บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 961 แขกมา
ตอนที่ 961: แขกมา
ตอนที่ 961: แขกมา
ชายหนุ่มผมสีเทาสะกดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ ก่อนจะกล่าวว่า “ขอเรียนถามเถ้าแก่ แขกที่ซื้อศิลาเวียนไตรภพไปคนนั้น เป็นใครกันหรือ?”
ในตลาดมืด มูลค่าของศิลาเวียนไตรภพหนึ่งก้อนสามารถเทียบได้กับโอสถล้ำค่ามหาวิถีขั้นสุดยอด
ต่อให้ผู้เป็นจักรพรรดิทั่วไปยกเอาสมบัติทั้งหมดที่มีออกมาก็ยังไม่สามารถซื้อได้
ทว่าตอนนี้ ศิลาเวียนไตรภพในตลาดมืดแห่งนี้กลับถูกกวาดไปจนหมดไม่เหลือ เช่นนี้น่าตื่นตะลึงยิ่งนัก
ต้องมีกำลังทรัพย์มากมายเท่าใดกันจึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้?
“ท่านลูกค้าถามเช่นนี้ เป็นการล้ำเส้นแล้ว”
ผู้เฒ่าม่อกล่าวเตือนสติ “ในตลาดมืดแห่งนี้ ผู้ที่ถูกดูแคลนอย่างที่สุดก็คือผู้ที่ละลาบละล้วงสืบฐานะของผู้อื่น”
ชายหนุ่มผมสีเทาหัวเราะขึ้นมา “กฎระเบียบของตลาดมืด ข้าไม่ทำผิดเป็นแน่ แต่เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ข้าต้องสืบรู้ได้แน่ว่าแขกคนนั้นคือใคร?”
ผู้เฒ่าม่อตะลึง ขณะรู้สึกขันในใจ สืบรู้แล้วทำอะไรได้?
เจ้ากล้าเป็นศัตรูกับใต้เท้าไคหยางเช่นนั้นหรือ?
แต่ เมื่อสบกับสายตาลุ่มลึกที่คล้ายกับระลอกคลื่นของชายหนุ่มคนนั้นแล้ว ผู้เฒ่าม่อรู้สึกตื่นตระหนกหวาดกลัวหนาวสันหลังขึ้นมาอย่างประหลาด
“เช่นนี้ก็ดี ขอเพียงหาตัวคนผู้นี้เจอ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องไปเก็บศิลาเวียนไตรภพทีละร้านอีก”
ชายหนุ่มผมสีเทาหมุนตัวเดินออกไปท่ามกลางเสียงของตัวเขาเอง
มองเห็นเขาจากไปแล้ว สีหน้าของผู้เฒ่าม่อมีแต่ความสับสน
เขาผ่านลมผ่านฝนมามาก รู้สึกได้ว่าชายหนุ่มผมสีเทาคนนั้นไม่ธรรมดาเลย อาจจะเป็นตัวตนน่ากลัวที่ไม่เปิดเผยตัวเองก็เป็นได้!
“ข้าอยากจะเห็นเจ้าต่อสู้กับใต้เท้าไคหยางนัก”
ผู้เฒ่าม่อแอบบ่นพึมพำคนเดียว
——
ใต้ต้นไม้โบราณในสวน
ซูอี้นอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายของตัวเองอย่างสบายตัว
ถึงแม้จะเคยนั่งเก้าอี้มามาก แต่เก้าอี้ที่ทำให้เขารู้สึกสบายไปทั่วทุกอณูพื้นผิวได้อย่างแท้จริง มีแต่เก้าอี้หวายที่ตัวเองทำขึ้นมากับมือตัวนี้เท่านั้น
“เจ้าใจอ่อนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด แม้กระทั่งผู้หญิงคนเดียวก็ไม่กล้าฆ่า?”
เสียงแก่ ๆ แหบ ๆ ของยามบอกเวลาดังออกมาจากในห้องโถง
“เพียงแค่ร่างจำแลงร่างหนึ่งเท่านั้น ฆ่าแล้วมีประโยชน์อันใด?”
