บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1430 กลับคืนสู่ภพเซียน
บทที่ 1430 กลับคืนสู่ภพเซียน
บทที่ 1430 กลับคืนสู่ภพเซียน
ฝุ่นผงและสิ่งสกปรกฟุ้งกระจายไปในอากาศ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงัด
ปิงซื่อเทียนตายไปแล้ว และไม่มีทางฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้สะท้านโลกาเมื่อครู่นี้ ทุกคนก็พูดไม่ออกเป็นเวลานาน
ใม่ใช่เพราะการตายของปิงซื่อเทียน แต่เป็นเพราะวันนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น และมองย้อนกลับไป ก็ยังคงรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นฝันร้าย
ปิงซื่อเทียนได้บุกเข้าสู่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองอย่างหยิ่งผยอง ก่อนที่จะจัดการกับพวกเขาทั้งหมด และไม่มีใครสามารถต่อกรกับคนผู้นี้ได้ ทำให้ความสิ้นหวังก่อตัวอยู่ในใจของทุกคน
หลังจากนั้น เฉินซีก็ปรากฏกายออกมา แล้วบรรพบุรุษเติ้งเฉินและเฟยหลิงก็ระเบิดตัวเอง
ซึ่งในที่สุด ปิงซื่อเทียนก็ถูกสังหาร…
ทั้งหมดนี้ดูน่าตื่นตาตื่นใจมาก มันทำให้จิตใจของพวกเขาประสบกับความโศกเศร้าและความสุขอันเปี่ยมล้น ทำให้ไม่อาจสงบจิตสงบใจได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ
เดิมที หากปิงซื่อเทียนไม่มาสร้างปัญหาในวันนี้ การกลับมาของเฉินซีย่อมทำให้นิกายกระบี่เก้าเรืองรองทั้งหมดปั่นป่วน พวกเขาจะต้อนรับเฉินซีและจัดงานเลี้ยงเพื่อเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่
ทว่าบัดนี้ เนื่องจากนิกายถูกทำลายเกือบทั้งหมด ประกอบกับการเสียชีวิตของบรรพบุรุษเติ้งเฉินและเฟยหลิง คนทั้งหมดจึงไม่มีใครมีอารมณ์เฉลิมฉลอง
…
ม่านเงาแห่งพลบค่ำ นำความมืดมาสู่ผืนแผ่นดิน
ณ ซากปรักหักพังอันเงียบสงบและว่างเปล่า เฉินซีและประมุขนิกายเวินหัวถิงปรึกษาหารือกันเนิ่นนาน ในที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจได้ เมื่อเฉินซีกลับสู่ภพเซียน นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง จะย้ายเข้าไปในโลกที่สร้างโดยหม้อกลั่นศักดิ์สิทธิ์เก้าทวีป
เหตุผลก็ง่ายเช่นกัน เพราะในปัจจุบัน แดนภวังค์ทมิฬตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายครั้งใหญ่ เปลวไฟแห่งสงครามโหมกระหน่ำไปทั่วโลกเนื่องจากกองทัพต่างพิภพ เมื่อรวมกับอาณาเขตของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่ถูกทำลายจนเป็นซากปรักหักพังโดยปิงซื่อเทียน มันอาจถือว่าได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การติดตามเฉินซีกลับไปยังภพเซียนย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
