บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 979 ต่างฝ่ายต่างสำแดงเดช
ตอนที่ 979: ต่างฝ่ายต่างสำแดงเดช
…………………………………………………..
ตอนที่ 979: ต่างฝ่ายต่างสำแดงเดช
ถึงแม้จะแลดูย่ำแย่ ทว่าฮั่วเหยาก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด
หลังจากที่ยืนอย่างมั่นคงแล้ว เขาก็หัวเราะเสียงดัง “สมบัติสิ่งนี้ก็คือไพ่ใบสุดท้ายในมืออาจารย์เช่นนั้นหรือ? ร้ายกาจจริง ๆ เสียด้วย!”
เขาจ้องดูค้อนทุบเซียนในมือซูอี้ จากนั้นกล่าวอย่างถอนใจ “แต่เสียดาย ถึงแม้สมบัติชิ้นนี้จะร้ายกาจ แต่ด้วยระดับวิถีของอาจารย์จึงยังไม่อาจสำแดงอานุภาพทั้งหมดของสมบัติชิ้นนี้ได้ อีกทั้งฝืนใช้เช่นนี้ระดับการฝึกตนของท่านมีแต่จะสูญเสียเร็วมากขึ้น และไม่อาจต้านทานได้นาน!”
ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจ เขาถือค้อนทุบเซียนราวกับถือดาบวิถีพุ่งเข้ามา
ค้อนทุบเซียนเป็นสมบัติล้ำค่าของยามบอกเวลา เดิมทีเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ ผนึกพลังแห่งราตรีมืดมิดอันแปลกประหลาดมหัศจรรย์
เวลานี้ถูกเขานำมาใช้แทนดาบวิถี ทำให้อานุภาพในตัวของเขาเพิ่มมากกว่าขึ้นเดิม!
ฮั่วเหยาสะบัดแขนเสื้อ
สวบ!
ดาบวิถีสีเพลิงแดงประหนึ่งไฟแผดเผาถูกชักออกมา ด้ามดาบสลักอักษรขนาดเท่ากับหัวแมลงวันไว้สองคำ ‘เมฆาแดง’ ตัวดาบเปล่งประกายวาววับ อานุภาพที่แผ่ซ่านออกมาทำให้ท้องฟ้าที่ห่างออกไปพันจั้งลุกไหม้
ดาบเมฆาแดง!
แววตาของซูอี้เต็มไปด้วยความสับสน
ดาบเล่มนี้ เป็นหนึ่งในสมบัติชั้นดีที่เขาเก็บรักษาไว้ในคลังสมบัติถ้ำเสวียนจวินมาโดยตลอด
เขาเคยบอกกับฮั่วเหยาว่า เมื่อใดที่ขจัดความมุทะลุในจิตใจไปได้แล้ว จะมอบดาบเมฆาแดงให้
แต่ หลังจากที่เขากลับชาติมาเกิดใหม่แล้ว ฮั่วเหยาก็แย่งสมบัติชิ้นนี้ไป!
ครืน!
มีดาบอยู่ในมือ กลิ่นอายพลังของฮั่วเหยาก็รุนแรงดุดันมากขึ้น เพียงแค่โจมตีเบา ๆ พลังของค้อนทุบเซียนก็ดับสลาย
เขาเชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง และกล่าวขึ้นว่า “อาจารย์ ไม่ได้เจอกันนาน ศิษย์จะให้ท่านได้เห็นฝีมือวิถีดาบของศิษย์!”
เมื่อเสียงดังกึกก้องสนั่นฟ้าดังขึ้น เขาก็ควบคุมดาบที่ห่อหุ้มไปด้วยภาวะดาบอันทรงพลังไร้เทียมทานราวกับเทพอัคคีผู้ยิ่งใหญ่ พุ่งตรงมายังซูอี้
ศึกใหญ่ปะทุขึ้นอีกครั้ง
เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว น่ากลัวยิ่งกว่ามาก
พลังดาบเพลิงอัคคีอันเร่าร้อนเปรียบได้กับมังกรใหญ่ตัวแล้วตัวเล่ากำลังเริงระบำอย่างบ้าคลั่งบนผืนปฐพี ทุกแห่งที่พาดผ่าน ท้องฟ้าพลันยุบตัว ภูเขาลำเนาไพรลุกไหม้
อานุภาพเช่นนี้ สามารถฆ่าตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้อย่างง่ายดาย!