ซูอี้กล่าวแบบไม่ใส่ใจ “ยิ่งไปกว่านั้น ข้ากับนางไม่ได้มีความแค้นใหญ่หลวงอันใดต่อกัน ข้าไม่ใช่คนที่ชอบฆ่าคนไปทั่ว”
เสียงของยามบอกเวลาดังขึ้นมาอีกครั้ง “ยมบาลไม่ต้องการต่อสู้กับคนสำนักเดียวกับนาง ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ สหายเต๋าต้องทำแทนแล้ว”
ซูอี้นวดหัวคิ้ว เขาถอนใจพลางพูดเบา ๆ “ไม่เสียแรงเลยที่เจ้ากับผู้คุมรัตติกาลเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน คิดว่าข้าสามารถทำได้ทุกอย่างเช่นนั้นหรือ?”
ตอนนั้น ผู้คุมรัตติกาลขอให้เขาไปจัดการกับวัดเสวียนหมิง
ตอนนี้ ยามบอกเวลาขอให้เขาไปจัดการกับพวกหงอิ๋ง คนของหอเก้าสวรรค์
เหตุการณ์คล้ายคลึงกันจนซูอี้รู้สึกจนปัญญา
ทั้ง ๆ ที่ตนเองมีระดับการฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณเท่านั้น!
“สหายเต๋าอาจจะไม่ใช่คนที่เก่งไปหมดทุกอย่าง แต่จัดการกับคนของหอเก้าสวรรค์ ไม่ใช่เรื่องยากแน่”
เสียงของยามบอกเวลาแฝงไว้ซึ่งความเชื่อมั่น “ก่อนนี้เจ้าก็บอกเช่นกันว่ากฎเกณฑ์วอนสวรรค์ที่พวกเขาช่ำชองสามารถต้านทานและสยบพลังแหล่งกำเนิดของ ‘เมืองรัตติกาลนิรันดร์’ ได้ หากว่าพวกเขาบุกเข้ามาในเมืองเพื่อจัดการกับหลิ่วฉางเซิง ข้าเกรงว่ายากนักจะยับยั้งได้”
“ในสถานการณ์เช่นนี้ มีแต่ต้องขอให้สหายเต๋าช่วยเท่านั้น ไม่ขอให้เจ้าฆ่าพวกเจ้าจนหมดไม่เหลือ แต่อย่างน้อยทำให้พวกเขาถอยไป ไม่กล้ารุกล้ำเข้าสู่เมืองรัตติกาลนิรันดร์อีก”
ซูอี้ไม่ได้พูดอะไรอีก
วันนี้ตอนที่มาสวนแห่งนี้เป็นครั้งแรก เขาได้สนทนากับยามบอกเวลาแล้ว
เพื่อทำความเข้าใจในสามเรื่อง
เรื่องแรก เมื่อนานมากแล้ว หลิ่วฉางเซิงผู้เป็นยมราชดาบคลั่งเคยช่วยยามบอกเวลาไว้
ครั้งนี้หลิ่วฉางเซิงประสบเคราะห์มีคนตามฆ่า ยามบอกเวลาไม่มีทางเพิกเฉยดูดายอย่างแน่นอน
และ ‘หงอิ๋ง’ ผู้ลงทัณฑ์ที่สี่แห่งหอเก้าสวรรค์ก็แจ้งออกมาแล้วว่าภายในเวลาสามวันหากไม่เจอตัวหลิ่วฉางเซิงจะบุกเข้าไปในเมืองรัตติกาลนิรันดร์
ด้วยพลังที่หงอิ๋งมี สามารถสยบพลังแหล่งกำเนิดของเมืองรัตติกาลนิรันดร์ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวต่อสิ่งใด
หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่รู้เลยว่าจะสร้างภัยพิบัติมากมายเท่าใดแก่เมืองรัตติกาลนิรันดร์
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ยามบอกเวลาจึงขอให้ซูอี้มาช่วย และเพื่อเป็นการตอบแทน ยามบอกเวลารับปากซูอี้ว่าจะช่วยเสาะหาศิลาเวียนไตรภพมาให้
ก่อนหน้านี้ที่ซูอี้คุยกับยมบาล เขาอยากจะยืมพลังของนางเพื่อไปจัดการกับพวกของหงอิ๋ง แต่น่าเสียดายก็ตรงที่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธ
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้คุมรัตติกาล
ตอนที่ออกจากเมืองหิมะสวรรค์ ผู้คุมรัตติกาลเคยมอบกล่องทองเหลืองใบหนึ่งให้แก่ซูอี้ บอกว่าขอเพียงมอบสิ่งนี้ให้ยามบอกเวลาก็สามารถแลกสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่งได้
สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้จะเกิดคุณประโยชน์พิเศษเมื่อซูอี้มาถึงพิภพยมราชฝังวิถี
และตอนนี้ ซูอี้ได้มอบกล่องทองเหลืองให้แก่ยามบอกเวลาแล้วเพื่อแลกกับ ‘ค้อนทุบเซียน’
เมื่อในอดีต ซูอี้ใช่ว่าไม่เคยบุกตะลุยเข้าไปในพิภพยมราชฝังวิถี แต่ตราบจนกระทั่งตอนนี้ เขาเพิ่งจะรู้ว่า ‘ค้อนทุบเซียน’ ในมือยามบอกเวลาสามารถสลายและบั่นทอนกำลังต้องห้ามมากมายที่กระจายตัวอยู่ในพิภพยมราชฝังวิถีได้
ที่สำคัญที่สุดคือ ต่อให้ถูกขังอยู่ในพิภพยมราชฝังวิถี ก็ยังสามารถหนีออกมาได้โดยอาศัยค้อนทุบเซียน!
เรื่องที่สาม เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเรือยมโลกสีดำลำนั้น
ตามข้อสันนิษฐานของยามบอกเวลา ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทะเลทุกข์ในช่วงระยะหลายปีมานี้ เกี่ยวข้องกับเรือยมโลกสีดำลำนั้นจริง ๆ
เรือลำนี้เต็มไปด้วยพลังประหลาดไม่ทราบชนิด ไม่มีใครรู้ถึงที่มาของมัน
แต่ทว่า ยามบอกเวลากลับบอกว่า เรือยมโลกสีดำที่เคยปรากฏตัวอยู่หลายครั้งในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา อาจจะเป็น ‘ทางเข้า’!
หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า เรือยมโลกสีดำเปรียบได้กับ ‘ช่องทางมิติ’ ที่เคลื่อนย้ายได้ อีกทั้งสิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่มีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะมีระดับการฝึกตนสูงหรือต่ำ ล้วนถูกเรือยมโลกสีดำพาไปยังดินแดนที่ไม่มีใครรู้!
สถานที่ที่ไม่มีใครรู้แห่งนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับพิภพยมราชฝังวิถีก็เป็นได้
แน่นอน นี่เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานของยามบอกเวลาเท่านั้น
เขามีชีวิตอยู่นานไม่รู้เท่าใดต่อเท่าใด เป็นครั้งแรกเช่นกันที่ได้เห็นเรือยมโลกที่มีความแปลกประหลาดเช่นนี้
ทั้งหมดนี้ ยิ่งทำให้ซูอี้ให้ความสำคัญขึ้นมา
อีกทั้ง เกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้วทำให้ซูอี้ได้ข้อสันนิษฐานขึ้นมาข้อหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นชุยหลงเซี่ยงที่หายตัวไปอย่างประหลาด หรือว่าจะเป็นไก่แจ้เฒ่า รวมไปถึงผีเฒ่าแบกโลงที่หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อนานมากแล้ว ดูเหมือนว่าล้วนเกี่ยวข้องกับพิภพยมราชฝังวิถีทั้งสิ้น
และสำหรับซูอี้แล้ว สถานที่อย่างพิภพยมราชฝังวิถีแห่งนี้มีความหมายที่แตกต่างออกไป
เพราะเมื่อชาติที่แล้ว เขาสืบพบความลับของวัฏสงสารได้เพิ่มมากขึ้นจากพิภพยมราชฝังวิถี!
ช่วงระยะนี้ ตามการปรากฏตัวของซากโบราณที่เดิมทีฝังอยู่ใต้ทะเลทุกข์ ดึงดูดสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนในใต้หล้า และยังทำให้ทะเลทุกข์เกิดกระแสมากมายขึ้นมาด้วยเช่นกัน
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ศิษย์ทั้งสี่ของผีหมัวที่นำพาขุมกำลังผู้ฝึกตนจำนวนหนึ่งไปยังพิภพยมราชฝังวิถี รวมถึงคนของหอเก้าสวรรค์ที่มาจากภูมิดาราวอนสวรรค์ก็ปรากฏตัวบนทะเลทุกข์ด้วยเช่นกัน
แม้กระทั่งกลุ่มขุมกำลังระดับสุดยอดแต่ละกลุ่มในภูมิมืดมิดก็อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็เป็นไป
ทั้งหมดนี้ ทำให้ซูอี้รู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา
หรือว่ามีคนพบ ‘แท่นเกิดใหม่’ แห่งนั้น?
หรือว่า ‘ถ้ำสวรรค์หกวิถี’ ที่ลึกลับและอันตรายอย่างที่สุดแห่งนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดขึ้นเช่นนั้นหรือ?
ซูอี้ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด
“นายท่าน ชุ่ยน้อย ข้ากลับมาแล้ว”
แมวเหลืองตัวอ้วนผลุบเข้ามาสู่กลางสวน
เมื่อเห็นซูอี้นั่งอยู่ใต้ต้นไม้โบราณแล้ว แมวเหลืองก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมาในทันใด ร่วงหล่นไปกองอยู่กับพื้นขนลุกซู่ไปทั้งตัว
สภาพเช่นนั้นคล้ายกับเจอศัตรูธรรมชาติ
“รวบรวมศิลาเวียนไตรภพมาได้เท่าไร?”
ซูอี้ยิ้มพลางถาม
เมื่อได้ฟังความ แมวเหลืองก้มหน้าตอบด้วยความหวาดกลัว “ใต้เท้า ศิลาเวียนไตรภพในตลาดมืดมีไม่มาก ข้าพยายามจนสุดกำลังที่มีแล้ว เก็บรวบรวมมาได้เพียงแค่หกสิบสามก้อนเท่านั้น ไม่ทราบว่าท่าน… พึงพอใจหรือไม่?”
ที่แท้แล้วเกิดอะไรขึ้นในพิภพยมราชฝังวิถีกันแน่?
ซูอี้นิ่งตะลึงไปชั่วครู่ ยิ้มพลางตอบ “เกินพอ”
แมวเหลืองราวกับยกหินออกจากอก รีบลุกขึ้นเขยิบเข้าไปใกล้ซูอี้อย่างระมัดระวัง เผยอกรงเล็บขึ้นแล้วกรีดกลางอากาศ กล่องหยกใบใหญ่ก็ปรากฏ
“ใต้เท้าได้โปรดรับไว้ด้วยขอรับ”
แมวเหลืองลดสายตาลงต่ำพลางกล่าว
ซูอี้ไหนเลยจะเกรงใจ เปิดกล่องหยกก็เห็นประกายแสงระยิบระยับในกล่องหยกเฉิดฉายเจิดจรัส มีหินหยกหลากสีสันวางกองอยู่ภายใน
ในจำนวนนั้นมีศิลาทิพย์วิญญาณเวียนวัฏสิบเก้าก้อน ศิลาถ้ำเทพเบิกทวารยี่สิบสามก้อน ศิลานิลกาฬประชันโลหิตยี่สิบเอ็ดก้อน
รวมกับศิลาทิพย์วิญญาณเวียนวัฏในตัวเขาก้อนนั้น ทั้งสิ้นหกสิบสี่ก้อนพอดี
“ไม่เลว” ซูอี้พึงพอใจมาก
กล่าวให้ถูกต้อง หลังจากหลอมรวมศิลาศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดทั้งสามชนิดนี้แล้ว จึงจะกลายเป็นศิลาเวียนไตรภพได้
สมบัติล้ำค่าเหล่านี้สามารถสกัดเป็นศิลาเวียนไตรภพได้ยี่สิบก้อน!
วัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ระดับนี้ หากนำมาใช้ในการบรรลุขอบเขต สามารถทำให้ภาวะจิต วิญญาณ และร่างวิถีของผู้ฝึกตนเกิดความเปลี่ยนแปลงราวกับเกิดใหม่ เพาะเลี้ยง ‘พลังลึกล้ำโดยกำเนิด’ ในรากฐานมหาวิธีของตนเองได้!
ซูอี้ยอมรับว่าพลังศิลาเวียนไตรภพยี่สิบสามก้อนเพียงพอที่จะทำให้เขาหลอมพลังลึกล้ำโดยกำเนิดที่มีความเข้มข้นอย่างที่สุดออกมาได้ระหว่างที่พิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิ และอาจจะ… มากเกินพอด้วย!
ทว่า ‘พลังลึกล้ำโดยกำเนิด’ นี้ค่อนข้างอัศจรรย์ ไม่ว่าจะใช้ในการต่อสู้ฆ่าศัตรู หรือรู้แจ้งมหาวิถี ล้วนให้ผลลัพธ์ล้ำค่ายิ่ง
เมื่อชาติที่แล้ว ตอนที่ซูอี้กำลังรวบรวมศิลาเวียนไตรภพ ชายหนุ่มมีระดับการฝึกตนขอบเขตพันธะลึกล้ำขั้นสมบูรณ์แล้ว ด้วยเหตุนี้ไม่เพียงแต่ไม่ได้ใช้ ทั้งยังมอบให้เย่ลั่วศิษย์คนที่หก ผู้สร้างความมหัศจรรย์อย่างคาดไม่ถึงขณะที่เย่ลั่วบรรลุขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ
เก็บกล่องหยกนี้แล้ว ซูอี้ตัดสินใจ ก่อนจะกล่าว “รุ่งเข้าวันมะรืน ให้หลิ่วฉางเซิงเดินทางออกจากเมืองรัตติกาลนิรันดร์”
ในห้องโถง เสียงของยามบอกเวลาดังขึ้น “สหายเต๋าคิดจะใช้หลิ่วฉางเซิงเป็นเหยื่อล่อคู่ต่อสู้พวกนั้นใช่หรือไม่?”
“ไม่ผิด”
ซูอี้พยักหน้าพลางมองดูกล่องหยกในมือ “ข้ารับสมบัติล้ำค่าเหล่านี้มาแล้ว ไม่ช่วยก็คงไม่ได้”
ยามบอกเวลากล่าว “ได้สหายเต๋ามาช่วย ข้ารู้สึกมั่นใจขึ้นมาก ชุ่ยน้อย ไปยกสุรามาให้สหายเต๋า”
สวบ!
นกน้อยผลุบออกไป ยกสุราไหหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะของซูอี้
แมวเหลืองทำท่าน้ำลายไหลออกมา
สุราชั้นดีที่นายท่านเก็บรักษาไว้ล้วนเป็นสุราหายากในโลก!
ขณะที่กำลังคิด ซูอี้ก็เปิดจุกไหสุรา รินเต็มสองจอก จอกหนึ่งให้ตัวเอง จอกหนึ่งให้แมวเหลือง “ให้เจ้าเป็นรางวัล”
แมวเหลืองปลาบปลื้มดีใจส่งเสียงร้องเหมียว ๆ ออกมา กระโดดขึ้นบนโต๊ะยื่นกรงเล็บที่มีขนปุกปุยทั้งคู่ออกมาแสดงความขอบคุณต่อซูอี้พลางกล่าว “ขอบคุณใต้เท้าซู!”
พูดจบ ก็ดื่มสุราในจอกจนหมดรวดเดียว จากนั้นถึงกับทำหน้าเคลิ้มออกมา
ในเวลานี้เอง จู่ ๆ พลังกฎเกณฑ์ไร้รูปร่างรอบด้านเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมาในฉับพลัน
จากนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
สามครั้งพอดี
แมวเหลืองโกรธมาก ส่งเสียงงึมงำ “ไม่รู้ว่าเป็นใครหน้าไหนที่มา ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ!”
ซูอี้ยิ้ม ๆ
ตามกฎระเบียบของยามบอกเวลา ขอเพียงแขกที่มาสามารถเคาะประตูได้สามครั้ง ก็มีคุณสมบัติที่จะเป็นแขกของเขาได้
ตามความคาดหมาย นกน้อยตัวนั้นบินออกไปเปิดประตูใหญ่
ชายหนุ่มผมสีเทาร่างสูงโปร่งยืนอยู่ที่หน้าประตูแต่เพียงคนเดียว