บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 958 วอนสวรรค์น้อย
ตอนที่ 958: วอนสวรรค์น้อย
ตอนที่ 958: วอนสวรรค์น้อย
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา
คำพูดของยมบาลดูคล้ายกับกำลังตอบคำถามของเขา ทว่าแท้จริงแล้วนางกำลังลูบเถาเพื่อคลำแตง ต้องการจะหลอกถามตัวเอง
ทว่าซูอี้คร้านจะคิดเล็กคิดน้อยด้วย จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ในพิภพยมราชฝังวิถี มีเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับวัฏสงสารอยู่จริง”
ดวงตาของยมบาลสาวลุกวาว “หากว่าเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าขอเพียงเสาะเบาะแสเหล่านั้นได้เจอ ก็สามารถสืบหาความลับแห่งวัฏสงสารได้มากขึ้น ใช่หรือไม่?”
ซูอี้เคาะโต๊ะเบา ๆ พลางกล่าว “เจ้าต้องเป็นคนตอบคำถามของข้า”
นางหัวเราะออกมา จากนั้นจึงเล่าเรื่องที่หอเก้าสวรรค์ส่งผู้แข็งแกร่งมายังทะเลทุกข์ในครั้งนี้ออกมาจนหมด
เมื่อเก้าปีก่อน จ้าวเรือนจำที่สามของหอเก้าสวรรค์มีคำสั่งลงมาว่า ให้กองทัพผู้แข็งแกร่งโดยมีผู้ลงทัณฑ์หงอิ๋งกับม่อชวนเป็นหัวหน้า มาสืบ ‘ความลับแห่งวัฏสงสาร’ ที่ภูมิมืดมิด
หลังจากที่มาถึงภูมิมืดมิดแล้ว หงอิ๋งผู้ลงทัณฑ์ที่สี่ได้นำผู้แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งไปยังทะเลทุกข์ เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องของหอเก้าสวรรค์แพร่สะพัดออกไป จึงใช้เรียกตัวเองว่าเป็นผู้แข็งแกร่งแห่ง ‘สำนักสุดวิถี’
ในเรื่องนี้ ม่อชวนผู้ลงทัณฑ์ที่ห้าดูแลรับผิดชอบสืบเบาะแสของยมบาลที่เมืองมรณะ
ข้างกายหงอิ๋ง มีพัศดีทั้งสิ้นเจ็ดคนกับ ‘อัครสาวก’ อีกสามคน
ส่วนสาเหตุที่หงอิ๋งต้องจัดการกับหลิ่วฉางเซิง ก็เพราะว่าไม่นานมานี้ เขาได้ฆ่าอัครสาวกที่มีนามว่า ‘เหวินจงซวี’ จนเสียชีวิต
คนผู้นี้เป็นผู้แข็งแกร่งในบรรดาอัครสาวกของหอเก้าสวรรค์ และได้รับความไว้วางใจจากผู้บวงสรวงสวรรค์ เขาจึงมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าแข่งขันรับตำแหน่ง ‘บุตรสวรรค์’ ได้
ทว่าบัดนี้ กลับต้องมาตายในเงื้อมมือของหลิ่วฉางเซิง จึงทำให้หงอิ๋งโกรธมากเป็นธรรมดา
เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ ในที่สุดซูอี้ก็เข้าใจเรื่องราวความเป็นมาแล้วจนได้
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาพูดคุยกับยามบอกเวลา ได้ถามถึงเรื่องขอยมราชดาบคลั่งขึ้นมาเช่นกัน
ทว่าตามที่ยามบอกเวลากล่าวมา เมื่อไม่นานมานี้ตอนที่หลิ่วฉางเซิงยังอยู่ เป็นเพราะฆ่าจักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นคนหนึ่งของสำนักสุดวิถีตาย จึงโดนไล่ฆ่าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเป็นต้องมาหลบภัยที่เมืองรัตติกาลนิรันดร์
