บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 982 ทดสอบ
ตอนที่ 982: ทดสอบ
…………………………………………………..
ตอนที่ 982: ทดสอบ
คุกเข่าน้อมฟังคำตอบเช่นนั้นหรือ?
ประโยคนี้ราวกับบาดลึกหัวใจของฮั่วเหยา ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปในฉับพลัน ดวงตาสีหน้ามีแต่ความอับอาย เคียดแค้น และดุดัน
ฉับพลัน เขาสูดหายใจลึก ๆ และแผดเสียงออก “อาจารย์ ตอนที่ท่านรับพวกเราเป็นศิษย์เมื่ออดีตชาติ เคยบอกกับพวกเราเองว่า ขอเพียงศิษย์ในสำนักคุกเข่ากราบอาจารย์ตอนเข้าเป็นศิษย์ นับตั้งแต่นั้นผู้สืบทอดในสำนักจะไม่กราบฟ้า ไม่กราบดิน ไม่ต้องกลัวเทพและผี ไม่คุกเข่าต่อศิษย์พี่!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาที่เต็มไปด้วยเลือดของฮั่วเหยาจ้องซูอี้เขม็ง “แต่เพราะเหตุใด เวลานี้ท่านกลับใช้วิธีนี้มาเหยียดหยามศิษย์!?”
กฎระเบียบที่เขาพูดมานั้นไม่ผิด
อีกทั้งยังเป็นกฎระเบียบสายวิถีที่ซูอี้ตั้งขึ้นมาเองในครั้งนั้น จุดประสงค์ที่ตั้งกฎเช่นนี้ก็เพื่อให้ศิษย์ในสำนักมีจิตวิถีที่ ‘ไม่เกรง ไม่กลัว อาจหาญ รักก้าวหน้า’
ทว่า เมื่อได้ยินฮั่วเหยาพูดถึงกฎระเบียบเหล่านี้ขึ้นมา ซูอี้ก็รู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจยิ่งนัก
คนทรยศหลอกลวงอาจารย์ล้างผลาญบรรพชน ยังจะมาพูดถึงกฎระเบียบของสำนักในเวลานี้อีก ไม่รู้สึกน่าขันหรอกหรือ?
“เหยียดหยามเจ้า?”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา เพียงแต่ว่ารอยยิ้มนั้นไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ “คนเนรคุณ อย่าว่าแต่เหยียดหยามเจ้าเลย ที่พิภพยมราชฝังวิถีในครั้งนี้ ข้ายังจะฆ่าศิษย์อกตัญญูคนนี้เพื่อชะล้างสำนักด้วยมือข้าเอง”
น้ำเสียงสงบราบเรียบ
ทว่าฮั่วเหยากลับหนาวสะท้านขึ้นมาอย่างประหลาด
เขาฟังความมุ่งมั่นในคำพูดของอาจารย์ออก!
ทว่าไม่รอให้เขาได้พูดอะไรอีก ซูอี้ก็ถือดาบฟันลงมาแล้ว
ฝีเท้าของเขาดูช้าแต่แท้จริงนั้นรวดเร็ว เสื้อผ้าที่ถูกย้อมด้วยเลือดโบกสะบัดดังพรึ่บ เงาดาบสีใสเลือนรางในมือฟันออกไป
เขาอ้าปากพ่นโดยไม่ลังเล
สวบ!
แสงเทวะสีดำปรากฏ กลายเป็นกระสวยสีดำยาวเพียงเก้าชุ่น
เมื่อสมบัติชิ้นนี้ปรากฏ สะเก็ดแสงแห่งมิติที่ดูประหลาดลึกลับก็ร่วงหล่นลงมาครอบคลุมตัวฮั่วเหยา
ฉึบ!
กระสวยสีดำกะพริบเบา ๆ รอยแยกมิติก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็นำพาฮั่วเหยาที่ถูกอาบด้วยสะเก็ดแสงแห่งมิติทะลุผ่านออกไป
ทำให้พลังดาบของซูอี้ฟันพลาดไปด้วยเช่นกัน
แต่ทว่าซูอี้กลับไม่รู้สึกรีบร้อน จากนั้นเขาก็แกว่งน้ำเตาในมือ
เสียงดาบยิ่งใหญ่ดังขึ้นในฉับพลัน
ห่างออกไปหลายพันจั้ง
จู่ ๆ อากาศก็ปริออก ร่าง ๆ หนึ่งร่วงหล่นลง
ฮั่วเหยานั่นเอง
มือขวาของเขาถือกระสวยสีดำแน่นราวกับกำลังไขว่คว้าความหวังสุดท้าย โดยใช้ระดับวิถีทั้งหมดที่มีในตัวควบคุมสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้
ไกลออกไป สายตาที่ราบเรียบของซูอี้ผุดประกายแห่งความดูแคลนออกมา
เมื่อเขายื่นมือไปคว้ากลางอากาศ
ครืน!
ภายนอกของกระสวยสีดำเกิดลวดลายประกาศิตอันประหลาดพิสดารขึ้น แทบจะในขณะเดียวกัน สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ก็ถูกตัดการเชื่อมต่อกับฮั่วเหยา
จิตวิญญาณของฮั่วเหยาได้รับความกระทบกระเทือนอีกครั้ง ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยเจ็บปวด ก่อนจะสำลักเลือดออกมา
และแล้วมือขวาของเขาที่จับกระสวยสีดำแน่นก็ปริแตกเป็นแผลเหวอะ จากนั้นกระสวยสีดำก็กลายเป็นแสงลอยเข้าไปสู่มือของซูอี้
“ไม่…!”
“แม้กระทั่งกระสวยพรางสวรรค์ก็ยังถูกนำออกมาใช้ ดูท่าแล้ว ในตัวเจ้าคงไม่มีไพ่ใบสุดท้ายอีกแล้วกระมัง”
ขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ซูอี้ก็ย่างเท้าเดินมาหา
กระสวยพรางสวรรค์!
ของขลังซึ่งมีความมหัศจรรย์ยากจะคาดเดาเป็นสมบัติขลังด้านมิติโดยกำเนิด ภายในประกอบด้วยความเร้นลับด้านมิติธรรมชาติ สามารถแหวกอากาศ ผู้ฝึกตนสามารถเคลื่อนย้ายมิติ เดินทางไปอีกด้านของโลกได้ มีความมหัศจรรย์อย่างที่สุด
หรืออาจเรียกว่ามันเป็นสมบัติช่วยหลบหนีประเภทหนึ่ง
ทว่าใช้สมบัติชิ้นนี้ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน คือจะต้องเผาผลาญพลังจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของตัวเองเพื่อผลักดันความเร้นลับด้านมิติภายในสมบัติชิ้นนี้
ด้วยเหตุนี้ สมบัติชิ้นนี้จึงถูกมองว่าเป็นไพ่ใบสุดท้ายสำหรับเอาตัวรอด หากไม่ใช่เวลาคับขันจริง ๆ จะไม่ถูกนำออกมาใช้ง่าย ๆ
และแน่นอนว่า ยามนี้ฮั่วเหยาอับจนหนทางแล้ว เขาจึงต้องการจะหนีเอาตัวรอดโดยอาศัยกระสวยพรางสวรรค์ แต่เสียดาย สุดท้ายก็เสียแรงเปล่า
“อาจารย์ แต่ท่าน… สามารถฝืนทนได้นานเพียงใดกัน?”
ห่างออกไป ใบหน้าของฮั่วเหยาบิดเบี้ยว สายตาของเขาเต็มไปด้วยความดุดันและบ้าคลั่ง “การฝืนใช้ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ด้วยระดับการฝึกฝนในปัจจุบันของท่าน เกรงว่าคงต้องสูญเสียพลังไปอย่างมากเป็นแน่ และก่อนหน้านี้ท่านก็ใช้วิชาระเบิดพิฆาตของหยาจื่อไปแล้ว!”
พูดจบ เขาก็สูดหายใจลึก ๆ ไปทีหนึ่ง ทันใดชายหนุ่มลุกขึ้นยืนตรง ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังพลางกล่าว “ข้าว่า ท่านในตอนนี้ คงจะเป็นเหมือนธนูยากรั้งสายแล้วเช่นกัน! ทนไม่ได้นานหรอก!”
สีหน้าของซูอี้ราบเรียบ จากนั้นเขาก็ตวัดฟันดาบลงไป
ดาบเดียวฟันภูเขาสะบั้น สิ่งรบกวนพลันหายไป
เพียงแค่ดาบเดียว นภากาศฉีกขาด ทุกอย่างสิ้นสุด!
อานุภาพดาบเช่นนั้นราวกับจะแยกฟ้าดินออกจากกัน ทำให้เทพเซียนและผีร้ายล้วนสยดสยอง
“ให้ตายสิ!!”
ฮั่วเหยาหวาดกลัวพลังดาบเล่มนี้ของซูอี้เสียจนขนลุกชัน ทั้งร่างสะท้านสั่นอย่างมิอาจควบคุม
เป็นเพราะอานุภาพของดาบเล่มนี้ปกคลุมไปทั่วสี่ทิศแปดด้าน เขาจึงไม่อาจจะแทรกตัวหลบหนีไปไหนได้อีก และได้แต่ฝืนเผชิญหน้าเท่านั้น
ภายใต้การคุกคามอันถึงแก่ชีวิตเช่นนี้ ประกายเทวะรอบตัวฮั่วเหยาเดือดพล่านราวกับสู้ตายเต็มที่ กฎเกณฑ์มหาวิถีในตัวราวกับเผาผลาญอย่างเต็มกำลัง
ร่างทั้งร่างของเขาราวกับเพลิงเทวะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ส่องสว่างในราตรีมืด เผาผลาญลุกโชติช่วง
“เปิด!”
เสียงตะโกนราวกับเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น
ฮั่วเหยาแสดงวิถีในตัวจนหมดสิ้น จากนั้นเขาก็ชักพลังดาบวิถีออกมาในทันใด
พลังดาบเปรียบดั่งอัคคีสวรรค์เก้าเมฆา โหมกระหน่ำรุกเร้า สามารถหลอมละลายได้ทุกสรรพสิ่ง!
ครืน…!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน สรรพสิ่งทลายสิ้น
พลังทำลายล้างอันดุเดือดและรุนแรงกำลังแผ่กระจายไปในอากาศ ภูเขาลำธารในรัศมีสามพันจั้งล้วนถูกเพลิงเทวะเผาผลาญจนไม่เหลือ
เมื่อประกายแสงอันร้อนแรงถอยออกไป ขณะที่ฝุ่นละอองหมอกควันคละคลุ้ง เสียงไออย่างรุนแรงก็ดังขึ้นบนผืนแผ่นดินไหม้เกรียมราวกับพื้นที่ร้างแห่งนี้
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ
เมื่อเขาก้าวเดินออกไปก็เห็นฮั่วเหยานั่งอยู่กับพื้น ร่างกายสะบักสะบอม มีแผลเหวอะหวะ ใบหน้าที่ซีดขาวเต็มไปด้วยคราบเลือดและคราบฝุ่น พลังปราณในตัวถดถอยจนถึงขั้นไม่อาจฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิมได้อีก
สายตาของซูอี้เลื่อนมาอยู่ที่หน้าอกของฮั่วเหยา
ตรงนั้นมีหยกชิ้นหนึ่งห้อยอยู่ มันมีขนาดประมาณฝ่ามือของเด็กทารก ส่องประกายแสงสีทองอ่อน ๆ เพียงแต่ว่าเวลานี้ผิวภายนอกของหยกชิ้นนี้เกิดรอยร้าวราวกับใยแมงมุม จึงดูหมองคล้ำและอับแสง
เมื่อเห็นของสิ่งนี้แล้ว ซูอี้ก็นิ่งตะลึง สายตาที่ลุ่มลึกราบเรียบผุดประกายแห่งความผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย
หยกชิ้นนี้ชื่อว่า ‘สงบใจ’
ตอนที่ฮั่วเหยาอยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณ ซูอี้กดขอบเขตการฝึกตนของเขาไว้ ทำไปเช่นนั้นก็เพื่อให้ฮั่วเหยาขจัดความเหี้ยมโหดภายในใจก่อนที่จะแสวงวิถีกลายเป็นจักรพรรดิ
และในเวลาดังกล่าวเช่นกัน ซูอี้ได้มอบหยกชิ้นนี้ให้แก่ฮั่วเหยา และบอกกับอีกฝ่ายว่า ระดับการฝึกตนต่ำสักหน่อย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับสิ่งใด หากเจอตัวประหลาดขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขณะที่ออกศึกษานอกสำนัก เจ้าก็สามารถใช้หยกชิ้นนี้เพื่อเอาตัวรอดได้เช่นกัน
เพียงแต่ซูอี้ไม่คิดมาก่อนเลยว่า เป็นเพราะ ‘จี้หยกสงบใจ’ ชิ้นนี้ที่เขามอบให้ฮั่วเหยาเมื่อชาติที่แล้ว เวลานี้ฮั่วเหยาจึงรอดชีวิตมาได้!
“มอบสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ให้แก่คนเนรคุณอย่างเจ้า เสียดายจริง ๆ“
ซูอี้พูดเบา ๆ
บนพื้น ฮั่วเหยาที่ลงไปกองกับพื้นแหงนหน้าขึ้นมองด้วยความยากลำบาก สายตาจับจ้องไปยังซูอี้ที่เข้ามาใกล้เพียงแค่เอื้อม จากนั้นเขาพลันฉีกหัวเราะออกมา “อาจารย์ แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร ข้าแพ้แล้ว ท่านจะจัดการเช่นใดก็แล้วแต่ท่าน แต่…”
เขาหุบยิ้ม สายตายังคงแสดงความดุดันออกมา “ต่อให้ข้าต้องตาย ก็ไม่มีทางเสียใจกับสิ่งที่กระทำไปในวันนี้!”
เสียงแหบแห้งและเบามาก ทว่าเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
สีหน้าของซูอี้ยังคงราบเรียบดังเดิม กล่าว “ขอถามเจ้าเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าเคยทำสิ่งใดผิดต่อเจ้าเช่นนั้นหรือ?”
ฮั่วเหยานิ่งเงียบไป
ฉับพลัน เขาก็หัวเราะขึ้นมา ชายหนุ่มส่ายหน้าพลางกล่าว “พูดเรื่องเหล่านี้มีประโยชน์อันใด? หรือว่าอาจารย์อยากจะเห็นศิษย์สำนึกเสียใจ อยากจะเห็นศิษย์ร้องไห้ฟูมฟายเช่นนั้นหรือ? ไม่! ข้าเป็นคนเลือกทางนี้เอง ข้าไม่มีทางจะเสียใจ!”
ซูอี้กล่าวเสียงเรียบ “เพราะเจ้ารู้ตัวว่าต้องตาย เสียใจไปก็ไร้ประโยชน์ หากต้องเป็นเช่นนี้ สู้แตกหักกับข้าจนถึงท้ายสุดอย่างเปิดเผยจะดีเสียกว่า และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องโต้แย้งด้วย เพราะว่าข้าไม่เคยคิดอยากจะเห็นเจ้าเสียใจ เพราะว่าเจ้า… ไม่คู่ควร”
สีหน้าของฮั่วเหยาเปลี่ยนไป
เวลานี้ ซูอี้เบนสายตามองไปไกล ๆ ก่อนจะกล่าว “ดูถึงตอนนี้ เจ้าคิดว่าข้าควรจะจัดการกับฮั่วเหยาเช่นใด?”
ท่ามกลางราตรีมืดมิดที่ห่างไกลออกไป จู่ ๆ ก็มีร่างผอมสูงร่างหนึ่งปรากฏกายขึ้น ผมยาวขาวโพลน รูปงามยิ่งนัก
เย่ลั่วนั่นเอง!
“ศิษย์น้องหก…”
ฮั่วเหยาทำหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา “เจ้า… เจ้ามาพิภพยมราชฝังวิถีได้อย่างไร!?”
เย่ลั่วไม่ได้สนใจอีกฝ่าย
เขาเดินผ่านอากาศตรงมาหยุดตรงหน้าซูอี้ จากนั้นสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง จึงโค้งคำนับพลางกล่าวคารวะ “ศิษย์เย่ลั่ว กราบคารวะอาจารย์!”
ที่ทะเลทุกข์เมื่อไม่นานมานี้ เย่ลั่วใช้ชีวิตอย่างสบายใจเฉิบ และยังเคยมองซูอี้ว่าเป็น ‘เจ้าตัวน้อย’ พยายามจะแย่งซื้อ ‘ศิลาเวียนไตรภพ’ จากมือซูอี้
จนกระทั่งได้เห็นเหตุการณ์ที่ซูอี้ฆ่าพวกหงอิ๋งแล้ว เย่ลั่วจึงเข้าใจแล้วจริง ๆ ว่าซูอี้มีท่าทีมีพิรุธหลายประการ
และเมื่อครู่นี้ เย่ลั่วแอบมองการต่อสู้ระหว่างซูอี้กับฮั่วเหยาอย่างลับ ๆ ทั้งยังแอบฟังคำสนทนาของคนทั้งสองด้วย
จนกระทั่งตอนนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ สีหน้าของเย่ลั่วจึงดูสับสนมาก มีทั้งความตื่นเต้นและดีใจอย่างระงับไม่อยู่ ทั้งยังมีความสับสนและงุนงงอย่างบอกไม่ถูกด้วยเช่นกัน
“ตอบคำถามของข้ามาก่อน” ซูอี้กล่าว
สีหน้าของเย่ลั่วเต็มไปด้วยความสับสน จากนั้นเขาจึงลดเสียงตอบ “อาจารย์ ให้ศิษย์ถามศิษย์พี่สามสักเรื่องได้หรือไม่ขอรับ?”
ซูอี้มองดูเย่ลั่วชั่วครู่ จึงกล่าว “ผิดถูกชั่วดี เจ้าก็เห็นหมดแล้ว บัดนี้กลับยากจะตัดสินใจ คงเป็นเพราะไม่อาจยอมรับสิ่งเหล่านี้ได้ ถูกต้องหรือไม่?”
เย่ลั่วพยักหน้า และกล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง “ศิษย์ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าศิษย์พี่สามจะ..อกตัญญูเช่นนี้ได้!”
ทันใด บนใบหน้าของเย่ลั่วผุดประกายการตัดสินใจแน่วแน่ จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในใจของข้า คนทรยศหลอกลวงอาจารย์ล้างผลาญบรรพชนอย่างเช่นศิษย์พี่สามต้องกำจัดไม่ให้เหลือซาก! อาจารย์ โปรดอนุญาตให้ศิษย์ลงมือจัดการคนชั่วคนนี้ด้วยเถอะขอรับ!!”
การทรยศของฮั่วเหยา ทำให้เย่ลั่วเจ็บใจและคับแค้นใจจนไม่อาจรับได้
แต่…
เขาก็รับไม่ได้เช่นกันที่ฮั่วเหยากระทำต่ออาจารย์เช่นนี้!!
ซูอี้โบกมือพลางกล่าว “ในใจของเจ้ามีความสับสน หากฆ่าฮั่วเหยาไปเช่นนี้ จะคลายปมในใจได้อย่างไร? ข้าให้โอกาสแก่เจ้า นับแต่ตอนนี้เป็นต้นไป จับตาดูฮั่วเหยาให้ดี อย่าให้เขาออกไปจากพิภพยมราชฝังวิถีได้ และห้ามให้คนที่มาพร้อมกับเขาเหล่านั้นออกไปด้วย”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา เย่ลั่วกับฮั่วเหยาต่างพากันตกตะลึง
“อาจารย์ ท่านทำเช่นนี้เพื่อเหตุอันใด?”
ฮั่วเหยาร้องถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ซูอี้ตอบ “หากใช้กำลังภายนอกฆ่าคนเนรคุณอย่างเจ้า สุดท้ายก็ไม่อาจทำให้ข้าสงบใจลงได้ จึงถือโอกาสตอนที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ และทำให้เย่ลั่วได้เข้าใจความจริงขึ้นมาได้”
ฮั่วเหยากล่าวราวกับไม่อยากจะเชื่อ “อาจารย์… ไม่คิดจะฆ่าศิษย์ในตอนนี้จริง ๆ หรือ?”
ซูอี้ไม่สนใจฮั่วเหยาอีก เขาเบนสายตาไปมองเย่ลั่ว ก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้าขอพูดตรง ๆ นี่คือการทดสอบหนึ่ง เจ้าสามารถเลือกที่จะพาฮั่วเหยาหนีไปได้ เจ้ายังสามารถเลือกที่จะช่วยเขาต่อสู้กับข้าได้ และยังสามารถเลือกที่จะทำตามที่ข้าพูดได้ด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนี้มอบให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจ”
เย่ลั่วสีหน้าเปลี่ยนในทันใด
เวลานี้เขาจึงเข้าใจความหมายที่อาจารย์ให้ตัวเองเป็นคนเลือก
“อย่าหาว่าข้าระแวง ข้า…ไม่กล้าจะเชื่อพวกเจ้าแล้วจริง ๆ บางทีนี่อาจจะเป็นดังคำกล่าวที่ว่าถูกงูกัดครั้งเดียว กลัวเชือกไปสิบปี”
ซูอี้กล่าวเย้ยหยันตัวเอง ระหว่างนั้นความผิดหวังก็ฉายผ่านใบหน้าของเขาอย่างมิอาจกลบเกลื่อน
เมื่อมองดูใบหน้าที่ค่อนข้างขาวซีด รวมถึงความผิดหวังที่แสดงออกบนใบหน้าของซูอี้แล้ว ในใจของเย่ลั่วก็เจ็บแปลบขึ้นมา จิตใจรู้สึกปั่นป่วน
อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่จะต้องผิดหวังเศร้าใจสักเท่าใดกันจึงเอ่ยพูดเช่นนี้ออกมาได้?
เขานิ่งเงียบไปสักครู่ จากนั้นจึงกล่าวทีละคำช้า ๆ “อาจารย์ ศิษย์จะพิสูจน์ให้ท่านได้เห็น ข้า เย่ลั่ว…ไม่เคยมีใจเป็นอื่น!”
“เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ วันข้างหน้าก็เป็นเช่นนี้ไม่เปลี่ยนแปลง!”
……….