หลังจากที่พวกเขาตัดสินใจในเรื่องนี้แล้ว เฉินซีก็เข้าไปในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตทันที
…
ณ ชั้น 99 ของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต
มหาสมุทรหินหลอมเหลวที่พลุ่งพล่านนั่นเต็มไปด้วยไอน้ำสีขาว และมันลุกโชนจนถึงจุดที่แม้แต่อากาศก็บิดเบี้ยว ทั้งยังเปี่ยมด้วยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งยังคงเหมือนกับเมื่อหลายปีก่อน
ที่ใจกลางมหาสมุทรหินหลอมเหลว มีดอกบัวขนาดมหึมาบานอยู่ ดอกบัวนี้มีสีแดงเข้ม และงดงามยิ่ง
เมื่อหลายปีก่อน เฉินซีได้พบกับมารบงกชเป็นครั้งแรกที่นี่
แม้ที่นี่จะยังคงเหมือนเดิม แต่มารบงกชได้ตายไปแล้ว
เพื่อการแก้แค้น เขาบดขยี้ภูเขาหมอกเซียน แต่กลับถูกราชันเซียนจากนิกายอำนาจเทวะซุ่มโจมตีระหว่างทางกลับ และเสียชีวิตที่นั่น
ครั้งนี้ เฉินซีมายังชั้นที่เก้าสิบเก้า ของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตด้วยความตั้งใจที่จะแจ้งข่าวร้ายแก่เต๋าบงกช
“เฉินซี ในที่สุดเจ้าก็มา” ทันทีที่เฉินซีมาถึง เสียงที่ชัดเจนราวกับระฆังก็ดังขึ้น มันทำให้เขารู้สึกสงบราวกับกำลังฟังท่วงทำนองที่ลึกล้ำของมหาเต๋า
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เฉินซีก็เห็นร่างหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิบนดอกบัวสีแดงโลหิตที่งดงาม ซึ่งอยู่ใจกลางมหาสมุทรหินหลอมเหลว คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีเขียว ผมยาวถึงเอว รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ที่หน้าผากเต็มไปด้วยท่าทางที่สงบและไร้กังวล
เขาเป็นเหมือนสุภาพบุรุษผู้อ่อนโยนและถ่อมตัว ทั้งยังบริสุทธิ์ ไร้ที่ติ ใจกว้าง และไม่แยแส ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความสงบเมื่อจ้องมองคนผู้นี้
ลักษณะของเขาแตกต่างไปจากมารบงกชโดยสิ้นเชิง แต่รูปร่างหน้าตาเหมือนมารบงกชทุกประการ
เขาคือเต๋าบงกช!
ทว่ามันไม่เหมือนกับในอดีต กลิ่นอายของเต๋าบงกชนั้นอ่อนแอลงมาก ร่างก็ดูพร่ามัว คล้ายแค่สัมผัสเบา ๆ ก็ทำให้อีกฝ่ายแตกเป็นเสี่ยง ๆ
เดิมทีเฉินซีรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเมื่อเห็นเต๋าบงกช ทว่าเมื่อสังเกตเห็นกลิ่นอายของอีกฝ่าย เขาก็ตกใจและรีบถามทันที “ผู้อาวุโส เกิดอันใดขึ้น?”
เต๋าบงกชกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หรือว่าเจ้าจะลืมไปแล้ว? มารบงกชและข้าเกิดมาคู่กัน เมื่อเขาตาย ข้าจะคงอยู่เพียงลำพังได้อย่างไร?”
รอยยิ้มดูไร้กังวล และเสียงชัดเจนและสงบ ประหนึ่งได้เห็นสัจธรรมของชีวิตกับความตายมานานแล้ว
เฉินซีตกตะลึง “ท่านทราบอยู่แล้วหรือ?”
