่เส้นทางของการเป็นเทพเท่านั้น ยังมีขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น ขอบเขตราชันเซียน ขอบเขตเทวา และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นดั่งยอดเขาสูงชันที่ต้องปีนขึ้นไป
ในทางกลับกัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อแก้แค้นตระกูลจั่วชิว หรือต่อต้านนิกายอำนาจเทวะ พลังเพียงเท่านี้ย่อมไม่เพียงพอ ถึงขั้นที่การบ่มเพาะกลายเป็นข้อบกพร่องประการเดียวในแผนการของเขา
มิฉะนั้น เขาคงบุกทลายตระกูลจั่วชิวไปนานแล้ว
แน่นอน สิ่งเดียวที่เฉินซีต้องทำตอนนี้ คือพัฒนาพลังฝีมือ และพุ่งทะลวงเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น!
…
ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น คือจุดแบ่งระหว่างขอบเขตเซียนปราชญ์กับขอบเขตราชันเซียน และแม้ว่ามันจะอยู่ห่างจากขอบเขตราชันเซียนเพียงแค่ครึ่งขั้น แต่ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับขอบเขตราชันเซียนที่แท้จริงได้
แต่ถึงกระนั้น มันไม่ง่ายเลยที่จะก้าวจากขอบเขตเซียนปราชญ์ไปสู่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น ในทางกลับกัน ผู้ที่เป็นอวเซียนปราชญ์ก็ไม่มีความหวังที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตนี้แม้แต่น้อย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีเพียงเซียนปราชญ์โดยกำเนิดเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติในการแสวงหาขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น และความยากในการบรรลุเป้าหมายนี้ก็ยิ่งใหญ่นัก
เหตุผลก็คือ ก่อนที่จะพุ่งทะลวงเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น ภูเขาขนาดมหึมาทั้งสามของกาลเวลา มิติ ชีวิต และความตาย ได้ขวางอยู่บนเส้นทางนี้
มีเพียงต้องเข้าใจกฎสูงสุดทั้งสามนี้ และบรรลุความเชี่ยวชาญเบื้องต้นเท่านั้น จึงจะสามารถก้าวผ่านเกณฑ์ของขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นได้ มิฉะนั้น ไม่ว่าจะฝึกฝนอย่างขมขื่นนานเพียงใด ก็ไม่อาจก้าวข้ามขอบเขตเซียนปราชญ์ไปได้
เฉินซีไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกฎแห่งกาลเวลาเลยสักนิด
ทั้งยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกฎแห่งชีวิตและความตายเช่นเดียวกัน
เฉินซีมีความสำเร็จในกฎแห่งมิติเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งห้วงมิติที่เขาครอบครองอยู่ตอนนี้ ได้บรรลุระดับกระเพื่อมห้วงมิติแล้ว และมันเพียงพอที่จะเปรียบเทียบกับราชันเซียนครึ่งขั้น
ดังนั้นหากเฉินซีต้องการก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น เขาก็ต้องเข้าใจกฎแห่งกาลเวลา พร้อมกับกฎแห่งชีวิตและความตาย เพื่อทะลวงมันไปให้ได้
อย่างไรก็ดี แม้จะต้องเข้าใจกฎเหล่านี้ทั้งหมด แต่การจะเข้าใจพวกมันจนถ่องแท้ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน
ตัวอย่างเช่น เฉินซีที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในโลกแห่งดารา พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับกาลเวลา ชีวิตและความตายอย่างไม่หยุดยั้ง แต่กลับไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย ทั้งยังไม่อาจสัมผัสถึงเกณฑ์ของการรู้แจ้ง นับประสาอะไรกับการเข้าใจความลึกล้ำของมัน
ไม่ได้การแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้อีกต่อไป ข้าก็จะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
ทันใดนั้น เฉินซีก็ลืมตาขึ้น คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