และวันนี้ สาเหตุที่หงอิ๋งไปเยี่ยมคารวะยามบอกเวลา ก็เพื่อแจ้งให้ยามบอกเวลาว่าอย่าได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาพยายามจะฆ่าหลิ่วฉางเซิงที่หลบอยู่ในเมืองรัตติกาลนิรันดร์
ซึ่งเรื่องนี้ถูกยามบอกเวลาปฏิเสธไป
ทว่าหงอิ๋งไม่ได้รามือแต่เพียงเท่านี้ เขาแสดงท่าทีของตัวเองให้แก่ยามบอกเวลารับรู้ว่า ในเวลาสามวัน หากว่าหลิ่วฉางเซิงไม่ออกจากเมืองรัตติกาลนิรันดร์ เขาจะทำตามแผนของตัวเอง
“เวลาปกติเขากล้าหาญถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
ซูอี้ถาม
ยมบาลสาวนิ่งอึ้งไป นางครุ่นคิดสักครู่ เมื่อเข้าใจว่าที่ซูอี้พูดถึงนั้นคือหงอิ๋ง นางก็ยิ้มพลางกล่าว “เขาเป็นผู้ลงทัณฑ์อันดับที่สี่ของหอเก้าสวรรค์ ระดับการฝึกตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลาง กุมกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ ทั่วทั้งภูมิมืดมิดในตอนนี้ยังยากนักจะหาคู่ต่อสู้ได้พบ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็พูดเสริมขึ้นอีกประโยคหนึ่ง “แน่นอน ยกเว้นสหายเต๋า”
คนที่สามารถสยบกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ได้ ไม่แตกต่างไปจากผู้ที่สามารถกุมจุดอ่อนร้ายแรงของผู้แข็งแกร่งทั่วทั้งหอเก้าสวรรค์!
“แล้วเจ้าเล่า ในฐานะที่เป็นจ้าวเรือนจำ อยู่ในอันดับต้น ๆ ของหอเก้าสวรรค์ มีระดับการฝึกตนเช่นใด?”
ดวงตาสวยของยมบาลสาวเป็นประกาย นางหัวเราะพลางกล่าว “ในบรรดาจ้าวเรือนจำทั้งเจ็ด ข้าจัดอยู่ในอันดับท้ายสุด ส่วนระดับการฝึกตน ด้อยกว่าสหายเต๋าเมื่อในอดีตชาติบ้างเล็กน้อย”
“ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ถือได้ว่าเป็นตัวตนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ หากว่าอยู่ในเก้ามหาแดนดินก็เป็นบุคคลที่ยืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดเช่นกัน”
ซูอี้มองดูยมบาลด้วยสายตาจริงจัง ขณะกล่าวขึ้น “ยิ่งกว่านั้น เจ้ายังกุมกฎเกณฑ์วอนสวรรค์อีกด้วย”
ยมบาลถอนใจ “กฎเกณฑ์วอนสวรรค์แล้วอย่างไร? ในยุคบรรพกาล ข้าก็ยังถูกจับขังอยู่ในเมืองมรณะแห่งนั้นอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
ซูอี้หัวเราะ จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น “ผู้บวงสรวงสวรรค์มีระดับการฝึกตนขั้นไหน?”
ในสายตาที่ลุ่มลึกของเขาแฝงไว้ซึ่งความหวัง
เขามองว่า จ้าวเรือนจำทั้งเจ็ดของหอเก้าสวรรค์มีระดับการฝึกตนขอบเขตสานพันธะลึกล้ำแล้ว ถ้าเช่นนั้นผู้บวงสรวงสวรรค์ที่มีตำแหน่งสูงกว่าจ้าวเรือนจำ ก็อาจจะเหนือกว่าวิถีลึกล้ำ ก้าวสู่หนทางวิถีที่สูงยิ่งกว่า!
และวิถีเช่นนี้ก็เป็นจุดมุ่งหมายหนึ่งที่เขากลับชาติมาเกิดใหม่!
