บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 977 ความมุทะลุของฮั่วเหยา
ตอนที่ 977: ความมุทะลุของฮั่วเหยา
…………………………………………………..
ตอนที่ 977: ความมุทะลุของฮั่วเหยา
ณ เทือกเขาดับวิญญาณ
ภายในตำหนักแห่งหนึ่ง
กู้จื้อหมิงกำลังรอคอยด้วยความร้อนใจ
ทันใด เกิดระลอกคลื่นขึ้นกลางอากาศ ร่าง ๆ หนึ่งปรากฏตัว
บุคคลในชุดสีแดง รูปงามดังหยก เขาคือฮั่วเหยานั่นเอง
“อาจารย์อา!”
กู้จื้อหมิงแสดงความเคารพด้วยความยินดี
“ไม่ต้องพูดมาก เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ให้ข้าฟัง”
เขายืนมือไพล่หลัง ตัวยืดตรง ทุกอากัปกิริยาแฝงไว้ซึ่งความไม่ธรรมดา
ท่าทีเช่นนั้น คล้ายคลึงกับท่าทีของซูอี้
เพียงแต่ว่า ถึงแม้ฮั่วเหยาจะแลดูสงบนิ่ง ทว่าเวลาที่กระพริบตา เพลิงพลังแห่งความทะนงตนวางอำนาจจะเผยออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ขอรับ!”
กู้จื้อหมิงไม่กล้ารอช้าอีก เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้าอย่างละเอียด
เมื่อตั้งใจฟังจนจบแล้ว ลึกเข้าไปในสายตาของฮั่วเหยาผุดประกายตื่นตัวร้อนผ่าวขึ้นมา
ถูกตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำสี่คนโอบล้อมก็ยังสามารถพลิกสถานการณ์ได้ ถอยไปอย่างง่ายดาย ตลอดทางยังสามารถใช้ระดับการฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณฝ่าวงล้อมของเหล่าผู้เป็นจักรพรรดิออกไปได้!
มองไปทั่วทั้งแดนดิน นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน กระทำได้เช่นนี้กล่าวได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน!
“คน ๆ นี้หนีไปทางใด?”
ฮั่วเหยาเอ่ยถามถึงเรื่องนี้โดยไม่ถามถึงรายละเอียดอีก
กู้จื้อหมิงรีบหยิบแผ่นหยกทรงกลมสีแดงออกมา ใช้สองมือประเคนส่งให้ “อาจารย์อา ก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กับซูอี้ ข้าแอบทิ้งผง ‘ธูปไร้เงา’ ติดตัวซูอี้ ท่านเพียงแต่ใช้ ‘กระดานไร้เงา’ แผ่นนี้ก็สามารถรับรู้ร่องรอยเบาะแสของซูอี้ได้”
ฮั่วเหยาพยักหน้าน้อย ๆ ยื่นมือไปรับแผ่นหยกสีแดงมา
ขณะที่เขากำลังจะจากไป พลันนึกอะไรขึ้นได้ เบนสายตามองไปที่กู้จื้อหมิง กล่าว “เกี่ยวกับที่มาของคน ๆ นี้ เจ้าได้บอกใครไปหรือไม่?”
ร่างของกู้จื้อหมิงแข็งกระด้าง ตอบเบา ๆ “อาจารย์อาโปรดวางใจ นอกจากตาเฒ่าขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำทั้งสี่คนนั้นแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องของซูอี้อีกขอรับ!”
ฮั่วเหยาส่งเสียงตอบอืม จากนั้นกล่าว “เจ้าทำได้ไม่เลว”
เสียงยังคงดังกึกก้อง ทว่าร่างของฮั่วเหยากลายเป็นลำแสงหายไปกลางอากาศแล้ว
กู้จื้อหมิงจึงยืดหลังที่งออยู่นั้นขึ้นมาด้วยความโล่งอก และในเวลานี้เช่นกัน เขาจึงพบว่าเสื้อด้านหลังของตัวเองเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“อานุภาพของอาจารย์อานับวันยิ่งน่ากลัวขึ้นทุกวัน…”
กู้จื้อหมิงใจสั่น
ใครกันจะคาดคิดว่าเมื่อห้าร้อยปีก่อน อาจารย์อายังไม่ได้พิสูจน์เต๋าสู่ขอบเขตจักรพรรดิ?
และใครกันจะคาดคิดว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา อาจารย์อาคือผู้ที่ถูกมองว่าเป็นศิษย์ที่โง่เขลาที่สุดในบรรดาศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน?
ทว่าบัดนี้ เพียงแค่ระยะเวลาห้าร้อยปี อาจารย์อากลายเป็นลูกพี่ใหญ่ของขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำไปเสียแล้ว!!
——
บนฟ้า แสงจันทร์นวลผ่อง
ซูอี้เดินทางท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรอันมืดมิด
รอบด้านมืดมน ซ่อนเร้นอำพรางกำลังอันตรายที่น่ากลัวไม่รู้เท่าใด แม้แต่ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิก็ยังไม่กล้าบุกเข้ามาในพื้นที่แถบนี้
ทว่าซูอี้กลับก้าวเดินอย่างสบาย ข้ามผ่านทุกอย่างไปได้ตลอดทาง
ในมือของเขา ประกายราตรีตลอดกาลอันเลือนลางที่สะท้อนออกมาจากค้อนทุบเซียนแปรเปลี่ยนเป็นระลอกคลื่นพลังอันไร้รูปร่าง ทำให้ตลอดทั้งเส้นทางของเขาราบรื่นไร้อุปสรรคและขวากหนาม
“อีกไม่กี่ร้อยลี้ก็จะถึง ‘ภูเขาน้ำเต้าเซียน’ แล้ว…”
ระหว่างการเดินทาง ซูอี้เบิกตามองไปรอบด้าน คาดเดาตำแหน่งของตนเองโดยประมาณ
ภูเขาน้ำเต้าเซียนตั้งอยู่ในดินแดนลึกลับที่ไม่มีใครรู้จักในพิภพยมราชฝังวิถี ลักษณะของภูเขาลูกนี้คล้ายกับน้ำเต้าขนาดใหญ่ มีหมอกสีขาวบาง ๆ ห้อมล้อมตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่า ‘ภูเขาน้ำเต้าเซียน’
สิ่งที่คนอื่น ๆ ไม่รู้ก็คือ ‘แท่นเกิดใหม่’ ที่ลึกลับที่สุดในพิภพยมราชฝังวิถีตั้งอยู่บนภูเขาน้ำเต้าเซียน!
เพียงแต่ ถึงแม้จะมีคนสามารถไปถึงภูเขาน้ำเต้าเซียนได้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหา ‘แท่นเกิดใหม่’ พบ
สถานที่แห่งนั้นมีความลึกลับมาก หากไม่อาจกุมความลับที่เกี่ยวข้องกับวัฏสงสารได้ ต่อให้มีระดับการฝึกตนสูงเพียงไหนก็ไม่อาจได้ยลโฉมหน้าที่แท้จริง
และครั้งนี้ ซูอี้มอง ‘แท่นเกิดใหม่’ เป็นดินแดนแห่งการพิสูจน์เต๋าเพื่อเป็นจักรพรรดิ!
ฉับพลัน…
ซูอี้ผู้ที่บินโฉบอยู่กลางอากาศดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาหยุดยืนอยู่กลางอากาศ ดวงตาลุ่มลึกมองไปที่ยอดภูเขาสูงที่ห่างออกไปลูกนั้น
ที่นั่น ไม่รู้ว่ามีร่างของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อใด
สวมใส่ชุดสีแดงทั้งตัว มือไพล่หลัง แหงนหน้ามองดูท้องฟ้า ดวงจันทร์แสงขาวนวลประดุจหิมะสาดส่องลงมา รับกับร่างที่ยืนตรงเป็นสง่าร่างนั้นทำให้แลดูไม่ธรรมดา
ซูอี้เลิกหัวคิ้วขึ้นเล็กน้อย คาดไม่ถึงเลย!
ในขณะเดียวกันนี้เอง ร่างในชุดสีแดงเพลิงร่างนั้นก็หมุนตัวมา สายตาเปรียบประดุจสายฟ้าอันสว่างเจิดจ้าผ่าลงกลางท้องนภา มองมาที่ซูอี้แต่ไกล ๆ
จากนั้น สีหน้าที่ราบเรียบในตอนแรกของชายหนุ่มชุดสีแดงพลันเปลี่ยนไปมีแต่ความสับสน
ทั้งตื่นตระหนก ทั้งหวาดกลัว ทั้งยำเกรง ทั้งยากจะเชื่อ….
ทว่าความรู้สึกสับสนอย่างประหลาดเหล่านี้ก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว
รอยยิ้มนั้นมีความตื่นตัวจนไม่อาจระงับได้อยู่ จนเป็นเหตุให้ดวงตาคู่นั้นของเขาผุดประกายส่องสว่างน่ากลัวตามไปด้วย
เขาปัดเสื้อ จากนั้นก้าวเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เพียงเบา ๆ ก็ลอยตัวเข้ามาใกล้ซูอี้
“อาจารย์ หลายปีมานี้ ศิษย์ตามหาท่านด้วยความยากลำบากเหลือเกิน”
ชุดตัวยาวสีแดงของชายหนุ่มโบกสะบัดดังพรึบ ๆ เสียงที่เอ่ยพูดออกมาเต็มไปด้วยความตัดพ้อ
ซูอี้พินิจมองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นถอนใจขึ้นมาเบา ๆ กล่าว “เสียดายนัก สุดท้ายเจ้าก็ไม่เชื่อฟังคำของข้า บรรลุขอบเขตเป็นจักรพรรดิไปตั้งนานแล้ว”
ชายหนุ่มชุดยาวสีแดงก็คือผู้สืบทอดที่สามของเขา ฮั่วเหยา!
เมื่อชาติก่อน ซูอี้เคยบุกตะลุยดินแดนอันตรายโบราณแห่งหนึ่งแล้วพบเจอครรภ์อสูรที่ถูกเพาะเลี้ยงอยู่ในแหล่งกำเนิดไฟ
ทารกที่เพาะเลี้ยงในครรภ์อสูรเป็นทารกเผ่ามารวิญญาณอัคคี!
ทารกคนนี้ก็คือฮั่วเหยา!
กล่าวได้ว่าฮั่วเหยาเติบโตอยู่ข้างกายเขามาตลอด
ได้ยินคำของซูอี้แล้ว ฮั่วเหยาแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างเปิดเผย กล่าว “หากว่าข้าเชื่อฟังอาจารย์ เกรงว่าจนถึงวันที่หมดอายุขัยก็ยังไม่อาจพิสูจน์เต๋ากลายเป็นจักรพรรดิได้!”
ฉับพลัน ฮั่วเหยาเหมือนจะรู้สึกได้ว่าคำพูดที่กล่าวไปนี้ยังไม่สาแก่ใจ หรือบางทีอาจเป็นเพราะหาโอกาสระบายความเคียดแค้นภายในใจออกมาได้แล้ว จึงกล่าวด้วยความโกรธ “ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เป็นเพราะเชื่อฟังคำของท่าน ข้าจึงกลายเป็นตัวตลกในสายตาคนทั้งหลาย กลายเป็นศิษย์ที่โง่เขลาเบาปัญญาที่สุดในบรรดาศิษย์สายตรงทั้งเก้าของท่าน!”
“อาจารย์ ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนั้นข้ารู้สึกน้อยใจและเสียใจเพียงใด? มองดูศิษย์น้องคนอื่น ๆ พิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิกันไปจนหมด มองดูพวกเขาแต่ละคนล้ำหน้าข้าไป ความรู้สึกเช่นนั้น ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเจ็บปวดเพียงไหน?”
เสียงของเขาดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดินราวกับเสียงสายฟ้าฟาด
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาแฝงไว้ซึ่งความมุทะลุ
ซูอี้ขมวดคิ้วกล่าว “ข้าเคยบอกไปตั้งนานแล้วว่าหากวันข้างหน้าเจ้าต้องการพิสูจน์เต๋าสู่ขอบเขตจักรพรรดิ จะต้องขจัดความมุทะลุภายในจิตตอนอยู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณให้หมดไป มิเช่นนั้น ชั่วชีวิตนี้ก็จะไม่มีวาสนาเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิ”
ในบรรดาศิษย์สายตรงทั้งเก้าของเขา พรสวรรค์ของฮั่วเหยาโดดเด่นมาก ถึงแม้จะด้อยกว่าพรสวรรค์ของชิงถังศิษย์คนเล็กอยู่บ้าง ทว่าก็ยังเรียกได้ว่าเป็นกิเลนที่หาพบได้ยากในหมื่นปี
แต่ซูอี้ก็รู้สึกได้ตั้งนานแล้วเช่นกันว่า ในภาวะจิตของฮั่วเหยาผู้เป็นบุคคลรุ่นหลังของเผ่ามารวิญญาณอัคคีมีความมุทะลุซึ่งติดตัวมาแต่กำเนิด
หากไม่อาจขจัดความมุทะลุนี้ให้หมดสิ้นไปได้ วันข้างหน้าก็อย่าหวังว่าจะบรรลุขอบเขตจักรพรรดิ
และก็เป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อตอนที่ฮั่วเหยายังอยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณ ซูอี้ใช้มหาประจักษ์ซึ่งมีความเร้นลับมากวิชาหนึ่งยับยั้งระดับวิถีของฮั่วเหยาด้วยตัวเขาเอง ทั้งยังบอกกับฮั่วเหยาวว่าเมื่อไรที่ความมุทะลุภายในใจดับไป เมื่อนั้นค่อยพิสูจน์เต๋าบรรลุขอบเขตจักรพรรดิ
แต่เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ซูอี้กลับชาติมาเกิดใหม่ ฮั่วเหยาฝืนต่อคำสั่งของเขา เลือกที่จะบรรลุขอบเขตในทันที
“ฮ่า ๆ!”
ฮั่วเหยาราวกับได้ฟังเรื่องตลกมากเรื่องหนึ่ง เงยหน้าปล่อยหัวเราะเสียงดังออกมา “อาจารย์ นี่มันเมื่อไรกันแล้ว ท่านยังเอาเหตุผลบ้าบอเช่นนี้มายัดเยียดให้ข้าอีก!”
เขาชี้นิ้วมาที่ตัวเอง กล่าวทีละคำชัด ๆ “เห็นหรือยัง ภายในระยะเวลาสั้น ๆ แค่ห้าร้อยปี ข้าก็อยู่ในระดับการฝึกตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลางแล้ว!”
ครืน!
ชุดที่เขาใส่พองลม ผมยาวสยายตามแรงลม สายรุ้งเทวะเพลิงอัคคีเส้นแล้วเส้นเล่าปรากฏรอบตัว พุ่งขึ้นฟ้ากระโจนลงดินราวกับเทพเซียนเดินออกมาจากเพลิงอัคคี
ดวงตาของเขาส่องสว่างประดุจคบเพลิง แผดเสียงกล่าว “หากไม่ใช่เพราะถูกท่านยับยั้งเป็นเวลาหกหมื่นปีเต็ม ๆ เช่นนี้ ด้วยพรสวรรค์และพื้นฐานของข้า สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วแดนเทวา เป็นที่ยำเกรงทั่วมหาแดนดินไปตั้งนานแล้ว พูดถึงความสำเร็จ ไม่มีทางตกเป็นรองศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์น้องเล็กอย่างแน่นอน!!”
ฮั่วเหยาจ้องไปที่ซูอี้ไม่คลาดสายตา “หกหมื่นปี! ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าผ่านมันมาได้อย่างไร?”
ความโกรธแค้นไม่พอใจในน้ำเสียงถูกเปิดเผยออกมาจนหมด
ซูอี้มองดูฮัวเหยียนสักครู่ จากนั้นจึงกล่าวเสียงเรียบ “อายุขัยของขอบเขตวงล้อวิญญาณ มากสุดเพียงแค่แปดพันปีเท่านั้น สาเหตุที่เจ้าสามารถมีชีวิตอยู่มาได้ถึงหกหมื่นปี เป็นเพราะข้าช่วยยืดชีวิตให้แก่เจ้ามาโดยตลอด ทั้งหมดที่ทำไปก็เพื่อขจัดความมุทะลุในจิตใจของเจ้า”
ฮั่วเหยานิ่งตะลึง โกรธจนหัวเราะออกมา
ซูอี้กล่าวต่อ “ที่ผ่านมา ข้าก็ประหลาดใจเช่นกัน ถึงแม้จะบอกว่าทลายภูเขานั้นง่าย ทลายใจนั้นยาก แต่ด้วยสติปัญญาความฉลาดของเจ้า เป็นไปไม่ได้ที่จะทำถึงขั้นนี้ไม่ได้ แต่ตอนนี้ ข้าพอจะเข้าใจบ้างแล้ว”
เขาเหลือบมองไปที่ฮั่วเหยา กล่าว “ในช่วงเวลาปีนั้น ความมุทะลุในจิตใจของเจ้ากลายเป็นความเคียดแค้นที่มีต่อข้าไปตั้งนานแล้ว ด้วยเหตุนี้ จะขจัดความมุทะลุภายในใจได้อย่างไรอีก?”
พูดถึงท้ายสุด เขาอดถอนใจขึ้นมาไม่ได้
เช่นนี้เรียกว่ากรรม!
ยิ่งเขาปรารถนาดีต่อฮั่วเหยา ยิ่งคาดหวังให้ฮั่วเหยาขจัดความมุทะลุ ฮั่วเหยาก็จะยิ่งเคียดแค้นตัวเอง ความมุทะลุภายในจิตใจก็ยิ่งฝังรากลึก!
กลายเป็นปมเงื่อนตาย
เมื่อได้ยินคำของซูอี้แล้ว ฮั่วเหยากลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันและเหยียดหยาม “ความมุทะลุบ้าบออะไรกัน หากว่าสภาพจิตใจของข้ามีปัญหา เหตุใดข้าจึงสามารถพิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิได้? เหตุใดจึงสามารถย่างก้าวสู่ขอบเขตหยั่งรู้ลึกล้ำระยะกลางได้ภายในระยะเวลานั้น ๆ ห้าร้อยปีได้?”
ซูอี้สีหน้าเย็นยะเยือกลงมา
เขาเลี้ยงดูฮั่วเหยาจนเติบใหญ่ ทว่าบัดนี้กลับมองเขาว่าเป็นศัตรู เช่นนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสะท้อนใจ หมดเรี่ยวแรงกำลังใจไปด้วยเช่นกัน
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ จึงกล่าว “ตอนนั้น ศิษย์น้องเล็กของเจ้าบอกว่า พลังตรวจจับเทวาเสวียนซูที่ข้ามอบให้ศิษย์น้องสี่ของเจ้าดูแลรักษา ถูกเจ้าขโมยไป เป็นความจริงหรือไม่?”
ดวงตาของฮั่วเหยาสั่นเครือ จากนั้นเขาก็ยิ้มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คนสารเลวอย่างชิงถังก็มาใส่ร้ายข้าอีก ในเมื่ออาจารย์กล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ข้าก็จะตอบตามตรง ศิษย์น้องจิ่นขุยทำตามคำสั่งของศิษย์พี่ใหญ่ มอบพลังตรวจจับเทวาเสวียนซูให้กับข้าเอง!”
พลังตรวจจับเสวียนซูสามารถควบคุมพลังค่ายกลกักขังของถ้ำเสวียนจวิน
ตอนนั้น สาเหตุที่ผีหมัวคบคิดกับศัตรูภายนอกและสามารถบุกเข้าถ้ำเสวียนจวินได้โดยง่าย เป็นเพราะมีคนประสานภายนอกกับผีหมัว โดยใช้พลังตรวจจับเสวียนซูถอนค่ายกลกักขังของถ้ำเสวียนจวิน
ต่อปัญหานี้ ฮั่วเหยากลับอดไม่ได้หัวเราะขึ้นมา “อาจารย์ หากว่าท่านต้องการรู้เรื่องในตอนนั้น ท่านสามารถตามข้ากลับไปได้ เมื่อศิษย์พี่ใหญ่กลับมาแล้ว พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องจะเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนั้นท่านฟัง เป็นอย่างไร?”
เขาพูดจาดูเหมือนจะเคารพนบน้อม ทว่าสายตากับสีหน้านั้นแฝงไว้ซึ่งอาการหยอกล้อ
เปรียบได้กับแมวที่กำลังหยอกหนู!
……….