ภายใต้ภาวะดาบอันบ้าคลั่งเช่นนี้ สถานการณ์ของซูอี้ก็ยิ่งอันตรายมากยิ่งขึ้น
เพียงแค่ไม่กี่กระบวนท่า เขาก็ได้รับบาดเจ็บ จนสีหน้าขาวซีดยิ่งกว่าเดิม
ถึงแม้ฝีมือวิถีดาบของเขาจะเก่งกาจจนน่าตื่นตะลึง ทว่าในการปะทะกันด้วยกำลัง อย่างไรเสียก็ยังแตกต่างกันมากเกินไป
ตึ้ง!!!
ทันใด เสียงระเบิดรุนแรงก็ดังขึ้น
ซูอี้เจ็บแปลบขึ้นที่ข้อมือ นิ้วทั้งห้าสั่นระริก ค้อนทุบเซียนหลุดกระเด็นออกจากมือ
“ฮ่า ๆๆ อาจารย์ รสชาติของการถูกกดหัวนั้นเป็นเช่นไร?”
ฮั่วเหยาหัวเราะลั่น
เขายื่นมือออกมาแย่งค้อนทุบเซียนไป สายตาผุดประกายแห่งความยินดี “วัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์นี้ อาจารย์ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ศิษย์จะดูแลรักษาสมบัติชิ้นนี้แทนท่านเอง”
พูดจบ เขาก็เก็บค้อนทุบเซียนไป
จากนั้น ฮั่วเหยาเบิกตาขึ้นมองดูซูอี้ที่อยู่ห่างออกไป ก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้ารู้ว่า อาจารย์ยังมีไพ่ใบสุดท้ายอย่างอื่นอีก ท่านจงรีบนำมาใช้เถอะ มิเช่นนั้น จะไม่มีโอกาสได้ใช้อีก”
เขาเดินเข้ามาใกล้ซูอี้ทีละก้าวด้วยกลิ่นอายกดข่ม พร้อมกับเพลิงอัคคีเผาสวรรค์
ดาบเมฆาแดงในมือส่งเสียงดังก้องราวกับกระหายเลือด
ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงตอนนี้ ถึงแม้ฮั่วเหยาจะแลดูบ้าระห่ำ ทว่าในการต่อสู้เขาก็ยังคงระมัดระวังตัวและป้องกันตัวเองเป็นอย่างดีอยู่ตลอด
เพราะเขารู้ดีว่า การจะจัดการกับผู้ชายที่เคยทำให้ตนเองเคารพยำเกรงมาเป็นเวลานาน จะประมาทไม่ได้แม้แต่น้อย มิเช่นนั้นเรือจะต้องพลิกในลำคลองอย่างแน่นอน!
“พูดตามตรง ฝีมือวิถีดาบของเจ้า อย่างไรเสียก็ยังด้อยอยู่มาก ไม่ต้องไปเปรียบกับผีหมัวหรือชิงถังหรอก เปรียบกับเสวียนหนิงผู้มีพรสวรรค์ค่อนข้างทึ่มด้านวิถีดาบ เจ้าก็ยังด้อยกว่า”
ในที่สุดซูอี้ก็เอ่ยพูดด้วยความผิดหวัง
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส เลือดเปรอะชุดที่ใส่ ทว่ากลับยังคงสงบนิ่งหยิ่งผยอง
และคำพูดซึ่งแฝงด้วยความผิดหวังนั้นคล้ายกับมีดกรีดแทงเข้าไปในหัวใจของฮั่วเหยาอย่างแรง
หากว่าเป็นคนอื่นพูดคำกล่าวนี้ ฮั่วเหยาย่อมไม่สนใจแน่นอน
ทว่าเมื่อคำกล่าวนี้หลุดออกมาจากปากของผู้ที่เคยอาจารย์ สำหรับเขาแล้ว มันเป็นการดูแคลนและไม่ยอมรับในตัวเขาอย่างที่สุด!
ใบหน้าหล่อเหลาของฮั่วเหยาบูดบึ้งขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “อาจารย์ ท่านบอกว่าข้าสู้เต่าเสวียนหนิงไม่ได้!? หึ ช่างน่าขันที่สุด!”
“ข้ารู้ ท่านอาจจะต้องการยุให้ข้าโกรธ และทำให้สภาพจิตของข้ามีช่องโหว่ เพื่อที่ท่านจะได้ฉวยโอกาส”
ว่าแล้ว ชายหนุ่มก็สูดหายใจไปลึก ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “แต่ ข้าจดจำคำกล่าวนี้ไว้แล้ว ประเดี๋ยวตอนที่ท่านคุกเข่าต่อหน้าข้า ข้าจะให้ท่านเก็บคำพูดประโยคนี้กลับคืนไป!”
เขาควงดาบพุ่งเข้ามา อานุภาพรุนแรงน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
ภูเขาลำเนาไพรที่อยู่ใกล้ ๆ ราวกับยอมสยบใต้ฝ่าเท้าของเขา พลังกดดันน่ากลัวทำให้ซูอี้รู้สึกราวกับตกอยู่ในบ่อโคลนดูด
นี่เป็นแรงกดดันอันมาจากตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ ซึ่งสามารถบดขยี้จิตวิญญาณของผู้ที่อยู่ในขอบเขตต่ำกว่าได้อย่างง่ายดาย!
“ไป!”
ซูอี้สะบัดแขนเสื้อ
ครืน!
ตราประทับวิถีสีดำทรงสี่เหลี่ยมปรากฏขึ้น มันระเบิดแสงมหาเทวะออกมา ฟ้าดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงในทันใด
ตราประทับพุทธะเป็นตาย!
สมบัติชั้นเลิศที่ผู้บวงสรวงสวรรค์ที่หนึ่งแห่งหอเก้าสวรรค์เป็นผู้หลอมสร้างขึ้นเองกับมือ อานุภาพน่ากลัวไร้ขอบเขต เหนือกว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ทั่วไป
อีกทั้ง เวลาที่ใช้สมบัติชิ้นนี้ ซูอี้ยังควบคุมโดยใช้พลังของดาบเก้าคุมขังอีกด้วย!
เมื่อสมบัติชิ้นนี้ปรากฏ ราวกับอสูรคีรีแห่งบรรพกาลลงมาสู่โลกมนุษย์ แสงเทวะส่องประกายเจิดจ้าราวกับจะทลายผืนพสุธาแห่งนี้ให้ล่มสลาย
ตึ้ง!!!
ฮั่วเหยาตวัดดาบเมฆาแดงเข้าสู้ ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตา ดาบเมฆาแดงก็ส่งเสียงดัง ร่างของฮั่วเหยาสั่นสะท้านจนร่วงหล่นจากท้องฟ้า และกระแทกกับพื้นอย่างแรง
เอื๊อก!
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันใด
อานุภาพของตราประทับนั้นเรียกได้ว่าน่ากลัวอย่างไร้ขอบเขต ทว่าฮั่วเหยาคาดไม่ถึงเลยสักนิดว่า ด้วยระดับการฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณของซูอี้นั้นจะสามารถควบคุมสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ได้
เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ
ทว่าชายหนุ่มไม่มีเวลาคิดตรึกตรองอีกแล้ว ตราประทับพุทธะเป็นตายทรงสี่เหลี่ยมนั้นซัดเข้าใส่อีกครั้งแล้ว
ครืน!!
ถึงแม้ฮั่วเหยาจะสำแดงอานุภาพวิถีดาบอันยิ่งใหญ่อย่างสุดแรงกำลังแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงถูกซัดจนร่างเซถลา เลือดกระอักออกจากปากอยู่ดี
“ฮึ!”