ยมบาลสาวกะพริบตา พลันกล่าว “หากว่าสหายเต๋ายอมเล่าความลึกลับของวัฏสงสารให้ข้าฟัง ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะบอกสถานการณ์บางอย่างของผู้บวงสรวงสวรรค์ทั้งสามท่านของหอเก้าสวรรค์”
ซูอี้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวขึ้น “ช่างเถอะ เปลี่ยนเรื่องกัน”
“ก็ดีเช่นกัน”
ยมบาลรวบผมที่ถูกลมพัดมาทัดข้างหู พลางกล่าวเบา ๆ “ครั้งนี้ที่ข้ามาพบยามบอกเวลา แท้จริงแล้วก็เพื่อสืบเรื่องที่เกี่ยวกับ ‘พิภพยมราชฝังวิถี’ แต่กลับถูกบอกว่า ข้ากับหงอิ๋งเป็นพวกเดียวกัน เขาจึงไม่ยอมบอกข้า”
นางเบนสายตามองไปที่ซูอี้ “ไม่ทราบว่าสหายเต๋าสามารถไขข้อสงสัยของข้าได้หรือไม่?”
ซูอี้ยิ้มพลางถาม “เช่นนี้ถือได้หรือไม่ว่าการแลกเปลี่ยนได้เริ่มขึ้นแล้ว?”
“ได้”
ยมบาลสาวพยักหน้า
ซูอี้หยิบแผ่นหยกออกมา จากนั้นก็ยื่นให้แก่หญิงสาว “ในนี้บันทึกวิถีการเข้าไปในพิภพยมราชฝังวิถี รวมถึงการจัดวางตำแหน่งบางส่วนของมัน”
ยมบาลสาวถึงกับตะลึง “หรือว่าสหายเต๋าเดาจุดประสงค์ที่ข้ามาเยี่ยมคารวะยามบอกเวลาได้ตั้งแต่แรกแล้วเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้ยิ้มพลางกล่าว “เรื่องนี้สามารถคาดเดาได้ง่ายมาก ไม่ใช่หรือ?”
ดวงตาสวยของยมบาลประหลาดไป ฉับพลันนางก็หัวเราะขึ้นมา “สหายเต๋าช่างเข้าใจคนอื่นเช่นนี้ ข้ากลัวเหลือเกินว่าข้าจะชอบเจ้า”
นางผู้มีริมฝีปากแดงเฉิดฉายประดุจเพลิงไฟกับผิวขาวเนียนประดุจหิมะ นั่งสบายตัวอยู่ตรงนั้นราวกับผู้ชี้ชะตาผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์เก้าชั้น ทว่าเวลานี้ เมื่อหัวเราะขึ้นมา ใบหน้าอันงามงดนั้นทำให้ฟ้าดินถึงกับอับแสงลงไปได้
ซูอี้ไม่ได้กลบเกลื่อนท่าทีชื่นชมของตัวเอง สาวงามประดุจภาพวาด ควรจะต้องตั้งใจพินิจดูให้ละเอียด
ทว่าเขาเข้าใจดีว่า ผู้หญิงตรงหน้าคนนี้เป็นบุคคลที่น่ากลัวเพียงใด จึงไม่ได้เผลอไผลกับความรู้สึกยั่วยวนนั้น
“ขอเพียงเจ้าไม่ทำเหลวไหล เจ้าอยากจะชอบก็ตามใจเจ้า”
ซูอี้เอ่ยพูดเนิบ ๆ “ยังมีอีก เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ถึงตาเจ้าตอบคำถามของข้าแล้ว”
ยมบาลสาวไม่ได้เก็บแผ่นหยก ทว่าถามขึ้นมา “ยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสามารถของผู้บวงสรวงสวรรค์ใช่หรือไม่?”
ชายหนุ่มส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้าไม่สนใจกับคำตอบนี้อีกแล้ว แต่อยากจะรู้เรื่องของดาบวิถีประจำหอเก้าสวรรค์เล่มนั้นมากกว่า”
ดวงตางดงามของยมบาลสาวหรี่เล็กลงในทันใด นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าว “ที่มาของดาบวิถีเล่มนั้น นอกจากเจ้าหอเก้าสวรรค์แล้ว ไม่มีใครรู้ ทั่วทั้งหอเก้าสวรรค์ นอกจากเจ้าหอเพียงคนเดียวเท่านั้น คนอื่น ๆ ล้วนไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของดาบวิถีเล่มนี้”
“ผู้บวงสรวงสวรรค์ก็ไม่เคยเห็นเช่นนั้นหรือ?”
