บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 972 เหล่าศิษย์ของผีหมัว
ตอนที่ 972: เหล่าศิษย์ของผีหมัว
…………………………………………………..
ตอนที่ 972: เหล่าศิษย์ของผีหมัว
เมื่อถูกซูอี้สอบถามเช่นนี้ ชายชุดดำก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ไอ้หนู ยามนี้เจ้าเป็นเชลย ไฉนจึงถามเยอะแยะนัก?”
วาจาของเขาเต็มไปด้วยความไม่ชอบใจ
ชายชราคิดเสมอว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ชายหนุ่มตรงหน้าเขาเยือกเย็นเกินไป ราวกับไม่สำเหนียกว่าสถานการณ์ของเขาอันตรายเพียงไร และยังคงถามคำถามหน้าตาเฉย
ไร้ความรู้สึกของการตกเป็นเชลย!
“ก็แค่คุยเล่นเอง”
ซูอี้ยิ้ม
ชายชุดดำเองก็สังเกตเห็นว่าการกระทำของซูอี้ดูผิดปกติ
ปกติแล้ว ตัวตนใด ๆ ที่ถูกผู้แข็งแกร่งเช่นจักรพรรดิขวางทางย่อมตกใจและโกรธ บ้างเปิดเผยบ้างดิ้นรนเอาชีวิตรอด
น้อยคนจะเยือกเย็นได้เท่าชายหนุ่มชุดเขียวตรงหน้าเขา
“เจ้า… ไม่กลัวเราจัดการเสียหรือไร?”
ดวงตาของชายชุดดำคมกริบกดดัน
“ไฉนต้องกลัว?”
ซูอี้หัวเราะ “ในความเห็นข้า คงดีกว่าหากพวกเจ้าจะตอบคำถามข้าอย่างซื่อสัตย์ หาไม่ เกรงว่าคงได้กังวลเรื่องชีวิตกัน”
ชายชราพลันกล่าวว่า “เหวยหง คนผู้นี้มีปัญหา รีบจับเขาไว้เร็วเข้า!”
ม่านตาของชายชุดดำหดตัว เริ่มลงมือโดยไร้ลังเล
ตู้ม!
มือขวาของเขายื่นออก ห้านิ้วงุ้มดุจกรงเล็บมังกรฟ้า จากนั้นเขาก็เอื้อมคว้าไหล่ซูอี้จากระยะไกล
พลังกฎเกณฑ์สีทองสว่างปกคลุมรอบห้านิ้ว ฉีกกระชากอากาศ ดุเดือดเกินใคร
“ไฉนต้องยุ่งยากดื้อดึงด้วย”
ซูอี้ถอนใจเบา ๆ
เขาโบกแขนเสื้อ
ตู้ม!
เสียงสะท้านเลือนลั่นกังวาน
อำนาจคว้าจับของชายชุดดำพลันทลาย ทั่วร่างสั่นสะท้านรุนแรง
ก่อนที่เขาจะทันตั้งหลัก ซูอี้ก็ก้าวเข้ามาหาเขา และคว้าคอยราวกับเขาเป็นไก่
ด้วยหนึ่งการโจมตี เขาจับตัวจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลางอย่างง่ายดาย!
“เจ้า…”
ใบหน้าของชายชุดดำแดงก่ำ สีหน้างุนงงราวกับไม่อาจเชื่อว่าจะถูกตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณปราบลงในพริบตา
“ว่าแล้วเชียวว่ามีปัญหา!”
ชายชราลุกขึ้น ด้วยตาเรืองวาบคมกริบ จิตสังหารแผ่ซ่านทั่วกาย
ทว่าหัวใจของเขาสั่นเทา
เขาแน่ใจว่าชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้มีการฝึกฝนในขอบเขตวงล้อวิญญาณไม่ผิดแน่ แต่เขากลับใช้การฝึกฝนนั้นปราบจักรพรรดิอย่างเหวยหงลงได้ทันที!
ชวนใจหายจริงแท้
ซูอี้โยนร่างของชายชุดดำเหวยหงร่วงตุ้บลงพื้น ก่อนจะเหยียบลงบนอกเขา และกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าไม่สนใจจะวิวาทกับเจ้า แค่ตอบคำถามข้ามาดี ๆ และข้าจะปล่อยเจ้าไป”
การถูกชายหนุ่มเหยียบย่ำทำให้ดวงตาของเหวยหงเหลือกถลน รู้สึกอับอายอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ชายชราดูหมองคล้ำ จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยแววตาวูบไหว “สหาย หากมีสิ่งใดต้องพูดกันก็ปล่อยเหวยหงไปก่อนเถอะ ข้าเชื่อว่าเจ้าคงไม่อยากแตกหักกับพันธมิตรเสวียนจวินเราจริง ๆ หรอกใช่หรือไม่?”
กร็อบ!
เท้าของซูอี้กดลงแรงจนซี่โครงของเหวยหงร้าว ความเจ็บปวดทำให้เขาโอดครวญ ทั้งใบหน้าและร่างกายกระตุก
ซูอี้กล่าวอย่างไม่แยแส “ความอดทนข้ามีจำกัด หากยังพูดพล่าม ข้าจะฆ่าเขาเสีย”
วาจานั้นเรื่อยเฉื่อย แต่ท่าทีสุขุมนั้นทำให้ผู้คนตัวสั่น
ชายชราเงียบไปสักพัก ก็กล่าวว่า “ตอบสหายตามตรง เราประจำการที่นี่ด้วยคำสั่งให้จับกุมคนผู้หนึ่งจริง ๆ”
“จับกุมผู้ใด?”
“ข้าไม่ทราบ”
ชายชราถอนหายใจ “สิ่งที่เราต้องทำคือพายอดฝีมือทั้งหมดที่เข้ามาในพิภพยมราชฝังวิถีไปยัง ‘เทือกเขาดับวิญญาณ’ และส่งพวกเขาให้ศิษย์ลำดับที่สามของใต้เท้าผีหมัว กู้จื้อหมิงเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ พวกเราไม่รู้อันใดจริง ๆ”
เทือกเขาดับวิญญาณ!
ซูอี้จำได้ว่าห่างออกไปจากเทือกเขานี้ราว ๆ สามสิบลี้คือที่ตั้งสถานที่ต้องห้ามอันลี้ลับที่สุดในพิภพยมราชฝังวิถี… ถ้ำสวรรค์หกวิถี!
“จากคำสั่ง หากเจ้าพบศัตรูที่มิอาจต่อกรได้เล่า?”
ซูอี้ถาม
ตัวตนเช่นนี้ เมื่อเผชิญยอดฝีมือในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ อย่าว่าแต่จะจับตัวเลย ขอเพียงกล้าขวางก็ไม่ต่างจากหาเรื่องตายแล้ว
ชายชราสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวอย่างจริงจัง “เรามาจากพันธมิตรเสวียนจวิน ต่อให้พบศัตรูใหญ่ อีกฝ่ายก็ไม่กล้าล่วงเกินเราง่าย ๆ อีกอย่าง เราประกันกับพวกเขาได้ว่าตราบใดที่เรายืนยันได้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ที่พันธมิตรเสวียนจวินมองหา เราก็จะไม่ล่วงเกินพวกเขา”
ซูอี้ยิ้มเยาะ “ที่แท้ก็เป็นจิ้งจอกยืมหนังเสือ ใช้อำนาจผู้อื่นข่มผู้คน ใช้ไม่ได้จริง ๆ”
ชายชราดูหน้าเสีย แต่ก็ยังเงียบ
ต่อมา ซูอี้ก็ถามคำถามเพิ่มเติม
ไม่นานเขาก็รู้ว่าชื่อของชายชราผู้นี้คือฟู่ตงหัวแห่งคีรีดาบเก้าดารา ขึ้นตรงต่อหนึ่งในศิษย์ของผีหมัว กู้จื้อหมิง
จากวาจาของฟู่ตงหัว ยอดฝีมือจากพันธมิตรเสวียนจวินที่เข้ามาในพิภพยมราชฝังวิถีครานี้ไม่ได้มีเพียงศิษย์ของผีหมัวทั้งสี่คนและขุมกำลังที่พวกเขานำมา
แต่ยังมีผู้อาวุโสอีกสี่คนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ!
หลังจากเข้ามาในพิภพยมราชฝังวิถี ศิษย์ของผีหมัวกู้จื้อหมิงออกคำสั่งให้ส่งยอดฝีมือไปประจำทางเข้าทั้งสามสิบหกของพิภพยมราชฝังวิถีทันที
เหตุผลที่ทุ่มเทเพียงนี้ก็เพื่อจับคนคนเดียว!
สิ่งนี้ฟังแล้วดูน่าฉงน
คนผู้อื่นเข้ามาในพิภพยมราชฝังวิถีก็เพื่อเสาะแสวงโอกาสและโชค
ทว่ายอดฝีมือจากพันธมิตรเสวียนจวินกลับเข้ามาพิภพยมราชฝังวิถีเพื่อจับคน มันแปลกเกินไป
น่าเสียดายที่ชายชราจากคีรีดาบเก้าดาราผู้นี้มิทราบเลยว่าผีหมัวต้องการมาจับใคร
“จ้าวเขาเมืองท้ออยู่กับคนของพันธมิตรเสวียนจวินของพวกเจ้าหรือไม่?”
ซูอี้พลันถาม
ชายชราดูตกใจและกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้เช่นไร?”
ซูอี้ไม่ตอบ และถามอีกครั้ง “ยามนี้เขาอยู่หนใด?”
ชายชราเงียบไปครู่หนึ่งและกล่าวว่า “วันแรกที่พวกเขาเข้ามาในพิภพยมราชฝังวิถี คนผู้นี้เข้าไปในถ้ำสวรรค์หกวิถี กล่าวกันว่าเขาอยากค้นหาเคล็ดเวียนวัฏสงสาร”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย ที่เช่นถ้ำสวรรค์หกวิถีนั้น หากตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเข้าไปจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าดี!
ด้วยนิสัยระวังตนของไก่แจ้เฒ่า ไฉนจึงกล้าเดินทางเข้าไปในนั้นได้?
ต้องมีสิ่งอื่นซุกซ่อนในเรื่องนี้แน่
“สหาย ข้าบอกทุกสิ่งที่บอกได้ไปหมดแล้ว ยามนี้… เจ้าปล่อยคนได้หรือไม่?”
ชายชรากล่าวอย่างจริงจัง
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และไม่คิดรังแกอีกฝ่ายต่อ “หากข้าพบพวกเจ้าอีก ข้าจะไม่เมตตาเช่นนี้”
จากนั้น เขาก็เดินจากไป
ซูอี้ไม่ได้ฆ่าเหวยหง ซึ่งทำให้ชายชราโล่งใจ และสีหน้าของเขาก็พลันมืดหมอง
“ใต้เท้า ไฉนท่านจึงไม่ฆ่าเขา?”
เหวยหงกล่าวอย่างกระวนกระวายทันทีที่หลุดพ้น
“เขาปราบเจ้าอยู่หมัดในหนึ่งกระบวน แล้วไฉนจึงไม่อาจสยบข้าด้วยหนึ่งกระบวนเล่า?” ชายชรารำพึงเบา ๆ
เหวยหงไร้วาจา
“ทว่าเรื่องนี้ต้องรายงานกลับไปโดยเร็วที่สุด”
ชายชราตัดสินใจและนำยันต์ลับสีทองชิ้นหนึ่งออกจากแขนเสื้อ
ครู่ต่อมา
ตู้ม!
สายรุ้งสีทองสายหนึ่งทะยานสู่เวหา ก่อนจะหายลับไป
ไกลออกไป เมื่อเขาเห็นสายรุ้งสีทองวูบไหว ซูอี้ผู้กำลังเดินอย่างอิสระท่ามกลางขุนเขาก็แย้มยิ้มและเมินเฉย
เจี๊ยวจ๊าวกันไปก็ดี
ยิ่งคนในพันธมิตรเสวียนจวินเคลือบแคลงเพียงไร เขาก็ยิ่งฉวยโอกาสได้มาก!
และนี่คือเหตุที่ซูอี้มิได้ฆ่าเขาเมื่อครู่
เขาต้องการให้อีกฝ่ายส่งข้อความเพื่อสร้างแรงกระเพื่อม!
และในพิภพยมราชฝังวิถีนี้ เขาไม่กลัวผู้ใด
“ไปลองหาไก่แจ้เฒ่าที่ถ้ำสวรรค์หกวิถีก่อนแล้วกัน”
ซูอี้คิดพลางสาวเท้าเดิน
…
เทือกเขาดับวิญญาณ
ภูเขาสีดำแห่งหนึ่ง สูงพันจั้ง ไร้ใบหญ้าก่อเกิด
บนยอดเขามีตำหนักสร้างไว้อย่างเรียบง่าย
นี่คือที่พักชั่วคราวของยอดฝีมือจากพันธมิตรเสวียนจวิน
จันทราสีเงินลอยเด่น
“ตลอดมา นอกจากพื้นที่ต้องห้ามสองสามที่ในพิภพยมราชฝังวิถีนี้ เราได้สำรวจที่อื่นมาหมดแล้ว แต่ก็ไม่พบเบาะแสใด ๆ เกี่ยวกับการเวียนวัฏสงสาร”
สตรีผู้หนึ่งผู้มีท่าทางเย่อหยิ่งเย็นชา ใบหน้างดงามกล่าวขึ้น
หนีซวง!
ศิษย์ผู้หนึ่งของผีหมัว นางเป็นยอดฝีมือในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลาง
“หากเจ้าว่าเช่นนั้น สิ่งที่เราคาดไว้ก่อนก็ไม่ได้ผิด หากมีเคล็ดเวียนวัฏสงสารในพิภพยมราชฝังวิถีนี้จริง ๆ ก็จะต้องจมอยู่ใน ‘แท่นเกิดใหม่’ ‘ถ้ำสวรรค์หกวิถี’ ‘ซากโบราณฝังเทวะ’ หรือ ‘บ่อจมสังขาร’ สี่พื้นที่ต้องห้ามนี้เป็นแน่”
ชายชุดจีนแขนเสื้อกว้างผู้หนึ่งโอดครวญ
ซั่งกวนเจี๋ย
เขามีการฝึกฝนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้น
และเป็นศิษย์ของผีหมัวเช่นกัน
“ข้าไปซากโบราณฝังเทวะไม่ได้ กาลก่อน ยอดฝีมือบางคนจากภูมิมืดมิดติดอยู่ในนั้น และไม่มีผู้ใดออกมาจวบจนยามนี้ ข้าว่าพวกเขาทั้งหมดอาจสิ้นแล้ว”
ชายหนุ่มในชุดผ้ากระสอบผู้หนึ่งลูบคางกล่าวเบา ๆ “ส่วนบ่อจมสังขารก็ปกคลุมด้วยกฎอสนีบาตประหลาดตลอดกาล ไร้โอกาสเข้าไปได้เลย หากฝืนก็ได้ตายแน่”
กู้จื้อหมิง
การฝึกฝนในขั้นปลายขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ
หลังชะงักไปเล็กน้อย กู้จื้อหมิงก็กล่าวต่อ “ส่วนที่ตั้งของ ‘แท่นเกิดใหม่’ นั้นเป็นปริศนา จวบจนยามนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดหาพบ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพื้นที่ต้องห้ามนี้มีอยู่จริงหรือไม่”
“มีเพียงถ้ำสวรรค์หกวิถีเท่านั้นที่เราพบเบาะแสบ้าง ทว่าโชคร้าย… ที่ยังห่างไกลเกินจะเพียงพอ”
จากนั้น เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ
คนเหล่านี้อยู่ในพิภพยมราชฝังวิถีมาสักพักแล้ว แต่จวบจนยามนี้ก็ยังไม่อาจหาเบาะแสสู่เคล็ดเวียนวัฏสงสารได้
ยามนี้ พวกเขารู้เพียงว่าถ้ำสวรรค์หกวิถีต้องสงสัยว่าจะมีเบาะแสเกี่ยวกับเคล็ดเวียนวัฏสงสาร แต่ก็ต้องยืนยันกันต่อไป
“ศิษย์พี่ เจ้าเชื่อจริง ๆ หรือว่าจะมีใครในโลกนี้ที่เปิดวิหารสำริดในถ้ำสวรรค์หกวิถีได้?”
ชายผิวซีดในชุดจีนอดถามมิได้
เฉิงเทียนคุน
เขาอยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลาง และเขา กู้จื้อหมิง ซั่วกวนเจี๋ยและหนีซวงต่างก็เป็นศิษย์ของผีหมัว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็เบนสายตาไปมองกู้จื้อหมิง
พวกเขาต่างรู้ว่าในถ้ำสวรรค์หกวิถีมีวิหารสำริดลึกลับแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ประตูวิหารปิดสนิทและเต็มไปด้วยคลื่นกระเพื่อมของกฎเกณฑ์ลึกลับ และไม่มีผู้ใดเปิดมันได้เลยสักคน
นี่ทำให้พวกกู้จื้อหมิงสงสัยว่าหากมีเบาะแสการเวียนวัฏในถ้ำสวรรค์หกวิถีนี้จริง ก็คงอยู่ในวิหารสำริดนั่นแหละ!
“ต้องมีสักคนที่เปิดประตูวิหารนั่นได้แน่ เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย”
แววตาของกู้จื้อหมิงวูบไหว “อีกอย่าง หากคนผู้นั้นรู้ว่าพิภพยมราชฝังวิถีขึ้นสู่ผิวทะเล เขาต้องมาแน่!”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เสียงฝีเท้ารีบเร่งก็ดังมาที่หน้าโถง
“ใต้เท้า มีข่าวจากฟู่ตงหัวแห่งคีรีดาบเก้าดาราขอรับ!”
……….