บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 970 พิภพยมราชฝังวิถี
ตอนที่ 970: พิภพยมราชฝังวิถี
…………………………………………………..
ตอนที่ 970: พิภพยมราชฝังวิถี
เหนือทะเลทุกข์อันกว้างใหญ่และปั่นป่วน
หนึ่งเรือน้อยล่องผ่านนที
ซูอี้ทอดกายอย่างเกียจคร้าน พื้นที่ซึ่งแต่เดิมแคบอยู่แล้วเกือบแน่นเต็ม
ที่ท้ายเรือ เรียวขายาวดุจหยกของยมบาลแนบชิดกัน และส่วนโค้งของบั้นท้ายอวบซึ่งนั่งอยู่หมิ่นเหม่ถูกขับให้โดดเด่น นิ้วเรียวขาวกอดเข่าทั้งสอง ท่าทางดูคร้านไม่ต่างกัน
ลมทะเลพัดโชย โบกสะบัดอาภรณ์เขียวของชายหนุ่ม และยังพัดเรือนผมยาวนุ่มสีดำของหญิงสาวพลิ้วไหว
ทว่าหากเทียบกับกาลก่อน ความสดใสบนใบหน้าของยมบาลสาวเลือนหายไป ใบหน้างามดุจหยกหวั่นไหวใต้นภา
ในศึกก่อนหน้านี้ นับแต่เห็นซูอี้ครั้งแรก นางก็เดาผลสุดท้ายไว้แล้ว
ทว่า…
เมื่อนึกถึงความแข็งแกร่งที่ซูอี้แสดงระหว่างศึก หัวใจของยมบาลสาวก็ไม่อาจสงบได้ดุจรูปลักษณ์
นางรู้ดีว่ายอดฝีมือจากหอเก้าสวรรค์แข็งแกร่งเพียงไร
ในอดีต หนึ่งยอดฝีมือในระดับผู้ลงทัณฑ์สามารถสยบโลกกว้างได้ทั้งใบ สังหารใครก็ตามที่กล้าหมิ่นเกียรติ!
ภายใต้การไล่ล่าของยอดฝีมือระดับพัศดี กระทั่งตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำยังหนีพ้นได้ยาก
ยมบาลสาวยังคงจำได้ดีว่าทุกครั้งที่หอเก้าสวรรค์ยึดโลกกว้างได้สักแห่ง มันจะนำพลังดั้งเดิมของโลกนั้นไป
และตัวตนผู้พิสูจน์วิถีเป็นจักรพรรดิได้ก็จะถูกพัศดีจับตัวไปขังไว้ที่ถ้ำโลหิตหมิงหลิง และมองเป็น ‘โอสถ’
จวบจนยามนี้ เหนือจักรวาลพร่างดาว มีโลกผู้ฝึกตนที่หอเก้าสวรรค์ปราบได้มากมายจนหอเก้าสวรรค์ต้องสร้างถ้ำโลหิตหมิงหลิงไว้เก้าแห่ง!
ในสายตาหอเก้าสวรรค์ ถ้ำโลหิตหมิงหลิงนี้ไม่ใช่เพียงคุกขังเชลย แต่ยังเป็นสวนโอสถด้วย และตัวตนจักรพรรดิที่ถูกคุมขังก็คือโอสถในสวน
เมื่อกาลเวลาผ่านไป ร่างกาย วิญญาณ ปราณ เลือดและการฝึกฝนของจักรพรรดิที่ถูกขังจะหล่อหลอมกลายเป็นพลังมหาวิถีต้นกำเนิดซึ่งหอเก้าสวรรค์จะรับไป!
ทว่ายามนี้ เหนือทะเลทุกข์เมื่อครู่ ผู้ลงทัณฑ์ที่สี่หงอิ๋งและพัศดีอีกเจ็ดคนถูกซูอี้สังหารลงอย่างง่ายดาย!
กระทั่งยามสังหารหงอิ๋ง เขาก็ยังใช้เพียงหนึ่งดาบ!
รู้สึกราวเขากำลังผ่าแตงหั่นผัก
สิ่งนี้จะไม่ทำให้นางตะลึงได้เช่นไร?
และยามนี้เอง ยมบาลสาวก็ตระหนักแจ่มแจ้งว่าซูอี้ผู้มีพลังสยบกฎเกณฑ์วอนสวรรค์น่ากลัวเพียงไร
จริงอยู่ที่การฝึกฝนของเขาอ่อนแอมาก แต่ความแข็งแกร่งของเขามากพอจะเป็นภัยต่อหอเก้าสวรรค์ทั้งหมด!
“มิน่าเล่า เจ้าหอจึงมองหาผู้ที่สามารถสยบกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ได้ในช่วงนี้… เขาต้องรู้เช่นกันแน่ว่าหากคนเช่นนั้นโผล่มา จะร้ายกาจพอเป็นภัยต่อหอเก้าสวรรค์ทั้งหมด!”
ยมบาลสาวคิดถึงตรงนี้ ดวงตาของนางก็กลอกมองซูอี้ตรงหน้านาง
ชายหนุ่มผ่อนคลายและเกียจคร้าน หัวของเขาซบแขน เอนพิงกราบเรือ ขาทั้งสองไขว้กัน
เนื่องจากพื้นที่คับแคบของเรือ นิ้วเท้าของชายหนุ่มจึงเกือบแตะถึงน่องของนาง
ยามนี้ ในใจยมบาลสาวอยากจะปราบคนผู้นี้เหลือเกิน!
บังคับเขาให้ก้มหัวศิโรราบ เชื่อฟังนางอย่างไม่บิดพลิ้ว!
หากเป็นเช่นนั้น นางจะได้รับรู้ถึงเคล็ดเวียนวัฏสงสาร และควบคุมอำนาจต่อต้านกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ ภายหน้าเมื่อนางกลับไปล้างแค้นหอเก้าสวรรค์ นางก็จะไร้ข้อเสียเปรียบ!
นางรู้สึกกระเหี้ยนกระหือรือมากจนความรู้สึกนี้ถาโถมในใจนางราวคลื่นคลั่ง
ยิ่งกว่านั้น นางยังแน่ใจมากด้วยว่าซูอี้ตรงหน้านางมิได้ระวังตัวนัก หากนางลงมือ ก็ประกันได้ว่าซูอี้จะทำได้เพียงนอนตะลึง ไร้โอกาสให้ขัดขืน!
ทว่ายามนี้ ซูอี้พลันกล่าวว่า “ขอข้าดูสมบัติเจ้าหน่อย”
หญิงสาวตกใจ นางกลั้นความอยากในใจไว้และเม้มปากเล็กน้อย “สมบัติอันใด?”
“สมบัติที่เจ้ารับไปจากมือหงอิ๋งที่ตายไง”
ซูอี้ตอบ
ยมบาลเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้า
นางพลิกฝ่ามือ แล้วตราประทับวิถีสี่เหลี่ยมสีดำก็ปรากฏขึ้น
ยามนี้ นางอยากโจมตีซูอี้แทบไม่ไหวแล้ว
ทว่าเมื่อนางเห็นดวงตาลึกล้ำของซูอี้และรอยยิ้มขี้เล่นจาง ๆ บนใบหน้าของเขา ร่างของยมบาลสาวก็สั่นน้อย ๆ โดยมิอาจบรรยาย และทิ้งความคิดนั้นไปอย่างเด็ดเดี่ยว
นางพลันสงสัยว่า ซูอี้ที่ดูไร้พิษภัยตรงหน้านางจะกำลังวางกับดักรอดูว่านางจะฉวยโอกาสหรือไม่!
“สหายเต๋า โปรดดูเถิด”
ยมบาลยิ้มหวาน ดวงตาพร่างพราย
ทันทีที่ซูอี้ยื่นมือไปรับ เขาก็นำตราประทับวิถีมาจ่อตรงหน้าเพื่อมองใกล้ ๆ
“นี่คือ ‘ตราประทับพุทธะเป็นตาย’ ซึ่งเป็นของผู้บวงสรวงสวรรค์ที่หนึ่งในหอเก้าสวรรค์”
ยมบาลกระซิบ “สมบัติชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นโดยที่มาอันสมบูรณ์ของโลกใบหนึ่ง แต่เดิมมันเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ และถูกผู้บวงสรวงสวรรค์ที่หนึ่งเสริมวัตถุดิบวิเศษมากมาย ในด้านพลัง มันแข็งแกร่งกว่าพู่กันพิพากษา สมบัติสูงสุดประจำตระกูลชุยเสียอีก”
“เมื่อไม่กี่วันก่อน เหตุที่หงอิ๋งกล้าขู่จะเข้ามาก่อเรื่องในเมืองรัตติกาลนิรันดร์นี้ก็เพราะอำนาจสมบัติชิ้นนี้ มันมีอำนาจมากพอจะต่อกรกับพลังต้นกำเนิดของเมืองรัตติกาลนิรันดร์ได้”
นางตกใจ และส่ายหน้า “ไม่มี”
ซูอี้แปลกใจเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าเจ้ามีสมบัติเก้าชิ้นที่เทียบได้กับอาวุธวิเศษหรอกหรือ?”
แววตาของยมบาลดูซับซ้อน และกล่าวว่า “นับแต่ตอนเกิดสงครามกับดินแดนปรภพ สมบัติหกในเก้าถูกทำลายลงแล้ว เหลือเพียงสามชิ้นคือวงล้อแห่งชะตา ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผา และยันต์มหาแดนดิน”
“และสหายเต๋าก็ชิงดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาไปแล้วในเมืองมรณะ”
กล่าวถึงตรงนี้ แววตาของยมบาลสาวก็ดูกังวล
“นี่ยุ่งยากนิดหน่อยแฮะ…”
ซูอี้ขมวดคิ้วพึมพำ
หญิงสาวสังเกตเห็นชัดเจนว่าซูอี้ ณ ขณะนี้ผิดปกติเล็กน้อย และอดถามไม่ได้ “สหายเต๋าหมายความเช่นไร?”
ซูอี้ตอบโดยไม่ลังเล “สมบัติชิ้นนี้เต็มไปด้วยเจตจำนงอันแข็งแกร่งยิ่ง หากไร้อุบัติเหตุใด การที่มันมาอยู่ในมือเจ้าน่าจะเป็นแผนของผู้บวงสรวงสวรรค์ที่หนึ่ง”
เห็นได้ชัดว่านางกลัวผู้บวงสรวงสวรรค์ที่หนึ่งอย่างยิ่ง!
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “หากเจ้าทำลายเจตจำนงนี้มิได้ การถือมันกับตัวจะเป็นหายนะ ไม่ช้าก็เร็ว ผู้บวงสรวงสวรรค์ที่หนึ่งจะเจอเจ้าแน่”
หัวใจของยมบาลสาวหนาวเยือก จากนั้นนางก็อดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ว่า “สหายเต๋ามีทางแก้หรือไม่?”
ผู้บวงสรวงสวรรค์ที่หนึ่งคือตัวตนที่เป็นรองเพียงเจ้าหอเก้าสวรรค์! การกระทำของเขาล้ำลึกจนมิอาจคาดเดา!
กระทั่งยามที่นางสมบูรณ์พร้อม หญิงสาวก็ยังห่างไกลเกินเทียบกับผู้บวงสรวงสวรรค์ที่หนึ่งได้
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ข้าจะรับฝากสมบัตินี่ไว้ก่อน เจ้าจะได้ไม่ต้องกังวล หลังข้าขึ้นเป็นจักรพรรดิ จะให้ลบเจตจำนงในสมบัตินี้ก็ย่อมได้”
“…”
พล่ามตั้งเยอะแยะ สรุปเจ้านี่ต้องการยึดสมบัตินี่ไปชัด ๆ!
“งั้นข้าจะรับเคราะห์กรรมเองแล้วกัน”
ยมบาลสาวกล่าวอย่างฉุนเฉียว นางไม่อยากส่งสมบัติเช่นนี้ให้ผู้ใด
ซูอี้โยนตราประทับพุทธะเป็นตายคืนให้ “งั้นก็รับคืนไป”
เขาไม่ใส่ใจเลยสักนิด
เมื่อเห็นเช่นนี้ นางก็ลังเล
ยมบาลสาวครุ่นคิดสักครู่ และกล่าวว่า “หากสหายเต๋าเต็มใจช่วย ข้าก็ไม่ถือหากจะฝากสมบัตินี้ให้สหายเต๋าสักพัก”
ซูอี้ส่ายหน้า “ช่างเถอะ การทำคุณบูชาโทษไม่ดีต่อข้าสักนิด เจ้าเก็บไว้เถอะ”
ทำเล่นตัว?
ยมบาลเม้มริมฝีปากสีกุหลาบ ก่อนจะกล่าวว่า “งั้น… สหายเต๋าต้องการค่าตอบแทนใดหรือ?”
ซูอี้กล่าวด้วยดวงตาแฝงนัย “เจ้าก็รู้อยู่”
ยมบาลสาวชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะถามพร้อมกะพริบคู่เนตรเปี่ยมเสน่ห์ “ฝึกบำเพ็ญคู่หรือ?”
“…”
ยมบาลมองซูอี้ชั่วขณะ และกล่าวอย่างจริงจัง “ไม่ใช่ดูเหมือน แต่ใช่เลย”
ซูอี้ “?”
ยมบาลสาวอดหัวเราะไม่ได้ “ข้ารู้น่า สหายเต๋าอยากรู้เกี่ยวกับหอเก้าสวรรค์มากกว่านี้ ดังนั้น หากสหายเต๋าช่วยข้าลบเจตจำนงของสมบัตินี้ให้ ข้าก็จะตอบคำถามให้สหายเต๋าบ้าง”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ไม่พอหรอก หากอยากให้ข้าช่วย ก็นอนกับข้าสักคืนสิ”
รอยยิ้มของหญิงสาวแข็งค้าง ดวงตาเบิกกว้าง ร่างอรชรชะงักงัน ดูไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าเหตุใดปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้น่าเกรงขามจึงกล่าววาจาไร้ยางอายเช่นนี้
ใบหน้างดงามของนางมัวหมองชั่วขณะ เสียงที่เปล่งเย็นชาถึงกระดูก “ข้าไม่คาดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้!”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าบอกเองว่าข้าเป็นพวกมักมาก ไฉนยามนี้จึงไม่คิดว่าข้าเป็นเช่นนั้นแล้วเล่า?”
ยมบาลสาวไร้วาจาอยู่นาน ก่อนจะกล่าวอย่างขมขื่น “คนโง่ฟังก็รู้ว่าข้าล้อเล่น!”
ซูอี้หัวเราะ “เจ้าก็น่าจะรู้เช่นกันว่าข้าก็ล้อเล่น หรือเจ้าแย่กว่าคนโง่เสียอีก?”
ใช่เลย เจ้านี่จงใจกวนประสาทนางอยู่!!
เมื่อเห็นรอยยิ้มเย้าแหย่บนใบหน้าของซูอี้ ยมบาลก็ขบฟันขาวใสกรอด ปทุมถันอันภาคภูมิกระเพื่อมรุนแรง
“หากเจ้าปล่อยมุกไม่เป็นก็ไม่ต้องหรอก รีบนำสมบัติมานี่”
ซูอี้เอื้อมมือออกไปอย่างเฉื่อยชา
ยมบาลสาวโกรธเสียจนขว้างตราประทับพุทธะเป็นตายให้เขาราวอยากฟาดหัวเจ้าสารเลวนี่ให้แตกจริง ๆ
…
สองวันต่อมา
ในบริเวณทะเลสีเลือดแห่งหนึ่ง เห็นได้ว่ามีแผ่นดินหนึ่งลอยอยู่ไกล ๆ ฉายแสงสว่างทะยานฟ้า โชติช่วงพรรณราย
เหนือผิวน้ำมีแผ่นดินอันใหญ่เกินกว่าจะประเมิน แสงชัชวาลปกคลุมรายล้อม สะท้อนทั่วสารทิศ
พิภพยมราชฝังวิถี!
พื้นที่ต้องห้ามอันมีอยู่นับแต่โบราณกาล เป็นซากโบราณซึ่งมีที่มาเก่าแก่เสียจนมิอาจย้อนความ!
“ที่แห่งนี้โผล่ขึ้นมาจริง ๆ ด้วย…”
ซูอี้ยืนบนกราบเรือไร้อับปาง ขณะมองดินแดนอันฉาบด้วยแสงสว่างแห่งมหาวิถีจากไกล ๆ สีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อย
พิภพยมราชฝังวิถีนั้นพิเศษมาก
แม้ผู้ฝึกตนทั่วไปจะมองเห็นซากโบราณนี้ แต่เมื่อเข้าไปใกล้ พวกเขาจะพบว่าตนอยู่แสนไกล ไม่อาจเอื้อมถึงราวเป็นหมู่ดาราบนฟ้า เลือนรางราวภาพหลอน
กระทั่งตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ หากไขปริศนา ‘กฎมหาวิถี’ รอบซากโบราณนี้ไม่ได้ พวกเขาก็ไม่อาจเข้าไปได้เช่นกัน!
ยามนี้ วจีวิถีลึกล้ำซึ่งฟังดูเหมือนเสียงจากสวรรค์ดังออกมาจากซากโบราณ มันดูจะเป็นเสียงสวดโบราณซึ่งทำให้โลกนี้ดูมีบรรยากาศเคร่งขรึม
“ในนี้จะซ่อนเบาะแสเกี่ยวกับเคล็ดเวียนวัฏสงสารไว้บ้างหรือไม่?”
ยมบาลสาวกระซิบเบา ๆ พลางมองพิภพยมราชฝังวิถี ฟังวจีวิถีอันราวเสียงสวรรค์ และใบหน้างามดุจหยกก็เผยสีหน้าเฝ้ารอ
……….