บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1302 ศิษย์ของสำนักอำนาจเทวะ
บทที่ 1302 ศิษย์ของสำนักอำนาจเทวะ
บทที่ 1302 ศิษย์ของสำนักอำนาจเทวะ
ในขณะนี้ เนื่องจากความพ่ายแพ้ของจี้เสวียนปิง สภาพแวดล้อมโดยรอบจึงตกอยู่ในความเงียบงัน เหล่าอาจารย์และศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าล้วนมีสีหน้าประหลาดใจ และไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเอง นอกจากนี้ ศิษย์หลายคนยังแสดงสีหน้าโกรธเคืองและไม่พอใจ
แต่เซียวเชียนซุ่ยหัวเราะอย่างเย็นชา บังเกิดเสียงที่เสียดแทงและน่ากลัวดังก้อง เป็นการเย้ยหยันสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างรุนแรง ซึ่งจุดชนวนเปลวไฟแห่งความโกรธของศิษย์และอาจารย์ที่อยู่รอบ ๆ ทันที
“ไอ้สารเลว! เจ้ากล่าวอะไร?”
“มารดามัน! ไอ้หมอนี่สมควรโดนตบจริง ๆ!”
“บัดซบ! ช่างน่ารังเกียจยิ่ง!”
อารมณ์พวกเขาต่างลุกไหม้ด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธ บังเกิดเสียงด่าทอดังก้องไปทุกทิศทุกทาง
“ฮึ่ม! แพ้ก็คือแพ้! หรือว่ามีเพียงศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของเจ้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์ชนะในการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก!? ช่างผายลมเสียจริง! เพียงแค่ดูท่าทางของพวกเจ้า! ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์ของสำนักอันดับหนึ่งในภพเซียนได้อีกหรือ? ช่างน่าละอายจริง ๆ!”
เมื่อเผชิญกับสิ่งนี้ เซียวเชียนซุ่ยยังคงหัวเราะอย่างเย็นชา เผยท่าทีหยิ่งผยองอย่างมาก เขานั่งอย่างเกียจคร้านอยู่บนเมฆมงคล แล้วกล่าวอย่างอวดดี “อย่างพวกเจ้าจะมีปัญญาจะทำอะไรข้าได้?”
ทันทีที่สิ้นคำเหล่านี้ สีหน้าของเหล่าอาจารย์จากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ดิ่งลง
“ไอ้สารเลวจากสำนักศึกษาระทมสันต์คนนี้อวดดีเกินไปแล้ว!”
“กล้าด่าศิษย์ของเราต่อหน้าเราหรือ ไอ้เด็กนี่มันเสียสติไปแล้ว!”
ในขณะนี้ สถานการณ์เริ่มมีสัญญาณที่ไม่อาจควบคุมได้ และหากไม่ถูกหยุดยั้ง ความวุ่นวายก็อาจปะทุได้ทุกเมื่อ
“เงียบ!” ในขณะนี้ หวังต้าวหลูตวาดขึ้นมาอย่างกะทันหัน และเสียงของเขาก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน “การประลองก็คือการประลอง แล้วคนอื่นจะคิดยังไงกับเราที่ทำกิริยาท่าทางเช่นนั้น”
สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึม หน้าผากเต็มไปด้วยแรงกดดัน และเพียงคำพูดคำเดียว ก็ดูเหมือนเสียงของปราชญ์ที่ลงมาจากสวรรค์ ทำให้เสียงอึกทึกครึกโครมที่อยู่รอบข้างสงบลง
ไม่มีใครกล้ากล่าวอีกต่อไป แต่เปลวไฟแห่งความโกรธยังคงลุกโชนอยู่ในใจพวกเขา
อันที่จริงแล้ว ถึงอย่างไรมันก็เกี่ยวข้องกับความพ่ายแพ้ของจี้เซวียนปิง และพวกเขาไม่สามารถยอมรับได้ เพราะเรื่องดังกล่าวไม่เคยเกิดกับการถกวิถีเต๋าในอดีต
มันถึงขนาดที่หลายคนต่างพร่ำบ่นอยู่ในใจ
“การพ่ายแพ้ของจี้เซวียนปิง เป็นเพราะเขาขาดการสะสมพลัง และเรื่องดังกล่าวคงไม่เกิดขึ้น หากหลิงชิงอู๋ได้เข้าร่วมในการถกวิถีเต๋า”
“แม้ว่าศิษย์พี่หญิงหลิงชิงอู๋จะไม่ได้อยู่ที่สำนักในขณะนี้ แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์อาวุโสของสำนักฝ่ายในก็อาจถูกส่งเข้าร่วมแทน และบุคคลเหล่านั้นในสิบอันดับแรกของเทียบทองคำตราดาราม่วงก็แข็งแกร่งถึงสุดมิใช่หรือ?”