“ไม่เคย”
ยมบาลตอบหนักแน่น
ซูอี้รู้สึกผิดหวังนิด ๆ
เขามองว่า ดาบวิถีของหอเก้าสวรรค์เล่มนั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะมันอาจจะเป็นรากฐานยึดมั่นของสายวิถีหอเก้าสวรรค์ก็เป็นได้!
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าสามารถบอกเรื่องราวของเจ้าหอเก้าสวรรค์ให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
ซูอี้ถาม
ใบหน้างดงามของยมบาลสาวผุดประกายสับสนขึ้นมา มีทั้งหวาดกลัว มีทั้งเคารพยำเกรง และความเคียดแค้นชิงชังฝังเข้ากระดูก
สุดท้าย นางก็ถอนใจเบา ๆ พลางกล่าว “เจ้าหอลึกลับมาก ลึกลับจนแม้แต่จ้าวเรือนจำเช่นข้าก็ยังไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขามาก่อนเช่นกัน เมื่อก่อนตอนที่ข้าฝึกตนอยู่ในหอเก้าสวรรค์ เคยพบเจ้าหอเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น”
“ครั้งแรกคือตอนที่ ‘จ้าวเรือนจำที่หนึ่ง’ คนก่อนทรยศ เจ้าหอออกโรงด้วยตนเอง ภายในระยะเวลาไม่ถึงสามวันเท่านั้นก็นำหัวของจ้าวเรือนจำที่หนึ่งกลับสู่สำนัก ทั้งยังประกาศตัวจ้าวเรือนจำคนที่หนึ่งคนใหม่”
“ครั้งที่สองเป็นตอนที่ไม่มีใครรู้ เจ้าหอพาเด็กผู้หญิงอายุแค่สามสี่ขวบจากภูมิอื่นกลับมา และประกาศว่านับแต่นั้นเป็นต้นไป เด็กผู้หญิงตัวน้อยก็คือศิษย์ตรงของเขา”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สายตาของยมบาลสาวก็เปลี่ยนไป “ไม่มีใครรู้ชาติกำเนิดของเด็กผู้หญิงคนนั้น แต่ทุก ๆ คนต่างก็รู้ดีว่า อนาคตของเด็กผู้หญิงคนนั้นจะต้องยาวไกล และอาจจะกลายเป็นเจ้าหอคนใหม่ของหอเก้าสวรรค์”
“ต่อมา คนทั้งหอเก้าสวรรค์จึงรู้ว่า เจ้าหอตั้งสมญาเต๋าประหลาดให้กับ ‘เด็กผู้หญิงตัวน้อย’ คนนั้น”
ซูอี้กลั้นความอยากรู้ไม่ได้ จึงถามขึ้นมา “สมญาเต๋าว่าอะไร?”
ริมฝีปากแดงเฉิดฉายของยมบาลสาวเผยอขึ้นพร้อมกับเอ่ยออกมาสองคำ “วอนสวรรค์”
ซูอี้หรี่ตาลง
วอนสวรรค์!
โลกภูมิอันเป็นที่ตั้งของหอเก้าสวรรค์ถูกเรียกว่า ‘ภูมิดาราวอนสวรรค์’
พลังแห่งภัยพิบัติมหาวิถีที่หอเก้าสวรรค์กุมไว้ในมือ ถูกเรียกว่า ‘กฎเกณฑ์วอนสวรรค์’
และเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่ถูกเจ้าหอเก้าสวรรค์พากลับมา กลับถูกตั้งสมญาเต๋าว่า ‘วอนสวรรค์’ ไม่ใช่เรื่องที่กระทำไปตามความอำเภอใจอย่างแน่นอน
หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า เรื่องนี้จะต้องมีความลับยิ่งใหญ่ซ่อนเร้นอย่างแน่นอน!
“ในสายตาของพวกตาเฒ่าทั้งหลายของหอเก้าสวรรค์ ต่างก็เคยชินกับการเรียกเด็กผู้หญิงตัวน้อยว่า ‘เทียนฉีน้อย’”
ยมบาลกล่าว “แต่ นับตั้งแต่วอนสวรรค์น้อยเข้าสู่สำนักแล้ว ก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย และไม่มีใครพบหน้านางเป็นครั้งที่สองอีกเลย ทว่าทุกคนต่างก็รู้ดีกว่า ในฐานะที่เป็นศิษย์ตรงเพียงคนเดียวของเจ้าหอ วันข้างหน้าไม่ว่าช้าหรือเร็ววอนสวรรค์น้อยก็ต้องปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง”
พูดถึงตรงนี้ ยมบาลยิ้มพลางกล่าว “สหายเต๋าพึงพอใจกับคำตอบนี้หรือไม่?”