พลังแห่งความมุทะลุผุดขึ้นในสายตาของฮั่วเหยา เพลิงเทวะรอบกายระเบิด ปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน
เมื่อเห็นว่าตราประทับพุทธะเป็นตายซัดมาอีกครั้ง ฮั่วเหยาก็อ้าปากพ่นบางอย่างออกมา
โคมไฟสว่างดวงหนึ่งปรากฏขึ้น
ภายนอกตัวโคมสลักลวดลายมังกรเก้าตัวแหงนหน้าผงาดสู่ท้องฟ้า เมื่อพุ่งตัวขึ้นมา เสียงของมังกรคำรามราวกับฟ้าผ่าก็ดังสะท้านแผ่นฟ้าและแผ่นดิน
จากนั้นแสงเทวะสีทองเจิดจรัสพลันปรากฏขึ้นในตัวโคมไฟ ราตรีมืดมิดประดุจน้ำหมึกถูกขับไล่ออกไป เหลือแต่ความสว่างไสวราวกับกลางวัน!
โคมไฟเก้ามังกร!
ห่างออกไป เมื่อเห็นสมบัติชิ้นนี้แล้ว สายตาของซูอี้ก็เย็นเยียบลง
นี่เป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าที่เขาเก็บรวบรวมไว้เมื่อในอดีตชาติ ซึ่งหลอมสร้างจากวัตถุดิบทิพย์ในโลกกว้าง ภายในประกอบด้วย ‘ไฟแห่งสวรรค์ชั้นเก้า’
เพียงแค่สะเก็ดไฟเล็กน้อยก็สามารถแผดเผาภูเขาลำเนาไพรให้มอดไหม้ได้!
“ไป!”
ฮั่วเหยาส่งเสียงตะคอก
ครืน!
โคมไฟเก้ามังกรปล่อยแสงเทวะสีม่วงอันเจิดจรัสราวกับกลางวัน ซัดเข้าใส่ตราประทับพุทธะเป็นตาย
ทันใด แผ่นดินบริเวณนั้นราวกับจะล่มสลาย เพลิงเทวะที่พุ่งออกมากดทับตราประทับพุทธะเป็นตายอยู่ไม่ขาด ควบคุมสมบัติชิ้นนี้อย่างแน่นหนา สะเก็ดแสงที่สาดกระเซ็นออกมาทำให้ภูเขาลำเนาไพรในบริเวณนั้นมอดไหม้เป็นผุยผง
“มา!”
ผมยาวของฮั่วเหยาสะบัดพลิ้ว ทันใดเขาเอื้อมมือแสดงฤทธิ์เดชวิชาจับสมบัติล้ำค่า คว้าตราประทับพุทธะเป็นตายที่อยู่ห่างออกไปกลางอากาศแน่น
วูบ!
ตราประทับพุทธะเป็นตายสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างแรง
ร่างของซูอี้ที่อยู่ห่างออกไปสั่นคลอน เขากระอักเลือดอีกครั้ง
ฮั่วเหยาทนไม่ไหวจนเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า ๆๆ อาจารย์ ท่านโมโหจนกระอักเลือดเลยหรือ? เสียดายตรงที่ สมบัติชิ้นนี้อยู่ในมือท่านไม่ต่างไปจากตาบอดได้แก้ว เสียดายของ ให้ศิษย์เก็บรักษาแทนท่านจะดีกว่า!”
เสียงยังคงดังก้อง ขณะเขากำมือแน่น
ตราประทับพุทธะเป็นตายที่อยู่ออกไปหลายสิบจั้งส่งเสียงแสบแก้วหู ลอยไปหาฮั่วเหยา
เมื่อเห็นว่าสมบัติชิ้นนี้ใกล้จะตกอยู่ในมือของฮั่วเหยาอยู่แล้ว ในสายตาของซูอี้ที่อยู่ห่างออกไปผุดประกายเย็นวาบ เขาส่งเสียงพูดเบา ๆ ออกมา “สำแดง!”
กลิ่นอายพลังดาบเก้าคุมขังที่รายล้อมอยู่รอบตราประทับพุทธะเป็นตายพลันปล่อยอานุภาพอันน่ากลัวออกมา ทำให้ตราประทับพุทธะเป็นตายหลุดพ้นจากการควบคุม และกดทับไปที่ร่างของฮั่วเหยาอย่างแรง
ครืน!!
ผืนฟ้าบริเวณนั้นแตกระเบิด ร่างของฮั่วเหยากระแทกพื้นอย่างแรง ผิวหนังบนตัวปริแตกทีละน้อย โลหิตซึมผ่านบาดแผลบนร่างกาย
ทว่าซูอี้กลับขมวดคิ้ว
เพราะในเวลาสำคัญเช่นนี้ ตราประทับพุทธะเป็นตายกลับถูกขัดขวางด้วยชุดเกราะเหล็กที่ฮั่วเหยาสวมติดตัว เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก
เกราะเหล็กชุดนั้นผนึกด้วยลายวิถีสีเงินหมองอันประหลาด ปกคลุมทั่วตัวฮั่วเหยาราวกับม่านแสง แลดูลึกลับยิ่งนัก
เกราะสวรรค์แสงเงิน!
มันก็เป็นสมบัติล้ำค่าเช่นเดียวกับโคมไฟเก้ามังกรที่ซูอี้เก็บรักษาไว้เมื่อในอดีตชาติ มีคุณสมบัติในการปกป้องรักษาที่แข็งแกร่ง มันสามารถสลายการโจมตีอย่างสุดแรงกำลังของผู้แข็งแกร่งขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ
เป็นเพราะมีสมบัติชิ้นนี้คอยป้องกัน ถึงแม้ฮั่วเหยาจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่อันตรายถึงชีวิต
“บัดซบ!!”
เมื่อถูกทำร้ายอย่างกะทันหัน ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของฮั่วเหยาช้ำเลือดช้ำหนอง สายตาดุดันน่ากลัว
เขายื่นมือออกไปคว้า ‘ตราประทับพุทธะเป็นตาย’ ที่ลดกำลังอานุภาพลง
จากนั้นสายตาที่คล้ายกับสายฟ้าผ่าของฮั่วเหยาก็มองไปที่ซูอี้ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน “อาจารย์ ขัดขืนอีกมีประโยชน์อันใด? ท่านก็เห็นแล้ว ต่อให้ตราประทับนี้ร้ายกาจสักแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องสยบต่อข้า!”
พูดจบ เขากำลังจะเก็บตราประทับพุทธะเป็นตาย
ทว่าในชั่วขณะนี้เอง ภายในตราประทับพุทธะเป็นตายราวกับมีพลังที่สงบนิ่งมาเป็นเวลาเนิ่นนานตื่นขึ้น ชั่วขณะนี้มันได้ปล่อยพลังทำลายล้างออกมา
ฉึบ!
สถานการณ์เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง จนทำให้ฮั่วเหยารับมือไม่ทัน นิ้วมือทั้งห้าที่บีบจับตราประทับแน่นถูกสะเทือนจนขาด เลือดอาบชโลม
“ไม่ได้การ!” ฮั่วเหยาถอยโดยเร็ว
แทบจะในเวลาเดียวกัน ร่างผอมสูงในชุดสีดำผุดออกมาจากตราประทับพุทธะเป็นตาย
เขาสวมรัดเกล้าสีดำบนศีรษะ สวมชุดยาวสีดำ แก้มตอบไว้หนวดแพะ พอปรากฏตัวขึ้น อานุภาพน่ากลัวสะเทือนฟ้าดินก็แผ่กระจายออกไป
พลังเช่นนั้น ทำให้ฮั่วเหยาที่หลบอยู่ห่าง ๆ ถึงกับหรี่ตาลง สะดุ้งสุดตัว ตาเฒ่าขอบเขตระดับฝึกตนใดกันที่เก็บพลังมุ่งมั่นภาวะวิถีอันแข็งแกร่งนี้เอาไว้?
ไม่ไกลนัก ซูอี้ก็เหลือบมองไปยังผู้เฒ่าร่างผ่ายผอมผู้สวมชุดดำหมวกคลุมดำ ด้วยสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก
ตอนที่ได้รับตราประทับพุทธะเป็นตาย เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังมุ่งมั่นอันแข็งแกร่งที่พรางตนอยู่ในสมบัติชิ้นนี้แล้ว
และก็เป็นเพราะยมบาลจึงทำให้ซูอี้รู้ว่า พลังมุ่งมั่นนี้เป็นของผู้บวงสรวงสวรรค์ที่หนึ่งแห่งหอเก้าสวรรค์!
……….