บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 973 ประกาศิตพร่างสวรรค์
ตอนที่ 973: ประกาศิตพร่างสวรรค์
…………………………………………………..
ตอนที่ 973: ประกาศิตพร่างสวรรค์
“ชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณหรือ?”
หลังจากได้ข่าวจากฟู่ตงหัว กู้จื้อหมิงก็ตะลึงไป แววตาฉายประกายประหลาด
หนีซวง ซั่งกวนเจี๋ยและเฉิงเทียนคุนก็แปลกใจเช่นกัน
“เหวยหงเป็นผู้ดูแลผู้หนึ่งในคีรีดาบเก้าดารา เป็นจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ เขาจะถูกจับกุมในหนึ่งกระบวนได้เช่นไร?”
“เจ้าหนูผู้นี้มีปัญหาใหญ่แน่!”
“กระทั่งผู้เฒ่าอย่างฟู่ตงหัวยังไม่อาจล่วงรู้เกี่ยวกับชายผู้นี้ได้ แปลกจริง ๆ”
…ทุกผู้ครุ่นคิด
ทว่า ดวงตาของกู้จื้อหมิงกวาดมองคนทุกผู้ในโถง และกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“ข้าสังหรณ์ว่า คนผู้นี้… อาจเป็นคนที่เรารออยู่ก็ได้!”
โถงพลันเงียบกริบ
ทุกคนตกใจ
กู้จื้อหมิงลุกขึ้นกล่าวด้วยแววตาพราวระยับ “ถึงกาลลงมือแล้ว”
…
พิภพยมราชฝังวิถีเป็นซากโบราณที่มีมาแต่โบราณ และที่แท้แล้วเป็นโลกกว้างอันไพศาลยิ่ง
ในโลกกว้างใบนี้ วันคืนเปลี่ยนผันทุกเจ็ดวัน
กลางวันนั้นแสนสั้น กินเวลาเพียงหนึ่งวัน และยามนี้เองที่พิภพยมราชฝังวิถีปลอดภัยที่สุด แทบไร้อันตรายหรือสิ่งแปลกประหลาดใด ๆ
และยามรัตติกาลเยือน มันจะคงอยู่เป็นเวลาเจ็ดวัน
ในเจ็ดวันนี้ ทุกภยันตรายเกินคาดเดาจะเกิดขึ้นแทบจะทั่วพิภพนี้
มีทั้งวิญญาณผู้กล้าโบราณซุกซ่อนใต้พิภพที่จะปรากฏสู่เวหา
มีทั้งวิญญาณร้ายน่าหวาดหวั่นหลอกหลอน
และยังมีขุมกำลังหายนะมากมายที่จะโผล่มาอย่างกะทันหัน และปลิดชีวิตจักรพรรดิอย่างง่ายดาย
และยามนี้คือค่ำคืนในพิภพยมราชฝังวิถี
ยามนี้ ต่อให้ผู้เดินทางเป็นจักรพรรดิ เขาก็ต้องระวังตนในทุกย่างก้าว
ทว่าในสายตาซูอี้ เขาไร้สิ่งใดให้พูดถึง
ในอดีตชาติของเขา เพื่อสำรวจหาเคล็ดเวียนวัฏสงสาร เขาเดินทางสำรวจแทบทุกที่ในพิภพยมราชฝังวิถีนี้ และรู้สภาพดินแดนต้องห้ามแห่งนี้ดี
ที่ใดมีอันตราย ที่ใดมิอาจเข้าใกล้ ที่ใดถึงตาย เขารู้ดีกว่าใคร
ในสายตาคนนอก ชีวิตทุกคนในที่แห่งนี้แขวนบนเส้นด้าย แต่ในสายตาเขา มันไม่ต่างจากการเยือนถิ่นเก่า
วูบ!
เขาเดินเรื่อยเฉื่อยท่ามกลางขุนเขาลำธารกว้างไกล
ระหว่างทางมีจันทร์เพ็ญสีเงินลอยเด่นบนฟ้า ไร้อันตรายและความปั่นป่วนใด ๆ
“ไม่รู้ว่าผีเฒ่าแบกโลงไปติดอยู่หนใด ไว้หาตัวไก่แจ้เฒ่าเจอ คงไม่สายหากจะหาที่อยู่เจ้าเฒ่านั่น”
“ส่วนการพิสูจน์วิถีสู่จักรพรรดิ… ให้เลือกก็คงไปเลื่อนขอบเขตที่ ‘แท่นเกิดใหม่’ ที่แห่งนั้นมีพลังกฎเกณฑ์ต้นกำเนิดมากที่สุดแล้ว และแต่เดิมเชื่อมกับ ‘สระเวียนวัฏ’ ด้วย”
“แม้สระเวียนวัฏจะถูกทำลายไปแล้ว แต่ก็ถือได้ว่ามีร่องรอยการเวียนว่ายตายเกิดมากมายหลงเหลืออยู่ เมื่อพิสูจน์วิถีเป็นจักรพรรดิ การเก็บปราณเวียนวัฏเพิ่มอีกคงทำได้”
ซูอี้ครุ่นคิดพลางเดินไปเบื้องหน้า
สองชั่วยามต่อมา
ไกลออกไป ภูเขาสีดำสูงพันจั้งแห่งหนึ่งก็ปรากฏในคลองจักษุของซูอี้
เทือกเขาดับวิญญาณ!
จากวาจาของฟู่ตงหัว ยอดฝีมือจากพันธมิตรเสวียนจวินประจำการอยู่ที่เทือกเขาดับวิญญาณ
ซูอี้มองเทือกเขาดับวิญญาณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินต่อ
ฝีเท้าของซูอี้ชะลอลงเมื่อเข้าไปในม่านหมอกสีเลือด และยืนนิ่งอยู่เป็นครั้งคราว
และทุกครั้งที่เขาหยุดฝีเท้า รอยแตกมิติยาวเรียวจะปรากฏเงียบ ๆ ในหมอกสีเลือด
รอยแตกมิติเหล่านี้ไขว้ซ้อนทับกัน เฉือนสุญญะสะบั้นเป็นริ้วนับไม่ถ้วน ในริ้วแยกนั้นมีคลื่นมิติกระเพื่อมช้า ๆ
ทว่า ซูอี้รู้ว่าขอเพียงเขาแตะรอยแยกมิติเหล่านั้น คลื่นมิติอันดูเชื่องช้าจะแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นอำนาจรุนแรงเกินต้าน ซึ่งสามารถฉีกร่างจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำเป็นชิ้น ๆ ได้ง่าย ๆ
ต่อให้เปลี่ยนมาเป็นจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ ไม่ตายก็ต้องถูกถลกหนังอยู่ดี!
เรื่องนี้ ซูอี้ไม่แปลกใจเลย
เขาเดิน ๆ หยุด ๆ และครึ่งชั่วยามต่อมา ในที่สุดเขาก็เดินออกจากโลกหล้าอันปกคลุมด้วยหมอกสีเลือดจนได้
ไกลออกไป ท่ามกลางแสงจันทร์สีเงิน หกยอดเขาปรากฏขึ้นบนอากาศ เรียงกันตามหกทิศทาง
ยอดเขาแต่ละแห่งชี้ไปยังทิศเหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตก
หกยอดเขาต่างสูงพันจั้ง ตีนเขาเชื่อมถึงกันราวเป็นก้อนภูเขาติดกันอันลอยคว้างบนฟ้า ดูเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
พิรุณแสงสีดำร่วงหล่นจากยอดเขาทั้งหกราวน้ำตก ทำให้โลกหล้าดูสับสนวุ่นวาย
ช่างน่าตกใจ
ถ้ำสวรรค์หกวิถี!
หนึ่งในพื้นที่ต้องห้ามซึ่งอันตรายที่สุดในพิภพยมราชฝังวิถี!
มันดูเป็นเพียงยอดเขาหกยอด ทว่าอันที่จริง ณ ใจกลางยอดเขาทั้งหกนี้ มีถ้ำแห่งหนึ่งถูกขุดไว้
โลกในถ้ำนั้นเองที่เป็นสถานที่อันตรายที่สุด
ไกลออกไป ซูอี้มองมันอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่ร่างของเขาจะวูบไหว ทะยานเข้าสู่ถ้ำสวรรค์หกวิถีบนอากาศ
จนกระทั่งเมื่อเขาไปถึงภูเขาพันจั้งที่ชี้ไปยังบูรพา ซูอี้จึงหยุดลง
ภูเขานี้ปกคลุมโดยม่านพิรุณแสงสีดำอันทรงพลังตั้งแต่ตีนจรดยอด
มันคืออำนาจกฎเกณฑ์อันเปี่ยมพลังทำลายล้าง
มีเพียงจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเท่านั้นที่สามารถต้านทานกฎเหล่านี้ได้ ส่วนตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำจะตายทันทีหากสัมผัส!
ทว่าสิ่งนี้ย่อมไม่อาจหยุดซูอี้ได้
เขาแบมือออก และแท่งไม้ไผ่ขนาดเท่าหัวแม่มือก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
ค้อนทุบเซียน!
สมบัติของยามบอกเวลา!
ที่สำคัญกว่าคือ ตามคำบอกเล่าของยามบอกเวลา ค้อนทุบเซียนนี้สามารถต่อต้านและสลายอันตรายส่วนใหญ่ในพิภพยมราชฝังวิถีได้
ซูอี้โบกค้อนทุบเซียนอย่างเฉยเมย และลำแสงสีดำสนิทดุจราตรีนิรันดร์ก็พุ่งตะบึงออกมา
วูบ!
พิรุณแสงสีดำจากยอดเขาทั้งหกพลันแยกออกซ้ายขวา เผยให้เห็นภูเขาที่อยู่ด้านในแก่สายตาของชายหนุ่ม
หากมองใกล้ ๆ จะเห็นเส้นทางคดเคี้ยวบนภูเขานั้น
และสุดทางก็นำไปสู่ถ้ำกลางหุบเขา
นั่นคือทางเข้าถ้ำสวรรค์หกวิถี!
วูบ!
ร่างของซูอี้พุ่งเข้าไปในนั้น
ด้านในถ้ำมีทางเดินมืดมิดอันเต็มไปด้วยหมอกสีเทาจาง ๆ
ซูอี้แบมือ ก่อนจะปรากฏโคมสำริดขึ้นดวงหนึ่ง
โคมไฟดอกบัวอาญา
สมบัติพุทธะซึ่งสร้างโดยหลวงจีนซ่อนใบแห่งแดนบูรพาน้อย มีอำนาจวิเศษในการทำลายความชั่วร้าย ปัดเป่าเภทภัย
พรึ่บ!
ไส้โคมสำริดโยกคลอน ฉายแสงทองศักดิ์สิทธิ์กระเพื่อมคลุมทั่วร่างซูอี้
จากนั้นซูอี้ก็ก้าวต่อ
ทุกที่ที่เขาผ่าน หมอกสีเทาบนทางเดินจะส่งเสียงซอกแซกและสลายหายไปโดยอำนาจของโคมไฟดอกบัวอาญา
ยิ่งลึกเข้าไปในความมืด ร่างเงาตะคุ่มในนั้นยิ่งดูกลัวและหายไปตนแล้วตนเล่า
ซูอี้เมินเรื่องทั้งหมดนี้
ทางเดินอันนำไปสู่ห้วงลึกแห่งถ้ำสวรรค์หกวิถีนี้เต็มไปด้วย ‘ปราณหยินโสมม’ ซึ่งสามารถกัดกร่อนเลือดเนื้อและวิญญาณของจักรพรรดิได้ ชั่วร้ายโหดเหี้ยมนัก
นอกจากนั้น ยังมีตัวตนร้ายกาจนาม ‘สางอสุภะ’ วนเวียนอยู่ในทางเดิน พวกมันชอบกินซากศพยอดฝีมือผู้ตายที่นี่เป็นที่สุด ซึ่งน่าขนลุกเป็นที่ยิ่ง
สางอสุภะเชี่ยวชาญการลอบโจมตีและลอบสังหาร หากไม่ระวัง แม้แต่จักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำก็ตายได้!
ทว่า ซูอี้รู้ดีว่าสิ่งที่ทำให้สางอสุภะกลัวได้มากที่สุดคือสมบัติอันมีอำนาจขจัดสิ่งชั่วร้าย
เมื่อสัมผัสพลังเช่นนั้นได้ สางอสุภะจะเลี่ยงหนีไปไกล ไม่กล้าเข้ามาใกล้
ซูอี้ถือโคมไฟดอกบัวอาญาด้วยหนึ่งมือและก้าวต่อไปบนทางเดิน
หลังผ่านไปเสี้ยวชั่วยามเต็ม ภาพตรงหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนกะทันหัน ทางเดินปรากฏขึ้นทุกทิศทาง ยื่นหายไปในความมืดดุจใยแมงมุม
สิ่งที่แปลกก็คือ เส้นทางเหล่านี้ต่างสั่นกระเพื่อมช้า ๆ ราวมีชีวิต!
สีหน้าของซูอี้ยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม
เส้นทางเหล่านี้ไม่ว่าเส้นใดต่างนำไปสู่ใจกลางถ้ำสวรรค์หกวิถีทั้งนั้น
ทว่ามีเพียงเส้นทางเดียวที่ปลอดภัยที่สุด ในขณะที่เส้นทางอื่นมีหายนะที่ร้ายกาจพอจะพันธนาการและฆ่าจักรพรรดิได้
หือ?
หลังจากมองอยู่สักพัก ซูอี้ก็ตะลึง
เขาพบว่าบนเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดมีลวดลายประหลาดสลักไว้หนาแน่น
“ประกาศิตพร่างสวรรค์… นี่คือเคล็ดวิชาของหนึ่งในสำนักหกมหาวิถีจากเก้ามหาแดนดิน บรรพตวิถีพยัคฆ์มังกร ดูเหมือนว่ายอดฝีมือจากพันธมิตรเสวียนจวินจะเคยเข้ามาในถ้ำสวรรค์หกวิถีแล้ว และคาดว่าคงเจอวิหารสำริดเข้าแล้ว…”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย
ด้วยประกาศิตนี้ ไม่ว่าเส้นทางเหล่านี้จะเปลี่ยนไปมากมายเพียงไร พวกเขาก็จะหาเส้นทางอันปลอดภัยที่สุดเจอได้โดยง่าย
และทั้งหมดนี้หมายความว่าไก่แจ้เฒ่าไปถึงที่นั่นแล้วหรือ?
หลังจากครุ่นคิด ซูอี้ก็ก้าวไปเบื้องหน้า
เขานำค้อนทุบเซียนออกมาแตะเบา ๆ ที่ ‘ประกาศิตพร่างสวรรค์’
ตู้ม!
ลวดลายวิถีซึ่งสลักบนพื้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นพิรุณแสงหายไป
จากนั้น ซูอี้ก็เดินมายังอีกหนึ่งเส้นทาง และใช้ค้อนทุบเซียนเป็นพู่กันสลัก ‘ประกาศิตพร่างสวรรค์’ ลงไปใหม่ ซึ่งเหมือนของเดิมทุกประการ!
หลังจากเสร็จสิ้น ซูอี้ก็แย้มยิ้มพึงพอใจ
ผลของมันคือ เมื่อยอดฝีมือจากพันธมิตรเสวียนจวินมาที่นี่อีก พวกเขาจะต้องเจองานช้างแน่นอน!
โดยไม่โอ้เอ้ ซูอี้สาวเท้าจากไปบนเส้นทางอันปลอดภัยที่สุด
…
ขณะเดียวกัน
นอกถ้ำสวรรค์หกวิถี
กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกู่คำราม
ผู้นำคือกู้จื้อหมิง ซั่งกวนเจี๋ยและหนีซวง สามศิษย์แห่งผีหมัว
เบื้องหลังพวกเขามียอดฝีมือหลายสิบคนซึ่งมีบรรยากาศน่าหวาดหวั่น แต่ละคนแข็งแกร่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
“ศิษย์น้องหญิงหนีซวง เจ้านำคนไปซุ่มในบริเวณใกล้ ๆ เสีย จำไว้ว่าต่อจากนี้ ไม่ว่าใครพยายามเข้ามาในถ้ำสวรรค์หกวิถี เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
กู้จื้อหมิงออกคำสั่ง
“ได้”
หนีซวงตอบรับทันที
กู้จื้อหมิงพยักหน้าและกล่าวอย่างเรื่อยเฉื่อย “เช่นนี้ ก็ไม่น่ามีสิ่งใดผิดพลาดแล้ว”
ก่อนหน้านี้ เขาวางแผนให้ศิษย์น้องของเขา ‘เฉิงเทียนคุน’ นำขุมกำลังผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งไปประจำในบริเวณใกล้เคียงเทือกเขาดับวิญญาณ
และกู้จื้อหมิงก็พาคนอื่น ๆ มายังถ้ำสวรรค์หกวิถีโดยไม่รีรอ
“เปิด!”
ชายชราผมขาวผู้หนึ่งใช้ตราประทับวิถีสีทองทะลวงผ่านอำนาจกฎเกณฑ์ซึ่งปกคลุมถ้ำสวรรค์หกวิถีอยู่ในทันที
ฉวยโอกาสนี้ กลุ่มของพวกเขาก็ทะยานสู่ถ้ำกลางหุบเขาทันที
ระหว่างทาง พวกเขาคุ้นชินเส้นทางและใช้วิถีการสารพัดเพื่อป้องกันสารพัดอันตราย เห็นได้ชัดว่าเคยมามากกว่าหนึ่งหน
ไม่นานนัก เส้นทางดุจใยแมงมุมก็ปรากฏในคลองจักษุ
และยังทำให้พวกเขาเห็น ‘ประกาศิตพร่างสวรรค์’ ที่สลักไว้บนหนึ่งในเส้นทางด้วย
ทว่าเมื่อพวกกู้จื้อหมิงกำลังจะลงมือ ชายวัยกลางคนสวมมงกุฎขนนกผู้หนึ่งพลันสังเกตเห็นบางสิ่ง และกล่าวว่า “ช้าก่อน! มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!”
……….