ตามแผนที่วางไว้ เขาต้องบรรลุขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นภายในเวลาหนึ่งร้อยปี
เพราะหากคาดการณ์ไม่ผิด ความขัดแย้งภายในตระกูลจั่วชิวจะปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์ภายในหนึ่งร้อยปีข้างหน้า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากยังไม่บรรลุขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น แม้จะสามารถพึ่งพาพลังของผู้อื่นเพื่อแก้แค้นตระกูลจั่วชิว แต่เขาจะเป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น และไม่สามารถลงมือด้วยตนเอง
ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เฉินซีต้องการ
ในท้ายที่สุด เฉินซีตัดสินใจที่จะขอคำชี้แนะจากเหล่าผู้อาวุโสในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เพราะหลังจากลองพยายามด้วยตัวเองแล้ว เขาก็ตระหนักว่าสิ่งที่ตนทำนั้นช่างเสียเวลาเปล่าจริง ๆ
…
สำนักจักรพรรดิเต๋า ณ ยอดเขาลับกระบี่
นี่คือที่พำนักของหัวเจี้ยนคง และเป็นสถานที่บ่มเพาะ
ยอดเขาลับกระบี่ เป็นยอดเขาเดียวที่ตั้งตระหง่านขึ้นไปบนท้องฟ้า และมันก็ดูเหมือนกระบี่ที่ไร้ผู้เปรียบ ซึ่งแทงทะลุผืนนภา ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ต้นไม้ ก้อนหิน เม็ดทราย… แม้แต่อากาศ ก็เต็มไปด้วยเจตจำนงกระบี่อันหนาแน่นที่คุกคามอย่างยิ่ง
หากศิษย์ธรรมดาทั่วไปมายังที่แห่งนี้ ก็คงไม่อาจขึ้นสู่ยอดเขาได้ เป็นเพราะเจตจำนงกระบี่นั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป ดังนั้นเมื่อมีผู้ฝืนขึ้นไป ก็จะมีแต่นำไปสู่การบาดเจ็บ หรืออาจล้มตายได้
“เจ้าจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นหรือ?” บนจุดสูงสุดของยอดเขาลับกระบี่ หัวเจี้ยนคง ผู้ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว และจ้องมองเฉินซีด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้ว” เฉินซีพยักหน้า หลังจากตัดสินใจขอความช่วยเหลือ เขาก็มุ่งมายังสถานที่แห่งนี้ทันที
หัวเจี้ยนคงมีนิสัยเก็บตัวและห่างเหินอยู่เสมอ ทว่าเมื่อเฉินซีมาขอคำชี้แนะ เขาไม่ถามอะไรสักคำ ทั้งยังไม่กล่าวถึงความจริงที่ว่า เฉินซีเพิ่งบรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์เมื่อไม่นานมานี้ หรือบางทีเขาอาจไม่เคยสนใจต่อเรื่องนี้ ดังนั้นหลังจากที่ได้รับคำยืนยันจากเฉินซี และกล่าวว่า “ตามข้ามา”
พูดจบก็หันหลังและเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติไป
ท่าทางที่เด็ดขาดเช่นนี้ ทำให้เฉินซีตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ ชายหนุ่มรีบไล่ตามหัวเจี้ยนคง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว ใครบอกว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเข้ากับผู้อาวุโสหัวเจี้ยนคง? แม้ภายนอกจะเย็นชา แต่ภายในกลับอบอุ่นยิ่ง…
…
ในเวลาเดียวกัน ณ ตระกูลจั่วชิวของทวีปเนตรสวรรค์
“ตระกูลเซวียนหยวน! เพื่อไอ้สารเลวนั่น พวกเจ้าไม่ลังเลที่จะเป็นศัตรูกับตระกูลจั่วชิว!” ภายในห้องโถงใหญ่ จั่วชิวเฟิงโกรธจนแทบกระอักเลือด แผ่นหยกในมือถูกบดขยี้เป็นผุยผง เห็นได้ชัดว่าเขาโมโหเพียงใด
“ท่านประมุข ใต้เท้าเว่ยมาถึงแล้ว” ทันใดนั้น ชายชราที่ดูเหมือนพ่อบ้านก็ปรากฏตัวที่นอกห้องโถง และกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ดวงตาของจั่วชิวเฟิงหรี่ลง จากนั้นเขาก็สุดหายใจเข้าลึก ๆ ใบหน้าฟื้นคืนความสงบ แล้วโบกมือ “รีบเชิญใต้เท้าเว่ยเข้ามา”
สิ้นเสียงพูด เว่ยซิงที่สวมเสื้อคลุมสีม่วงและมีท่าทางประณีตก็รีบเข้าไปในห้องโถง “ท่านประมุขจั่วชิวคงจะไม่พอใจกับการประกาศของตระกูลเซวียนหยวนกระมัง?”
