บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1435 คู่หมั้นก่อนที่จะเกิด
บทที่ 1435 คู่หมั้นก่อนที่จะเกิด
บทที่ 1435 คู่หมั้นก่อนที่จะเกิด
ณ ห้องกระบี่
เฉินซีกำลังอ่านแผ่นหยก แผ่นหยกนี้ได้บันทึกข่าวลือต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หลังจากการประกาศของเซวียนหยวนพั่วเซียว
อาซิ่วเป็นผู้ส่งแผ่นหยกมาให้ และตอนนี้นางก็นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างเกียจคร้าน
“มีคนคิดว่าเราเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันจริง ๆ หรือ?” เฉินซีวางแผ่นหยกลง แล้วมองอาซิ่วด้วยสีหน้าแปลก ๆ
อาซิ่วย่นริมฝีปากเล็ก ๆ ของนาง แล้วกล่าวอย่างสบาย ๆ “มันก็แค่การเดาเท่านั้น หรือว่าเจ้าจริงจัง?” ขณะที่กล่าว ดวงตาสุกใสก็กลอกไปมา พลางมองเฉินซีด้วยสายตางดงาม
สายตาที่หยาดเยิ้ม มีเสน่ห์จนน่าหวั่นใจอย่างยิ่ง
เฉินซีไอแห้ง ๆ และรีบเปลี่ยนหัวข้อ “แต่ครั้งนี้ ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้าจริง ๆ กล่าวตามตรง การได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากตระกูลเซวียนหยวนนั้น ได้เกินความคาดหมายของข้ามาก”
“เจ้าไม่ได้มอบผลวิญญาณเต๋าให้กับท่านปู่ของข้าหรือ? ถ้าขนาดนั้นยังคงไม่แสดงท่าทีใด ๆ เขาก็คงเกินไปจริง ๆ” อาซิ่วกล่าวอย่างสบาย ๆ
“ท่านปู่หรือ?” เฉินซีประหลาดใจ “ผู้อาวุโสเซวียนหยวนพั่วเซียว คือปู่ของเจ้าหรือ?”
อาซิ่วกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ทั่วทั้งภพเซียนล้วนรู้เรื่องนี้ เจ้านี่มัน… สมองทึบจริง ๆ”
เฉินซีรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับชาติกำเนิดของอาซิ่วเลยจริง ๆ และเพียงตระหนักว่านางเป็นองค์หญิงน้อยของตระกูลเซวียนหยวน ส่วนบิดามารดาและบรรพบุรุษเป็นใครนั้น เขาไม่เคยรู้เลย
ไม่ใช่ว่าไม่กังวลเกี่ยวกับนาง แต่เป็นเพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย ความสัมพันธ์ของเรา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความโดดเด่นของนาง
“ช้าก่อน” ทันใดนั้น เฉินซีก็ส่ายศีรษะ
“อะไรหรือ?” อาซิ่วเลิกคิ้วขึ้นอย่างฉับพลัน
“เมื่อข้าเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิด เจ้าบอกว่าตระกูลเซวียนหยวนจะสนับสนุนข้า และข้ายังไม่มีโอกาสมอบผลวิญญาณเต๋าในเวลานั้น” ขณะที่กล่าว เฉินซีมองไปที่อาซิ่วด้วยสีหน้าจริงจัง “อาซิ่ว ข้ามีคำถามอยู่ในใจเสมอ เจ้าบอกข้าตามตรงได้หรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงช่วยเหลือข้าอยู่เสมอ?”
คำถามนี้ถูกเก็บอยู่ในใจของเฉินซีมานานเกินไป ไม่ใช่ว่าสงสัยอาซิ่วว่ามีเจตนาแอบแฝง แต่เป็นเพราะตลอดช่วงระยะเวลาที่รู้จักกัน นางมักจะให้ความช่วยเหลืออย่างเงียบ ๆ ซึ่งจนถึงตอนนี้ นางยังทำให้ทั้งตระกูลเซวียนหยวนสนับสนุนเขา หากยังแสร้งไม่รับรู้ เขาก็ไม่ต่างอะไรกับคนเนรคุณ
ในขณะนี้ ใบหน้าของเฉินซีกลับจริงจังอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน สายตาลึกซึ้ง ทำให้อาซิ่วตื่นตระหนกในใจ และไม่กล้าสบตาตรง ๆ
หญิงสาวก้มศีรษะลง คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ใบหน้าที่งดงามเต็มไปด้วยท่าทางลำบากใจ ดูลังเลมาก
เฉินซีไม่รีบร้อน และเพียงมองดูอย่างใจเย็น
บรรยากาศเงียบงันไปชั่วขณะหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน อาซิ่วก็กัดฟันและเงยหน้าขึ้น นางจ้องมองเฉินซีอย่างไม่พอใจ ก่อนจะกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เอาล่ะ ข้าจะบอกเจ้าก็ได้”
เฉินซียิ้ม “ข้าไม่ได้บังคับเจ้า แต่… เจ้าช่วยข้ามามากเกินไป หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคงไม่สามารถกินอิ่มนอนหลับได้อย่างสบายใจ”
“เจ้าหมายความว่าอะไร ที่บอกว่าไม่สามารถกินอิ่มนอนหลับได้? ดูเหมือนในสายตาเจ้า ข้าคงน่าสงสัยมากสินะ” อาซิ่วทำเสียงฮึดฮัด จากนั้นก็กัดริมฝีปากที่ชุ่มชื้นของตน แล้วถอนหายใจเบา ๆ “อันที่จริง… เจ้าจะเข้าใจทุกอย่าง หลังจากที่เจ้าช่วยท่านป้าจั่วชิวเสวี่ยได้แล้ว”
ดวงตาของเฉินซีเบิกกว้างทันที หรือว่าทั้งหมดนี้… จะเกี่ยวข้องกับท่านแม่? สิ่งนี้เกินความคาดหมายของเขาจริง ๆ
“ข้าจะกล่าวอย่างไรดี… มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ในเวลานั้น บิดาของข้ายังไม่ใช่ผู้นำของตระกูลเซวียนหยวน และครั้งหนึ่ง เขาเคยเดินทางไปยังภพเซียนกับท่านป้าจั่วชิวเสวี่ย…” อาซิ่วหายใจเข้าลึก ๆ และเล่าทุกสิ่งให้ฟัง เสียงของนางชัดเจน ไพเราะ และน่าฟัง ดังก้องกังวานไปทั้งเคหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ปรากฏว่า บิดาของอาซิ่ว ที่มีนามว่าเซวียนหยวนเส้า ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลเซวียนหยวน เมื่อครั้งยังหนุ่ม เขาเป็นหนึ่งในผู้คนที่ชื่นชอบจั่วชิวเสวี่ย เพื่อให้ได้หัวใจของโฉมงาม เซวียนหยวนเส้าจึงออกจากตระกูลเพื่อติดตามจั่วชิวเสวี่ย ไม่ว่านางจะไปที่ไหนมาสองสามร้อยปี
น่าเสียดายที่ความรักของเขาไม่สมหวัง จั่วชิวเสวี่ยมองว่าเซวียนหยวนเส้าเป็นพี่ชายอยู่เสมอ และเซวียนหยวนเส้าก็ทราบเรื่องนี้ดีเช่นกัน ดังนั้นแม้จะรู้สึกหดหู่ใจ แต่เขาก็ยังไม่ละความพยายาม น่าเสียดายที่หลังจากผ่านไปหลายปี ก็ยังคงไม่สามารถสั่นคลอนหัวใจของจั่วชิวเสวี่ยได้ เขาจึงได้แต่ต้องยอมแพ้
อย่างไรก็ตาม เซวียนหยวนเส้าเป็นชายที่แปลกประหลาด หลังจากที่เขาประสบกับรักที่ไม่สมหวัง เขาก็รู้แจ้งอย่างสมบูรณ์ และหยุดหลงใหลจั่วชิวเสวี่ย และถือนางเป็นสหายคู่กายแทน
ต่อมา เขายังได้ทำข้อตกลงกับจั่วชิวเสวี่ย ว่าเมื่อใดที่พวกเขามีบุตรชายและบุตรสาว เด็กสองคนนี้จะต้องแต่งงานกัน และอาจถือว่าเป็นโชคชะตาที่มีความสุข
จั่วชิวเสวี่ยก็เห็นด้วย ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งควรกล่าวถึงคือ ในเวลานั้นจั่วชิวเสวี่ยยังคงไร้คู่บำเพ็ญเพียร เฉินหลิงจวิน บิดาของเฉินซียังไม่ได้ปรากฏตัว…
หลังจากที่รู้เรื่องนี้ทั้งหมด กรามของเฉินซีก็แทบจะกระแทกพื้นด้วยความตกใจ “ด้วยเหตุนี้ เราสองคน… อาจเป็นคู่หมั้นก่อนที่จะเกิด?”
เมื่อนางได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ ใบหน้าที่งดงามของอาซิ่วก็แดงระเรื่อ พลางกล่าวอย่างขุ่นเคือง “นั่นเป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นระหว่างบิดาของข้ากับมารดาของเจ้า มันไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลย!”
เฉินซีเกาศีรษะอย่างกระอักกระอ่วน “เอ่อ ข้าแค่ตกใจเล็กน้อย ถ้าเราเป็นชายหรือหญิงทั้งคู่ แล้วเจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับข้อตกลงของพวกเขา?”
แต่ดูเหมือนนางจะเตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว จึงตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “พวกเราก็จะกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานน่ะสิ”
เฉินซีถึงกับพูดไม่ออก “นั่นเป็นความคิดที่ดีจริง ๆ”
“ฮึ่ม! อย่าคิดว่าข้าโง่พอที่จะชอบเจ้า และตั้งใจที่จะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเจ้า!” อาซิ่วเหลือบมองเฉินซีอย่างภาคภูมิ “ตอนข้ารู้เรื่องนี้จากท่านพ่อ ข้าโกรธมาก เพราะตอนนั้นข้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ แล้วเขาจะหาคู่บำเพ็ญเพียรให้ข้าได้อย่างไร? ดังนั้น ข้าจึงแอบออกจากตระกูลในยามวิกาล และมุ่งหน้าไปยังภพมนุษย์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากท่านลุงบรรพบุรุษของข้า”
เฉินซีตกตะลึง “ตอนนั้นคงไม่ได้มาหาข้า ใช่หรือไม่?”
อาซิ่วทำเสียงฮึดฮัด “แน่นอนว่าใช่! ในเวลานั้น ข้าคิดอยู่ตลอดเวลา ว่าควรจะมอบบทเรียนให้กับเจ้าอย่างไรดี และจะทำให้เจ้าเลิกคิดเช่นนั้นอย่างเชื่อฟัง ถึงขนาดที่ถ้าไม่มีทางเลือกอื่น ข้าก็จะฆ่าเจ้า!”
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ นางจ้องเฉินซีเขม็ง จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา หัวเราะจนดวงตากลายเป็นจันทร์เสี้ยวสองซีก “โชคดีที่เมื่อข้าได้พบกับเจ้า ข้าค่อนข้างประทับใจไม่น้อย และอาหารที่เจ้าปรุงก็อร่อยมาก ดังนั้นข้าจึงไว้ชีวิตเจ้า!”
เฉินซีถึงกับไร้คำพูด เรื่องนี้กลับมีที่มาเช่นนี้นี่เอง! แม้จะรู้ว่าอาซิ่วมักชอบพูดล้อเล่นเป็นส่วนใหญ่ แต่ข้อเท็จจริงอาจเป็นเช่นนั้น และสิ่งนี้ก็อธิบายทุกการกระทำของอาซิ่วได้อย่างสมบูรณ์ ว่าเหตุใดนางถึงพยายามช่วยเหลือเขาเมื่อตอนอยู่ในภพมนุษย์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ตอนนี้ ตระกูลเซวียนหยวนได้ประกาศว่าจะสนับสนุนเขา และแน่นอนว่า เป็นเพราะความพยายามของผู้นำตระกูลอย่างเซวียนหยวนเส้า ท้ายที่สุดแล้ว ตามที่อาซิ่วกล่าว เซวียนหยวนเส้าถือได้ว่ามีมิตรภาพอันลึกซึ้งกับจั่วชิวเสวี่ย ผู้เป็นมารดาของเขา
เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ ทันใดนั้น เฉินซีก็รู้สึกชื่นชมต่อบิดาที่ไม่เคยพบมาก่อน “ท่านแม่เป็นถึงทายาทของหนึ่งในตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ และเป็นอัจฉริยะ ที่แม้แต่บุคคลที่ไม่มีใครเทียบได้อย่างเซวียนหยวนเส้าก็ยังไม่สามารถครอบครองหัวใจของนาง แต่ในฐานะผู้บ่มเพาะที่มาจากตระกูลในภพมนุษย์ ท่านพ่อกลับเอาชนะใจของท่านแม่ได้ ความสามารถนี้ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง”
มุมปากของเฉินซีโค้งเป็นรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่ง ดูเหมือนว่าอาซิ่วจะอ่านความคิดของเขาได้ “เจ้าคิดว่าท่านพ่อของข้า ด้อยกว่าบิดาของเจ้าหรือ?”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นจึงยิ้มแหย “จำเป็นต้องเปรียบเทียบพวกเขาเช่นนี้ด้วยหรือ?”
อาซิ่วยิ้มเยาะเย้ย “อย่าคิดว่าบิดาของเจ้าเป็นเพียงผู้บ่มเพาะตัวเล็ก ๆ จากภพมนุษย์ ตามที่ท่านพ่อได้กล่าวไว้ ชาติกำเนิดของบิดาเจ้าก็ไม่ธรรมดา มิฉะนั้น เขาคงไม่เพียงแค่เฝ้าดู ตอนที่บิดาของข้าพาท่านป้าจั่วชิวเสวี่ยไป”
เฉินซีตะลึงงัน เพราะเซวียนหยวนเส้าเป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลเซวียนหยวน แต่กลับบอกว่าชาติกำเนิดของเฉินหลิงจวินไม่ธรรมดา? นี่หมายความว่าอะไร?
เฉินซีนึกถึงข้อมูลที่เคยได้ยินเกี่ยวบิดาของตนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ประมุขนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเวินหัวถิงเคยกล่าวไว้ว่า การชุมนุมครั้งใหญ่ที่จัดขึ้นในแดนภวังค์ทมิฬเมื่อหลายปีก่อน ได้รวบรวมผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดของกองกำลังชั้นยอดต่าง ๆ ในแดนภวังค์ทมิฬ ซึ่งนำโดยเมี่ยวอวิ๋นจี ประมุขนิกายแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนกในขณะนั้น และพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังมหาสมุทรใต้พิภพทางตอนเหนือด้วยความตั้งใจที่จะได้รับสมบัติศักดิ์สิทธิ์อย่างเคหาดารา
ต่อมา เคหาดาราก็ถูกจั่วชิวเสวี่ยซึ่งเป็นมารดาของเฉินซีได้ไป เดิมทีเมี่ยวอวิ๋นจีและคนอื่น ๆ ก็ตั้งใจจะแย่งมันจากนาง แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับจั่วชิวเสวี่ย ในท้ายที่สุด เฉินหลิงจวิน บิดาของเฉินซีได้ขอให้ไว้ชีวิตพวกเขา
เป็นเพราะเหตุนี้ เมี่ยวอวิ๋นจี และผู้ยิ่งใหญ่ของแดนภวังค์ทมิฬทั้งหมด ล้วนติดหนี้เฉินหลิงจวิน ทำให้เฉินหลิงจวินสามารถเข้าสู่ภพเซียน โดยผ่านดินแดนเร้นลับภายใต้ความช่วยเหลือจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนกและผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย
ในเวลานั้น ความประทับใจของเฉินซีที่มีต่อบิดายังไม่ชัดเจนนัก และเพียงรู้สึกว่าเหตุผลที่บิดาแข็งแกร่งมากนั้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะความช่วยเหลือจากมารดา
ต่อมาเฉินซีได้พบกับไป๋หว่านฉิง และเขาได้ทราบเรื่องราวในอดีตจากนางมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไป๋หว่านฉิงก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเฉินหลิงจวินมากนัก และนั่นทำให้เฉินซีเข้าใจสิ่งเดียวเท่านั้น บิดาแข็งแกร่งกว่าที่เขาคาดไว้
เมื่อเข้าสู่ภพเซียน ชายหนุ่มทราบจากหลิงไป๋ ว่าเฉินหลิงจวิน ได้เข้าไปในซากโบราณสถานแรกกำเนิดหลังจากมาถึงภพเซียน ยิ่งกว่านั้น แม้แต่มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ก็เคยได้ยินข่าวลือมากมายที่เกี่ยวข้องกับเขา
น่าเสียดาย เมื่อเฉินซีมาถึงซากโบราณสถานแรกกำเนิด เขาก็คลาดกับบิดาอีกครั้ง และเบาะแสที่ได้รับก็มีจำกัดเช่นกัน แต่เขาก็รู้สึกอย่างแผ่วเบาว่า บิดานั้นไม่ธรรมดา แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่สามารถยืนยันได้
ในขณะนี้ เมื่อทราบจากอาซิ่วว่า แม้แต่ผู้นำตระกูลเซวียนหยวนอย่างเซวียนหยวนเส้า ก็ยังบอกว่าเฉินหลิงจวินนั้นไม่ธรรมดา เฉินซีกลับไม่รู้สึกกระจ่างแจ้งเลยสักนิด ทั้งยังรู้สึกงุนงงยิ่งกว่าเดิม
เขาเป็นคนเช่นใดกันแน่?
ถ้าเป็นเพียงผู้บ่มเพาะธรรมดา ๆ จากภพมนุษย์ แล้วเขาจะได้หัวใจของท่านแม่ได้อย่างไร? จะเข้าไปในซากโบราณสถานแรกกำเนิดได้อย่างไร? และยังทำให้เซวียนหยวนเส้ารู้สึกว่าคนเช่นนี้ไม่ธรรมดาได้อย่างไร?
“เจ้าอย่าคิดมากเลย บางทีเจ้าอาจได้รับคำตอบ หลังจากที่เจ้าช่วยเหลือท่านป้าจั่วชิวเสวี่ยแล้ว” อาซิ่วกล่าวจากทางด้านข้าง
เฉินซีได้สติหลังจากไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งทันที จากนั้นก็พยักหน้าและกล่าวอย่างหนักแน่น “จริงของเจ้า ข้าจะต้องช่วยท่านแม่จากคุกเนตรเซียนในไม่ช้าอย่างแน่นอน!”