ซูอี้พยักหน้า
ยมบาลสาวจึงเก็บแผ่นหยกแผ่นนั้นไป
ถัดมา ทั้งสองต่างก็ถามคำถามของตัวเองอีกมากมาย
แต่เสียดายตรงที่ คำถามเหล่านี้หากไม่ข้องเกี่ยวกับความลับวัฏสงสาร ก็ต้องเกี่ยวข้องกับความลับสุดยอดของหอเก้าสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นซูอี้หรือยมบาลสาวล้วนไม่ยอมที่จะเผยออกมาง่าย ๆ
จึงทำให้ทั้งสองไม่ได้รู้ในสิ่งที่ต้องการจะรู้มากนัก
ซูอี้ไม่ได้รู้สึกผิดหวังมากนัก
เพราะสำหรับเขาในตอนนี้แล้ว ยังไม่รู้แน่ชัดว่าโลกภูมิดาราวอนสวรรค์นั้นอยู่ที่ใด จึงไม่ต้องรีบร้อนที่จะทำความเข้าใจเรื่องทั้งหมดของหอเก้าสวรรค์
ทว่ายมบาลสาวกลับไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
ดวงตาของนางเป็นประกาย ยิ้มพลางกล่าว “สหายเต๋า ข้าเชื่อว่า ด้วยระดับการฝึกตนของเจ้าในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า หากว่าข้าลงมือในเวลานี้ นอกเสียจากยามบอกเวลาจะมาช่วย มิเช่นนั้น เจ้าคงหนีไม่พ้นเงื้อมมือข้าไปได้”
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางก็กล่าวต่อ “นอกจากนี้ ข้าก็รู้ดีเช่นกันว่าเจ้าสามารถสยบกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ได้ หากว่าลงมือ จะไม่เป็นการใช้ข้อเสียจู่โจมข้อดีเป็นแน่ ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าคิดว่า เจ้ามีโอกาสชนะเท่าใดกัน?”
ดูเหมือนจะเป็นการพูดคุยทั่วไป ทว่าบรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมาอย่างประหลาด
ซูอี้คิดสักครู่ ยิ้มพลางตอบ “เจ้าสามารถลองทดสอบดูได้ อย่างไรเสีย เจ้าในตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่ร่างจำแลงร่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ไม่ได้มีผลกระทบต่อร่างแท้ของเจ้ามากนัก”
ยมบาลสาวจ้องมองซูอี้สักครู่ พลันกล่าวน้ำเสียงอ่อนละมุนดังน้ำ “ถ้าเช่นนั้น… ข้าลงมือจริง ๆ แล้วนะ”
เสียงยังคงดังกึกก้อง
ทว่านางดีดนิ้วมือข้างขวาที่เนียนเรียบขาวนวลขึ้นมาแล้ว
ป๊อก!
ท้องฟ้าบริเวณนี้ก็เผาไหม้ขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ โซ่ล่ามสีแดงของเพลิงไฟจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
ชั่วขณะนั้น ฟ้าดินราวกับถูกกีดกันอยู่ข้างนอก
ซูอี้ราวกับยืนอยู่ในภูมิสีแดงเลือด มองไปทุกที่ แสงไฟจำนวนนับไม่ถ้วนกลายเป็นโซ่ล่ามสีเพลิงแดง ครอบมาที่ตัวของเขา
เขตเพลิงแดง โซ่อัคคีล่ามจิต!
พลังอันลึกล้ำยากจะคาดเดาเช่นนั้นราวกับฝีมือของผู้ชี้ชะตาซึ่งอยู่เหนือสวรรค์เก้าชั้น เปลี่ยนฟ้าแปรตะวัน ดูดกลืนทุกสิ่งจนไม่มีเหลือ!