เต๋าบงกชพยักหน้า “ข้ารู้ตั้งแต่พริบตาที่มารบงกชสิ้นชีพ และเขาไม่สามารถตำหนิใครได้ นอกจากโทษตนเองที่ใจร้อน จนลงมืออย่างผลีผลาม”
เฉินซีกล่าวไม่ออก และไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร
“ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ท่านอาจารย์ต้องแผนร้ายจนต้องพินาศไป ข้ารู้ว่าศัตรูของเรานั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป พวกมันไม่ใช่สิ่งที่มารบงกชและข้าจะสามารถต่อกรได้ น่าเสียดายที่มารบงกชไม่เคยคิดจะฟังข้าเลย” เต๋าบงกชถอนหายใจเบา ๆ ใบหน้าหล่อเหลาและอบอุ่นเต็มไปด้วยความขมขื่นที่ยากจะมองเห็น
แต่หลังจากนั้น เขาก็ยิ้มอย่างสบายใจ และมองเฉินซีด้วยแววตาที่ชัดเจน “โชคดีที่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้ายังมีเจ้าเฉินซี ท้ายที่สุดแล้ว มันยังมีร่องรอยความหวังอยู่”
เฉินซีเม้มริมปีฝาก “โปรดอย่ากังวลท่านผู้อาวุโส แม้ว่าท่านจะไม่กล่าวถึงความเป็นปฏิปักษ์นี้ แต่ข้าก็จะยุติมันให้แก่ท่าน”
เต๋าบงกชพยักหน้าและกล่าว “เฉินซี เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับแดนเทพโบราณหรือไม่”
เฉินซีชะงัก “ข้าเคยได้ยิน เหมือนจะมีเพียงทวยเทพที่มีคุณสมบัติในการขึ้นสู่แผนผังบรรลุเทพเท่านั้น ที่มีโอกาสเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น”
“แผนผังบรรลุเทพ…” เต๋าบงกชพึมพำด้วยสีหน้างุนงง คล้ายนึกบางอย่างได้ “แดนเทพโบราณถูกเรียกว่าดินแดนนิรันดร์มาตั้งแต่สมัยโบราณ และมันถูกเรียกว่าอาณาจักรของทวยเทพ อย่างไรก็ตาม…”
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ สีหน้าของเต๋าบงกชเริ่มไม่แน่นอนเล็กน้อย และเงียบไปนาน
“ผู้อาวุโส” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะเรียกอีกฝ่าย
“ช่างเถอะ เจ้าจะเข้าใจเอง เมื่อเจ้าได้สัมผัสกับความลับของการกลายเป็นเทพ ภพทั้งสามนั้นเป็นเพียงกรง และเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากกรงนี้ เพื่อไปถึงดินแดนนิรันดร์” เต๋าบงกชได้สติจากการครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง และถอนหายใจเบา ๆ “ถ้าเป็นไปได้ ข้าไม่แนะนำให้เจ้าแสวงหาความลับในการกลายเป็นเทพ”
หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างขมขื่นอีกครั้ง “แต่ข้ารู้… เจ้าคงไม่หยุดเพียงแค่นั้น”
เฉินซีตกตะลึง และหัวใจก็เต็มไปด้วยคำถาม ทว่าจากการแสดงออกของเต๋าบงกช เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดที่จะกล่าวอะไรไปมากกว่านี้ ดังนั้นเฉินซีจึงได้แต่ระงับคำถามเหล่านี้ไว้ในใจเท่านั้น
ด้วยความเข้าใจที่เขาได้ประสบจากแดนบรรลุเทพ เมื่อรวมกับคำกล่าวของเต๋าบงกช ทำให้สัมผัสได้ราง ๆ ว่า การไปที่ดินแดนเทพโบราณนั้นคงไม่ง่ายอย่างที่คิด
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ ยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับเขา บางทีมันอาจจะเหมือนกับที่เต๋าบงกชกล่าวไว้ เมื่อเริ่มแสวงหาการเป็นเทพอย่างแท้จริง เขาก็จะเข้าใจทุกอย่าง