“แม้ว่าจี้เซวียนปิงจะเป็นทายาทจากหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ แต่เขาเพิ่งเข้าสู่เขตฝ่ายในได้ไม่นาน ดังนั้นการสะสมพลังจึงไม่เพียงพอ…”
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงสิ่งที่ศิษย์เหล่านั้นคิดในใจ ในปัจจุบันจี้เสวียนปิงได้พ่ายแพ้ไปแล้ว การบ่นเกี่ยวกับการขาดความสามารถของจี้เสวียนปิงจึงเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์
กล่าวโดยสรุปแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะโกรธเพียงใด แต่นี่คือการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก และมันจะต้องดำเนินไปตามกฎ มิฉะนั้น หากข่าวเรื่องนี้ได้แพร่ออกไปยังโลกภายนอก มันก็จะเป็นอันตรายต่อชื่อเสียงของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างมาก
“เชียนซุ่ย เจ้าก็ควรกล่าวให้น้อยลง” ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อเห็นหวังต้าวหลูปรากฏตัว อาจารย์ที่เป็นผู้นำกลุ่มจากสำนักศึกษาระทมสันต์ก็ตำหนิเซียวเชียนซุ่ยเช่นกัน
อาจารย์คนนี้มีผมสีดำและมีเคราที่แบ่งออกเป็นสามปอย ดูสง่าและทรงปัญญา ชื่อของเขาคือเหลิ่งอวิ๋นโส่ว
เซียวเชียนสุ่ยฮึดฮัด แล้วจึงกล่าวว่า “เอาละ เมื่อใดที่ข้าเข้าสู่สนามประลอง ข้าจะใช้การกระทำเพื่อบอกพวกเขาว่าความพ่ายแพ้ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว”
…
หลังจากที่ความวุ่นวายสงบลง การถกวิถีเต๋าจึงดำเนินต่อไป
เหล่าอาจารย์พาตัวจี้เสวียนปิงไปรับการรักษา ในขณะที่จ้าวเมิ่งหลีกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูพลังของตน เนื่องจากนางได้ประสบกับการต่อสู้ที่ยากลำบากมาก่อนหน้านี้ และยังใช้พลังไปมาก ทำให้คนอื่นกังวลว่านางจะสามารถฟื้นพลังได้อย่างสมบูรณ์ก่อนการถกวิถีเต๋าในรอบที่สองหรือไม่
เยี่ยถังกำลังดื่มสุราเป็นครั้งคราว ทว่ารอยยิ้มไร้กังวลที่มักอยู่บนใบหน้าของเขาได้หายไปแล้ว หลงเหลือเพียงความสงบและเย็นชาเท่านั้น
ส่วนเจิ่นลู่กำลังนั่งอย่างเคร่งขรึม พลางฟื้นฟูพลังในทำนองเดียวกัน
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่เฝ้าดูการต่อสู้ในสนามประลองอย่างเงียบ ๆ ดวงตาสีดำลุ่มลึก ใบหน้าหล่อเหลาปกคลุมไปด้วยความสงบและความเฉยเมย ซึ่งไม่มีใครสามารถเดาได้ว่าคนผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากประสบกับความพ่ายแพ้อย่างไม่คาดคิดของจี้เซวียนปิง การต่อสู้คู่ถัดไปในสนามประลองดูเหมือนจะราบรื่น แต่ก็ขาดบรรยากาศที่ร้อนแรงและคึกคักเหมือนเช่นคู่ก่อน
หนึ่งชั่วยามต่อมา
การถกวิถีเต๋าในรอบแรกได้เสร็จสิ้นลง และศิษย์สิบเจ็ดคนก็ผ่านเข้ารอบต่อไป
แต่สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึง ในระหว่างรอบแรกของการถกวิถีเต๋า ศิษย์ที่ได้รับการคัดออกมากที่สุด ล้วนมาจากสำนักศึกษาเมฆาหมอก สำนักศึกษากระแสวาตะ และสำนักศึกษาเต๋าเร้นลับ ทั้งหมดถูกคัดออกไปสิบสามคน