“ฮึ่ม! ใต้เท้าเว่ย หรือท่านจะมาเยาะเย้ยข้า?” จั่วชิวเฟิงแค่นเสียงเย็น
เว่ยชิงนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านประมุขจั่วชิว ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าบังเอิญมาที่นี่ก็เพื่อช่วยตระกูลจั่วชิวแก้ไขปัญหานี้”
“ข้าได้โน้มน้าวผู้อาวุโสในนิกาย และสามารถระดมกองกำลังบางส่วน เพื่อสนับสนุนตระกูลจั่วชิวให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้!” เว่ยซิงเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ตราบใดที่ตระกูลจั่วชิวยินดีที่จะร่วมมือกับข้าต่อไป ไม่ต้องพูดถึงตระกูลเซวียนหยวน แม้ว่าจะมีกองกำลังนอกจากตระกูลเซวียนหยวน ก็ไม่อาจจะทำอะไรเราได้”
ดวงตาของจั่วชิวเฟิงหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนที่จะเปล่งแสงประกายเจิดจ้าออกมา ก่อนจะถามหยั่งเชิง “ใต้เท้าเว่ย หรือว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ของนิกายท่าน จะเข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้?”
เว่ยซิงส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ท่านประมุขจั่วชิว ไม่จำเป็นต้องคาดเดา ข้าจะถามคำถามท่านเพียงคำถามเดียว ท่านยินดีที่จะร่วมมือหรือไม่?”
จั่วชิวเฟิงคำรามลั่น “การร่วมมือย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่ข้าอยากรู้ว่าวัตถุประสงค์ของใต้เท้าเว่ยคืออันใด?”
เว่ยซิงชูนิ้วหนึ่งนิ้ว “ข้ามีเงื่อนไขเดียวเท่านั้น ฆ่าเจ้าเด็กเฉินซีภายในเวลาหนึ่งร้อยปี!”
“ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?” จั่วชิวเฟิงเลิกคิ้วขึ้น
“กล่าวตามตรง ถ้าไม่ใช่เพื่อฆ่าเจ้าเด็กเฉินซีนั่น ท่านคิดว่าข้าจะเป็นฝ่ายขอความร่วมมือจากตระกูลจั่วชิวหรือ?” เว่ยซิงกล่าวช้า ๆ
ความหมายเบื้องหลังคือ ไม่ว่าตระกูลจั่วชิวจะพิเศษเพียงใด เขาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตระกูลจั่วชิวอย่างจริงจัง และเหตุผลเดียวที่ร่วมมือกันในตอนนี้ คือการมีศัตรูร่วมกันเท่านั้น
คำพูดเหล่านี้ตรงไปตรงมา และทำให้สีหน้าของจั่วชิวเฟิงดิ่งลงเล็กน้อย แต่หลังจากนั้น เขาก็พยักหน้า “ตกลง ข้ายอมรับเงื่อนไขนี้ แต่ข้าขอแนะนำว่าอย่าพยายามในสิ่งที่ท่านไม่ควรได้รับ!”
คำพูดนี้มีร่องรอยของการเตือน แต่เว่ยซิงแสร้งเป็นไม่ได้ยิน เขาหัวเราะอย่างร่าเริง “ทางเลือกของท่านประมุขจั่วชิวคือตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย”
ขณะที่กล่าว เขาก็พลันพลิกฝ่ามือขึ้น เรียกตราคำสั่งโบราณขึ้นมา ก่อนจะกล่าวอย่างภาคภูมิ “ข้าคิดว่าผู้นำตระกูลจั่วชิวคงทราบดีว่า นิกายของข้าได้วางเบี้ยไว้มากมายในภพเซียน และบัดนี้ เบี้ยเหล่านี้จะกลายเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา! หากเป็นเช่นนี้ ตระกูลเซวียนหยวนจะมีอะไรให้ต้องกลัวอีก?”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ จั่วชิวเฟิงพลันรู้สึกปลอดโปร่งทันที ความปั่นป่วนในใจถูกขจัดออกไปจนสิ้น