“เฉินซี มหาเต๋านั้นเต็มไปด้วยการหักหลังและความไม่แน่ไม่นอน ตัวอย่างเช่น ท่านอาจารย์ของข้าได้แสวงหามันมาตลอดชีวิต แต่ท้ายที่สุดก็ต้องสิ้นชีพ บัดนี้ กลียุคของสามภพนั้นไม่มีทางที่จะหยุดยั้ง และข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถรักษาเปลวไฟแห่งมรดกของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เพื่อที่มันจะไม่หายไปเช่นนั้น” กล่าวจบ เต๋าบงกชลุกขึ้นยืน แววตาเปล่งประกาย และน้ำเสียงเปรียบเสมือนเสียงระฆังยามเช้า พร้อมกับเผยท่าทางไร้กังวล
เขาเอามือไพล่หลังไว้ ก่อนจะหันไปมองเฉินซีด้วยรอยยิ้ม “ตลอดชีวิตของข้านั้นไม่อาจทำอะไรตามใจหรือไร้กังวลเหมือนมารบงกช บัดนี้ ในที่สุดข้าก็เป็นอิสระ ถึงเวลาของข้าแล้ว… เฉินซี รักษาตัวด้วย”
สิ้นเสียงพูด เขาก็กลายเป็นกลุ่มควันเลือนหายไป
เสียงของเขายังคงล่องลอยอยู่ในอากาศ แต่ร่างของเต๋าบงกชได้หายไปแล้ว
เฉินซีเหม่อมองความว่างเปล่า และรู้สึกหดหู่ใจ
ผู้อาวุโสจี้อวี๋จากไปแล้ว และบอกให้ข้าดูแลตัวเอง เพื่อไปตามหาร่องรอยของผู้อาวุโสฝูซี ตราบใดที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ สักวันหนึ่งพวกเขาจะได้พบกันอีกครั้ง
ตอนนี้ เต๋าบงกชก็จากไปเช่นกัน และยังบอกให้ข้าดูแลตัวเอง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าคงไม่สามารถพบกับเต๋าบงกชได้อีก…
เช่นเดียวกับที่เต๋าบงกชกล่าวไว้ เต๋าบงกชและมารบงกชเกิดมาคู่กัน ดังนั้นเมื่อมารบงกชเสียชีวิต เต๋าบงกชก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
…
วันต่อมา เฉินซียืนอยู่ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว
ปัจจุบัน นิกายกระบี่เก้าเรืองรองได้เข้าไปอยู่ในหม้อกลั่นศักดิ์สิทธิ์เก้าทวีปแล้ว เดิมทีเขาตั้งใจจะเดินทางไปยังตระกูลไป๋ แต่เวินหัวถิงกล่าวว่า ตระกูลไป๋ได้ไปจากแดนภวังค์ทมิฬร้อยกว่าปีแล้ว และไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปที่ไหน
ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจแต่ไร้กังวล ตามความสามารถของผู้นำตระกูลไป๋อย่างไป๋จิงเฉิน ตระกูลไป๋จะต้องสังเกตบางสิ่งอย่างแน่นอน จึงตัดสินใจดำเนินการเช่นนั้น
สำหรับสถานที่ที่พวกเขาไปนั้น เฉินซีเดาว่า ภพเซียนมีความเป็นไปได้มากที่สุด แต่ไม่กล้ายืนยันว่านี่เป็นความจริงหรือไม่
ในที่สุด เขาก็หายใจเข้าลึก ๆ และหยุดลังเล
โอม!
ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อ ทำให้มวลปราณเซียนพิสุทธิ์ที่หนาแน่นและคลุมเครือพุ่งออกมา ก่อนที่จะไขว้ตัดกันในอากาศ กลายเป็นยันต์ที่ดูลึกลับ และหลอมรวมกลายเป็นผังค่ายกลแปลกประหลาด
ผังค่ายกลเรืองแสงราวกับแม่น้ำแห่งดวงดาวที่ระยิบระยับในจักรวาล มันทั้งงดงามและเจิดจ้าอย่างยิ่ง
เฉินซีเดินขึ้นไปบนผังค่ายกล จากนั้นหันกลับมามองดูผืนฟ้า แผ่นดิน และทุกสิ่งในโลกอีกครั้ง ก่อนที่จะหันหลังจากไป
ครืน!
ลำแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้กระแสลมและมวลเมฆที่อยู่ในบริเวณโดยรอบสั่นสะเทือน คล้ายฉีกกระชากชั้นบรรยากาศของแดนภวังค์ทมิฬออกจากกัน และเมื่อทั้งหมดนี้กลับคืนสู่ความสงบ เฉินซีก็หายตัวไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น นิกายกระบี่เก้าเรืองรองได้หายไปพร้อมกับเขา!
…
“ใต้เท้าเว่ย! ข้าต้องการคำอธิบาย!”
ภายในห้องโถงหลักของตระกูลจั่วชิว ณ ทวีปเนตรสวรรค์ของภพเซียน
ผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน จั่วชิวเฟิง มีสีหน้าดำคล้ำ ในขณะที่โยนแผ่นหยกลงบนพื้น จนมันแตกเป็นผุยผง
ห้องโถงว่างเปล่า นอกจากจั่วชิวเฟิงแล้ว ก็มีเพียงชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีม่วง มีผมสีดอกเลา และท่าทางประณีต
เขาชำเลืองมองจั่วชิวเฟิงช้า ๆ “มนุษย์ทุกคนมักทำผิดพลาด เหมือนที่ม้าทุกตัวมักสะดุดล้ม แม้ว่าข้าจะเตรียมแผนการในครั้งนี้ ใครจะคิดว่าจั่วชิวฮงและจั่วชิวปั๋วอวินของตระกูลเจ้า กลับต้องมาตายในโลกใบเล็กเช่นนี้”
“นั่นคือราชันเซียนครึ่งขั้นถึงสองคน ไม่ต้องกล่าวถึงโลกใบเล็ก ราชันเซียนครึ่งขั้นทั้งสองนั้นก็มากเกินพอที่จะทำลายล้างโลกใบใหญ่ ทว่ากลับถูกฆ่าตาย นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าศัตรูก็มีไพ่ตายซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเช่นกัน และนั่นไม่ใช่ข้อบกพร่องในแผนการของข้า”
จั่วชิวเฟิงย่อมเข้าใจหลักการนี้ดี แต่เขาไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ เพราะนั่นคือราชันเซียนครึ่งขั้นสองคน! แม้ว่าตระกูลจั่วชิวจะเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ของภพเซียน แต่ตัวตนระดับนี้ก็หาได้ยากมาก และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะส่งเสริมคนอื่นในตระกูลให้ไปถึงระดับนั้นในช่วงเวลาสั้น ๆ!
“ฮึ่ม! ใต้เท้าเว่ย นี่เป็นทัศนคติของนิกายอำนาจเทวะของท่านต่อเรื่องนี้หรือ?” จั่วชิวเฟิงมีสีหน้าดำคล้ำมากขึ้นทุกขณะ
ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีม่วงที่ถูกเรียกว่าท่านเว่ยขมวดคิ้ว และกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่จู่ ๆ ดวงตาก็ทอประกายวาบ แผ่นหยกพุ่งออกมาจากอากาศ ก่อนที่จะถูกคว้าไว้ในมืออย่างมั่นคง
“การปฏิบัติการของปิงซื่อเทียนก็ล้มเหลวเช่นกัน…” เมื่อเห็นเนื้อหาของแผ่นหยก สีหน้าของท่านเว่ยก็ดิ่งลงเช่นกัน “ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กน้อยที่มีนามว่าเฉินซี จะรับมือได้ไม่ง่ายเลย”
ปิงซื่อเทียน?
จั่วชิวเฟิงชะงัก ชื่อนี้ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด
“ผู้นำตระกูลจั่วชิว โปรดสงบใจ ครั้งนี้เรามีศัตรูร่วมกัน ดังนั้นนิกายอำนาจเทวะของข้าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน เมื่อเราพบกันอีกครั้ง ข้าจะให้คำตอบที่น่าพอใจแก่เจ้าแน่นอน” ท่านเว่ยยืนขึ้น และกล่าวคำเหล่านี้ ก่อนจะจากไปอย่างเร่งรีบ
“คำตอบที่น่าพอใจ? ฮึ่ม! ไอ้พวกสารเลวนิกายอำนาจเทวะ! ข้าจะรอดูว่าคำตอบเช่นใดที่ข้าจะได้รับ หลังจากที่ตระกูลจั่วชิวต้องจ่ายราคามหาศาล!” ความโกรธยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจ หลังจากที่ท่านเว่ยจากไป และสีหน้าของเขาก็ยิ่งมืดมนอย่างน่าสะพรึงกลัว!