ในทางกลับกัน สำนักศึกษาระทมสันต์ สำนักศึกษามหาเดียวดาย และสำนักศึกษานภาไพศาลมีศิษย์เพียงคนเดียวที่ถูกคัดออก เช่นเดียวกับสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
สีหน้าของอาจารย์และศิษย์จากสำนักศึกษาเมฆาหมอก สำนักศึกษากระแสวาตะ และสำนักศึกษาเต๋าเร้นลับไม่น่าดูอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับผลลัพธ์นี้ พวกเขาต่างเงียบสนิท ทั้งยังเผยใบหน้าที่มืดมน ในขณะที่ศิษย์และอาจารย์จากสำนักศึกษาระทมสันต์ สำนักศึกษามหาเดียวดาย และสำนักศึกษานภาไพศาลต่างมีสีหน้าเบิกบาน พวกเขาสนทนากันอย่างมีความสุข รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง และมันก็เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจน
“ผู้อาวุโส ดูเหมือนว่านิกายอำนาจเทวะน่าจะชักใยอยู่เบื้องหลังของสำนักศึกษาระทมสันต์ สำนักศึกษามหาเดียวดาย และสำนักศึกษานภาไพศาล” ทันใดนั้น เฉินซีก็กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบที่แฝงไปด้วยความเย็นชาเสียดแทงไปถึงกระดูก
หวังต้าวหลูพยักหน้า พร้อมกับขมวดคิ้วอย่างเคร่งขรึม “ก่อนหน้านี้ เมื่อข้าพูดคุยถึงผู้เข้าร่วมการถกวิถีเต๋าครั้งนี้กับอาจารย์ใหญ่ฉือ เราให้ความสนใจแค่เซียวเชียนซุ่ยเท่านั้น แต่ไม่คาดคิดมาก่อนว่านอกจากเขาแล้ว ศิษย์คนอื่น ๆ จากทั้งสามสำนักนี้จะมีพลังฝีมือที่เหนือความคาดหมายเช่นกัน”
เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อไปว่า “ครั้งนี้เราประมาทจริง ๆ” กล่าวจบ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เราประมาทจริง ๆ”
เซียวเชียนซุ่ยเพียงคนเดียวก็เป็นตัวแปรใหญ่แล้ว แต่ตอนนี้กลับมีบุคคลที่น่าเกรงขามมากมายปรากฏขึ้น ทั้งที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามใด ๆ แต่กลับระเบิดพลังฝีมือที่น่าสะพรึงกลัวอย่างเหนือความคาดหมายในระหว่างการถกวิถีเต๋าครั้งนี้ มันคงจะเป็นเรื่องที่แปลกจริง ๆ ถ้าไม่มีคนวางแผนเรื่องนี้จากเงามืด
“ใครจะสนใจว่ามันเป็นแผนการที่ซ่อนเร้นหรือในที่แจ้ง? ในเมื่อพวกมันกล้าวางแผนร้ายต่อเรา พวกมันก็ต้องจ่ายในราคาที่สาสม…” เฉินซีกล่าวอย่างสงบ
การถกวิถีเต๋ารอบที่สองเริ่มขึ้นในเวลาไม่นาน
มันยังคงเป็นการจับสลาก ทว่าครั้งนี้มีบุคคลที่ไม่ธรรมดาอยู่ท่ามกลางคู่ต่อสู้ นั่นคือเซียวเชียนซุ่ย
เฉินซีจับสลากได้หมายเลขเก้า และคู่ต่อสู้ของเขาคือผู้ถือสลากหมายเลขสิบ ซึ่งคือเหยียนอวิ๋น ศิษย์จากสำนักศึกษาระทมสันต์
ดังนั้นตามลำดับการประลอง เฉินซีจะประลองเป็นคู่สุดท้ายในการถกวิถีเต๋าของรอบที่สอง
“เหยียนอวิ๋นจากสำนักศึกษาระทมสันต์…”
เฉินซีสลัดความคิดฟุ้งซ่าน ความเยือกเย็นก็วูบไหวอยู่ในส่วนลึกของดวงตา
แต่ในเวลาต่อมา ชายหนุ่มก็ไม่สนใจกับเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป เพราะม่านของการประลองคู่แรกได้ถูกรูดเปิดออกแล้ว น่าประหลาดใจที่ผู้ประลองทั้งสองฝ่าย คือเยี่ยถังจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ากับว่านเจี้ยนเซิงจากสำนักศึกษานภาไพศาล!
“การต่อสู้ระหว่างสองสุริยันอันเจิดจ้า!”
เมื่อพวกเขารู้เรื่องนี้ ผู้ชมก็ระเบิดความโกลาหลครั้งใหญ่ทันที เพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าการต่อสู้ระหว่างสองสุริยันอันเจิดจ้าที่ทั่วทั้งภพต่างตั้งตารอจะเกิดขึ้นเร็วเพียงนี้
นี่ไม่ได้หมายความว่าหนึ่งในสองคนนั้นจะไม่สามารถเข้าสู่การถกวิถีเต๋าในรอบที่สามหรอกหรือ?
การตกเต๋าในรอบที่สาม ถือเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายเพื่อชิงอำนาจสูงสุดในการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักศึกษา ในเวลานั้น ผู้ชนะคนสุดท้ายจะถูกตัดสิน และศิษย์คนนั้นจะกลายเป็นผู้ชนะเลิศของการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก!
ปัจจุบัน การต่อสู้ระหว่างสองสุริยันอันเจิดจ้ากลับกำลังเกิดขึ้นในการถกวิถีเต๋ารอบที่สอง นั่นหมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยถังหรือว่านเจี้ยนเซิง พวกเขาก็จะต้องสูญเสียโอกาสในการเป็นผู้ชนะเลิศก่อนที่รอบที่สามจะเริ่มขึ้น
เมื่อเผชิญกับผลการจับสลาก คิ้วของหวังต้าวหลูก็ขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น และอดเป็นกังวลไม่ได้ “หากเยี่ยถังพ่ายแพ้ สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของเราจะตกอยู่ในอันตราย!”
“เพราะนอกจากว่านเจี้ยนเซิงแล้ว สำนักอีกหกแห่งนั้นยังมีเซียวเชียนซุ่ยอยู่ หากเยี่ยถังพ่ายแพ้ แล้วใครจะสามารถสู้กับทั้งสองคนได้?”
เจิ่นลู่?
จ้าวเมิ่งหลี?
เฉินซี?
หวังต้าวหลูไม่สามารถยืนยันได้ และด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้สึกกังวลอย่างยิ่ง
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สถานการณ์ก็เป็นเช่นนี้แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีที่ว่างให้เขาพิจารณาอีกต่อไป
…
“การประลองคู่แรกของรอบที่สอง เยี่ยถังจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ปะทะว่านเจี้ยนเซิงจากสำนักศึกษานภาไพศาล!”
ข่าวนี้แพร่กระจายออกจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในทันที และมันทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในเมืองเซียนสัประยุทธ์
ในเวลาเดียวกัน ในห้องรับรองพิเศษภายในภัตตาคารเซียนเสน่หา ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีเทากำลังถือป้านสุราอยู่ในมือขณะพิงกรอบหน้าต่าง เขาจ้องมองไปในระยะไกลอย่างเงียบ ๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยแสงสีม่วง คล้ายสามารถมองทะลุผ่านเก้าชั้นฟ้าสิบชั้นดินได้
“ฮ่า ฮ่า! มันเป็นโชคชะตา แผนการครั้งนี้อยู่ห่างจากความสำเร็จเพียงไม่กี่ก้าว!” ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีเทาก็หัวเราะเบา ๆ เขามีรูปร่างหน้าตาธรรมดาและสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่เมื่อเผยรอยยิ้มที่มุมปาก ท่าทางกลับเปลี่ยนไปทันที เจ้าตัวกลับกลายเป็นคนทระนงตัวและเย่อหยิ่ง ซึ่งดูเหมือนจะมีกลิ่นอายแห่งความเย่อหยิ่งและความมั่นใจอันสูงสุด
“ท่านอาจารย์ลุงโม่ซาง…” ขณะเดียวกันชายหนุ่มก็รีบเข้าไปในห้อง และตั้งใจจะรายงานข่าวบางอย่าง แต่ชายวัยกลางคนโบกมือเพื่อขัดจังหวะ “ข้ารู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีก”
ขณะที่กล่าว ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีเทาก็หันกลับมาและดื่มสุราในป้านจนหมด จากนั้นเม้มริมฝีปากแล้วไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่จะกล่าวว่า “ตอนนี้สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าต้องสังเกตเห็นเบาะแสบางอย่างแล้วแน่นอน แต่ไม่เป็นไร เราจะออกเดินทางกันตอนนี้เลย หากเรายังไม่รีบจากไป เกรงว่าเราคงไม่มีโอกาสได้ออกไปเมื่อการถกวิถีเต๋าสิ้นสุดลง…”
“ท่านอาจารย์ลุงโม่ซาง เราจะไม่รออีกสักหน่อยหรือ?” ชายหนุ่มตกตะลึง เขาสวมเสื้อผ้าที่สะอาดและเรียบร้อย มีรูปลักษณ์หล่อเหลา ท่าทางสงบสำรวม ในขณะที่กะพริบตา พวกมันก็เปล่งแสงที่ไร้ตัวตนออกมา
“เจ้าจะรอให้พวกเราถูกตามล่าโดยเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าหรือ?” ชายวัยกลางคนสวมชุดสีเทาชื่อโม่ซางจ้องมองอีกฝ่าย
เพียงมองแวบเดียวก็ทำให้หัวใจเต้นรัว และชายหนุ่มก็นิ่งเงียบเหมือนจักจั่นในฤดูหนาว ก่อนที่จะรีบโค้งคำนับพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์ตระหนักถึงความผิดพลาดของตนแล้ว”
โม่ซางถอนหายใจ “ซื่อเทียน เจ้าติดตามข้ามาสักระยะหนึ่งแล้วใช่หรือไม่?”
“ศิษย์เข้ามาในนิกายเมื่อสี่ปีที่แล้ว และข้าโชคดีมากที่ได้เป็นผู้ติดตามภายใต้คำสั่งของท่านอาจารย์ โดยในช่วงปีที่สอง ท่านอาจารย์ได้สั่งให้ข้ามาคอยรับใช้เคียงข้างท่านอาจารย์ลุง ซึ่งนี่ก็เป็นเวลาสามปีแล้ว” ชายหนุ่มตอบด้วยความเคารพ
“ถูกต้อง ดังนั้นเจ้าควรตระหนักไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อนิกายอำนาจเทวะของเราทำสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่ามันจะสำเร็จหรือล้มเหลว เราต้องแน่ใจเสียก่อนว่าชีวิตของพวกเรา…จะไม่ตกอยู่ในอันตราย” โม่ซางตบไหล่ชายหนุ่มแล้วกล่าวช้า ๆ “ท้ายที่สุด ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่สำคัญไปกว่าชีวิตของเจ้าเอง”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็กำลังจะเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติออกไป แต่ทันใดนั้น คลื่นพลังผันผวนที่ไร้รูปร่างก็ปรากฏขึ้นภายในห้อง และเข้าห่อหุ้มโม่ซาง
“ซวยแล้ว! นี่มันกลิ่นอายของราชันเซียน ซื่อเทียน รีบหนีไปเร็วเข้า! ไปบอกอาจารย์ของเจ้าว่า หากข้าโม่ซางตาย ผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า!” ทันใดนั้น สีหน้าของโม่ซางก็ดูเคร่งขรึม และโยนชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ ออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว