บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 957 ปณิธานเดิมยังคงอยู่
ตอนที่ 957: ปณิธานเดิมยังคงอยู่
ตอนที่ 957: ปณิธานเดิมยังคงอยู่
ในห้องโถง
ตะเกียงไฟหนึ่งดวงส่องแสงริบหรี่
ผู้เฒ่าร่างผอมเห็นกระดูกนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ข้างกายมีกระบุงไผ่สานวางอยู่
นกกระเต็นตัวหนึ่งเกาะอยู่บนไหล่ผู้เฒ่า กำลังใช้จะงอยปากจัดแจงขน
“หวังชงหลูคารวะผู้อาวุโส”
แวบแรกที่มองเห็นผู้เฒ่า หวังชงหลูก้มหน้าแสดงความเคารพด้วยสีหน้าจริงจัง
ยามบอกเวลา!
ตาเฒ่าคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่มาไม่รู้นานเท่าใดแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มีอายุมากที่สุดในทะเลทุกข์เลยก็ว่าได้!
“ไม่ต้องมากพิธี นั่ง”
ผู้เฒ่าชี้ไปที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ
หวังชงหลูพยักหน้า ขณะที่กำลังจะนั่งลงก็เห็นซูอี้หยุดลงตรงหน้ากระบุงไผ่สานที่อยู่ข้างกายผู้เฒ่า เขาย่อตัวลงพินิจมองกระบุงใบนั้น
หวังชงหลูนิ่งตะลึง
แต่เมื่อเห็นว่ายามบอกเวลาไม่ได้มีท่าทีอันใด ในที่สุดเขาจึงระงับความตื่นตระหนกในใจ และนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ
“เหตุใดจึงไม่เห็น ‘ระฆังกระชากวิญญาณ’?” ซูอี้ถามโดยไม่เงยหน้า
ในกระบุงไผ่สานเก่า ๆ ที่ดูเหมือนปกติธรรมดาใบนี้ ความจริงแล้วมีความพิเศษ บรรจุของดีที่ยามบอกเวลาเสาะหามาได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
“ตอนที่ชุยหลงเซี่ยงมาในครั้งนั้น เขายืมสมบัติชิ้นนี้ไป”
ผู้เฒ่าตอบเสียงเบา น้ำเสียงแหบแห้ง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ซูอี้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง จากนั้นเขาก็มองดูรอบ ๆ แล้วกล่าวขึ้นมา “สถานที่แห่งนี้ของเจ้าเหมือนกับร้านตีเหล็กของผู้คุมรัตติกาล ไม่มีสิ่งใดแปรเปลี่ยน ทำให้ข้าแทบจะเผลอเข้าใจไปว่าย้อนกลับไปเมื่อในอดีต”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวังชงหลูเกือบจะหัวเราะออกมา
คนหนุ่มอายุแค่สิบเจ็ดสิบแปดกลับรำพึงรำพันถึงกาลเวลาที่ผ่านพ้น นึกถึงคนที่เคยรู้จัก เช่นนี้ไม่เข้ากันเลยสักนิด
ทว่าฉับพลันหวังชงหลูก็ตะลึง ตามความหมายของซูอี้ ก่อนหน้านี้เขายังเคยไปพบผู้คุมรัตติกาลแห่งเมืองหิมะสวรรค์มาเช่นนั้นหรือ?
สายตาที่ผู้เฒ่ามองดูซูอี้แฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม “คนยิ่งแก่ ก็ยิ่งชอบนึกถึงความหลัง ก็ยิ่งไม่ชอบที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร เจ้าคิดว่าอย่างไร”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “สิ่งนี้เป็นเพียงแค่คำปลอบใจตัวเองของผู้ที่ผิดหวังเท่านั้น เสาะหามหาวิถี ไม่เกี่ยวข้องกับวันเวลาว่าผ่านไปนานเท่าใด ยิ่งจิตวิถีแน่วแน่ ก็ยิ่งต้องการความเปลี่ยนแปลง ถึงจุดหนึ่งก็ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนแล้วจึงราบรื่น ควรจะเป็นเช่นนี้”
ผู้เฒ่านิ่งตะลึง และกล่าวด้วยสายตาอ่อนโยน “ความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นหรือ? แต่ในสายตาข้า ภาวะจิตของเจ้า ยังคงเฉียบแหลมเหมือนดังคมดาบของเจ้า ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
ซูอี้ยิ้มพลางกล่าว “ปณิธานเดิมยังคงอยู่ สามารถรับความเปลี่ยนแปลงได้ตามประสงค์”
ผู้เฒ่าหัวเราะตาม
คนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ยังคงเป็นเขาคนนั้นจริง ๆ
ผู้เฒ่าถามราวกับใช้ความคิด “เขาไม่รู้ฐานะของเจ้าหรอกหรือ?”
ซูอี้ตอบ “ในโลกนี้ไม่ใช่ว่าใคร ๆ ก็เหมือนกับเจ้าและผู้คุมรัตติกาลไปเสียหมด มีดวงตาที่มีสามารถมองเห็นฟ้าดิน คนเทพและผี”
ผู้เฒ่าหัวเราะ จากนั้นก็เบนสายตามองไปที่หวังชงหลู และกล่าวขึ้นว่า “สหายเต๋าหวังมาเพราะเหตุอันใด?”
หวังชงหลูสูดหายใจลึก ๆ ไปทีหนึ่ง “เรียนผู้อาวุโส ข้าเพียงแต่ต้องการยืมพลังของท่าน บอกหลิ่วฉางเซิงยมราชดาบคลั่งว่าในช่วงระยะนี้ สำนักสุดวิถีวางแผนจะฆ่าเขา!”
ผู้เฒ่านิ่งตะลึงไปชั่วครู่จึงกล่าว “ที่แท้ เจ้าก็มาเพราะเรื่องของหลิ่วฉางเซิงเช่นกัน ข้ารู้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”
หวังชงหลูลังเลสักพักใหญ่ ๆ จึงกล่าว “หากว่าเป็นไปได้ ข้ายังอยากจะขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสด้วย สหายเต๋าซูท่านนี้… อืม ที่แท้แล้วเป็นใครกัน?”
ผู้เฒ่าร้องอ้อขึ้นมาทีหนึ่ง จากนั้นชี้ไปด้านนอกของห้องโถง “เจ้ากลับไปได้แล้ว”
หวังชงหลู “?”
ในใจของเขาเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย ทว่าสุดท้ายก็ยังคงลุกขึ้นและหมุนตัวเดินออกไป
ดูเหมือนว่านกกระเต็นจะเห็นใจหวังชงหลูอยู่มาก จึงตอบออกไป “ความหมายของนายท่านก็คือ อสูรเพลิงสายฟ้าก็ถือได้ว่าเป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งในทะเลทุกข์ แต่กลับถามคำถามโง่เขลาเช่นนี้ออกมาได้ เช่นนี้ก็แสดงว่าสายตาของท่านนั้นไม่ดีเอาเสียเลย ขืนให้อยู่ต่อเกรงว่าจะยิ่งขายหน้ามากกว่าเดิม”
“เอ่อ…”
หวังชงหลูราวกับโดนฟ้าผ่า
มุมปากของเขากระตุกเล็กน้อย เต็มไปด้วยความอับอาย จากนั้นเขาก็รีบเผ่นหนีไปโดยเร็ว
เมื่อเห็นหวังชงหลูเดินออกมาจากห้องโถง ยมบาลสาวรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย เหตุใดคน ๆ นี้จึงทำท่ากระฟัดกระเฟียด?
แต่นางยังไม่ทันได้ถามอะไรมาก
หวังชงหลูลังเลสักครู่อยู่ในสวน สุดท้ายยังคงกัดฟันอยู่ต่อ
ไม่รู้ว่าถูกดูแคลนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทั้งยังได้รับความเหยียดหยามไม่รู้เท่าใด หากไม่รู้ที่มาที่ไปของซูอี้ เขาทนไม่ได้แน่!
——
เวลาผ่านไปทีละน้อย
ยมบาลรออยู่ในสวนมาโดยตลอด
บนกิ่งไม้ แมวเหลืองตัวนั้นนอนเหยียดกายอยู่ตรงนั้น บางครั้งเวลาที่สายตาบังเอิญเหลือบมองไปที่ยมบาลสาวมักจะเกิดแววตาเจ้าชู้ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
นางรู้สึกได้ถึงสายตาประหลาดของเจ้าแมวเหลืองตัวนี้ ดูเหมือนว่ามันกำลังมองตัวเองเป็นเหยื่ออันโอชะ
แต่นางขี้เกียจจะใส่ใจ
ในทางกลับกัน นางต้องการอยากจะรู้มากกว่าว่าซูอี้กับยามบอกเวลากำลังคุยเรื่องอะไรกัน
หวังชงหลูสงบใจลงมาได้แล้ว
เขาย้อนนึกถึงเรื่องราวทั้งหมดในช่วงที่รู้จักกับซูอี้ด้วยความจริงจัง จากนั้นเขาก็เกิดความคาดเดาบางอย่างขึ้นมาในใจ
ถึงแม้ว่า การคาดเดานี้จะทำให้เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ ทว่าเขากลับรู้สึกว่า บางทีนี่อาจจะเป็นคำตอบที่มีเหตุผลที่สุด!
นานมาก
ซูอี้จึงเดินออกมา
บนกิ่งไม้ แมวเหลืองขดร่างที่อ้วนนุ้ย ตั้งท่าระมัดระวังอย่างเต็มที่
แต่ยมบาลสาวกลับพูดหยอกล้อขึ้นมา “ดูท่าแล้ว สหายเต๋าคงปรึกษาเรื่องใหญ่สะท้านฟ้ากับยามบอกเวลาหลายเรื่องเป็นแน่”
ซูอี้หัวเราะ จากนั้นเขาก็มองไปที่หวังชงหลูด้วยความตกใจ “ข้าเข้าใจว่าเจ้าไปแล้วเสียอีก”
สายตาของชายชราเปลี่ยนไป พลันหัวเราะชอบใจขึ้นมา กล่าว “ซูอี้ ข้าพอจะเดาที่มาของเจ้าได้บ้างแล้ว”
ซูอี้ร้องอ้อขึ้นมาทีหนึ่ง ก่อนจะกล่าวถาม “เจ้าคงไม่คิดว่าข้าเป็นคนรุ่นหลังของซูเสวียนจวินหรอกกระมัง?”
หวังชงหลู “?”
“ไม่ใช่เช่นนั้นหรือ?” เขาอดถามขึ้นมาไม่ได้
ซูอี้หัวเราะ!
ยมบาลหัวเราะ!!
แมวเหลืองบนกิ่งไม้ก็หัวเราะเช่นกัน!!!
ทันใด หวังชงหลูก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว รู้สึกไม่ดีขึ้นมาอีกครั้ง
ซูอี้มองดูหวังชงหลูด้วยสายตาเวทนา กล่าว “ไม่ต้องเดาแล้ว ข้าก็คือซูเสวียนจวิน”
ร่างของหวังชงหลูแข็งกระด้างขึ้นในทันใด
ซูเสวียนจวิน!!?
ชื่อ ๆ นี้ราวกับมีพลังประหลาด ทำให้ทุกอย่างในสวนเงียบสงบลง
หวังชงหลูเงยหน้าขึ้นช้า ๆ มองดูชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวทั้งตัวยืนมือไพล่หลัง ทำสีหน้าเวทนาสงสารอยู่ไม่ไกลด้วยสีหน้าเลื่อนลอย
สักพักใหญ่ ๆ เขาก็กล่าวด้วยความขุ่นเคือง “สหายน้อย นี่เจ้ากำลังสบประมาทสติปัญญาของข้าเช่นนั้นหรือ? จะมากเกินไปแล้ว! ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินถึงแก่กรรมไปเมื่อห้าร้อยปีก่อนแล้ว ดูจากรูปร่างหน้าตาของเจ้ามากสุดก็อายุแค่สิบแปดเท่านั้น! ต่อให้ในโลกนี้จะมีวัฏสงสารอยู่จริง ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินไหนเลยจะมีอายุแค่สิบแปดปีได้?”
เขาราวกับต้องการระบายความอัดอั้นที่เก็บสะสมอยู่ในใจเป็นเวลานานออกมา จึงพูดด้วยน้ำลายแตกฟอง “จริงอยู่ ถึงแม้ว่าข้าจะมองออกมานานแล้วว่าจะมีประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา แต่หากคิดจะลบหลู่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินล่ะก็ เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอ!”
ซูอี้กับยมบาล “…”
แมวเหลืองใช้กรงเล็บปิดตาตัวเองราวกับทนดูไม่ได้
“เหตุใดจึงเงียบไปเสียเล่า?” หวังชงหลูรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย
ซูอี้ลูบจมูกสักครู่ เขาไม่รู้จะพูดอะไรจริง ๆ
“ไปหาที่คุยกัน”
เขาเบนสายตามองไปที่ยมบาลสาว
ยมบาลลุกขึ้นช้า ๆ ท่าทีงดงาม นางแย้มยิ้มพลางกล่าว “ข้ารอเป็นเวลานานมากแล้ว”
จากนั้นทั้งสองก็เดินออกจากสวนไป
หวังชงหลูไล่ตามไป และถามขึ้น “แล้วข้าเล่า?”
ซูอี้นิ่งตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวราวกับเสียไม่ได้ “ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว เจ้าอยากไปไหนก็เชิญ”
หวังชงหลู “…”
เขาโมโหจนเกือบจะอ้าปากด่า เจ้าหนูคนนี้ไร้น้ำใจสิ้นดี อย่างน้อยก็คนเคยรู้จัก เมื่อจัดการธุระเสร็จ ไม่รู้จักเชิญตัวเองดื่มสักมื้อบ้างเลยหรือ?
“ใช่แล้ว”
ซูอี้พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เจ้าต้องการจะทดแทนบุญคุณของหลิ่วฉางเซิงไม่ใช่หรือ?”
หวังชงหลูตอบสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่ผิด!”
ซูอี้กล่าวแนะนำ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็รีบรักษาบาดแผลให้หายไว ๆ ตอนนี้หลิ่วฉางเซิงอยู่ในเมืองรัตติกาลนิรันดร์แห่งนี้ เพียงแต่ว่า สภาพของเขาไม่ค่อยสู้ดีนัก ข้าคิดว่า เจ้าสามารถติดต่อกับจ้านเป่ยฉีดู เพื่อช่วยหลิ่วฉางเซิงออกมาด้วยกัน”
พูดจบ ซูอี้ก็หมุนตัวเดินออกไป
ยมบาลสาวตามหลัง
“สภาพของหลิ่วฉางเซิงไม่ค่อยสู้ดีนัก…”
สายตาของหวังชงหลูสับสนไม่นิ่ง
สักพักใหญ่ ๆ หวังชงหลูก็ออกจากสวนแห่งนี้ไปเช่นกัน
“ไคหยาง นายท่านกำชับไว้ว่า ประเดี๋ยวให้เจ้าไปที่ ‘ตลาดมืด’ สักหน่อย”
นกกระเต็นตัวหนึ่งบินโฉบออกมา เหลือบตามองไปที่แมวอ้วนบนกิ่งไม้ “หากว่าเจอศิลาเวียนไตรภพ จงหาวิธีพยายามเอามาให้หมด”
ดวงตาสีน้ำเงินใสของแมวเหลืองหรี่ลง กล่าวหมดแรงกำลัง “นายท่านต้องการจะใช้เมื่อใด?”
นกกระเต็นตอบ “ไม่ใช่นายท่านที่ต้องการ แต่เป็นใต้เท้าซู”
แมวเหลืองขนลุกซู่ มันลุกพรวดพราดขึ้นมาในทันใด พลางร้องตะโกนด่า “เหตุใดไม่บอกแต่แรกเล่า!”
“ไคหยาง นายท่านบอกว่า ของสิ่งนั้นต้องจ่ายเงินซื้อ อย่าได้แย่ง”
นกกระเต็นรีบกล่าวเตือน
“อุ๊บ ข้าเชื่อว่าพวกพ่อค้าในตลาดมืดเหล่านั้นจะต้องเป็นฝ่ายมอบให้แก่ข้าด้วยความดีใจเป็นอย่างมากแน่ ๆ”
เสียงของแมวเหลืองยังคงดังกึกก้อง ทว่าร่างอ้วนท้วนของมันกลับหายลับไปเสียแล้ว
นกกระเต็นนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ แล้วก็ถอนใจเบา ๆ
ไคหยางผู้ไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใด ทั้งยังกล้าต่อปากต่อคำกับนายท่าน มีแต่เจอกับใต้เท้าซูเท่านั้นแหละที่กลัวจนขี้หดตดหาย
ทว่า พอนึกถึงการสั่งสอนที่ไคหยางเจอเมื่อครั้งนั้นแล้ว นกกระเต็นก็ตัวสั่นสะท้านขึ้นมา
——
ณ หอดื่มฟ้า
หอสุราที่สูงที่สุดของเมืองรัตติกาลนิรันดร์ เมื่อยืนอยู่บนชั้นสูงสุดจะสามารถมองลงมาเห็นเมืองรัตติกาลนิรันดร์ที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยแสงไฟ
ยมบาลนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทีสบาย ขาสวยเรียวยาวซ้อนทับกัน น่องขาขาวดุจหิมะโผล่ให้เห็นรำไรภายใต้กระโปรงสีดำ
ลมพัดโชยมา ทำให้ผมสีน้ำเงินปล่อยสยายของนางสะบัดพลิ้วเริงระบำ สร้างความยั่วเย้าให้มีเพิ่มมากขึ้น
“พวกเราไม่จำเป็นต้องลองเชิงกันอีก เปิดอกคุยกันได้เลย”
ซูอี้นั่งอยู่อีกด้าน ขณะเบนสายตามองไปที่ยมบาลสาว
“ดี”
นางพยักหน้าน้อย ๆ ยิ้มตอบ
ชายหนุ่มใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ พลางกล่าว “ข้าอยากจะรู้ว่าเหตุใดคนของหอเก้าสวรรค์จึงปรากฏตัวอยู่บนทะเลทุกข์”
ยมบาลสาวหัวเราะด้วยสีหน้าคาดไว้แล้วว่าเจ้าต้องถามเรื่องนี้ พลางกล่าว “เพื่อแสดงความจริงใจ คำถามนี้ ข้าสามารถบอกคำตอบให้เจ้ารู้ได้ แต่ หากว่าเจ้าต้องการจะรู้อะไรเพิ่มขึ้นอีก จะต้องเอาความลับที่เจ้ารู้มาแลกเปลี่ยน”
“ได้” ซูอี้พยักหน้า
เมื่อนางพลิกฝ่ามือขึ้น จอกสุราสองจอกกับกาสุราก็ปรากฏขึ้น
นางรินสุราขณะกล่าว “จุดมุ่งหมายที่ผู้แข็งแกร่งของหอเก้าสวรรค์มาทะเลทุกข์ในครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับการค้นหาความลับแห่งวัฏสงสาร”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ซูอี้ก็ไม่รู้สึกประหลาดใจอีก เพราะว่าการที่ม่อชวนผู้ลงทัณฑ์ที่ห้าปรากฏตัวขึ้นในเมืองมรณะครั้งนั้น ก็เพื่อค้นหาความลับแห่งวัฏสงสารเช่นเดียวกัน
ทว่า คำพูดประโยคถัดมาของยมบาลสาวทำให้ซูอี้ถึงกับตาค้าง
“พวกเขาสืบมาได้ ว่าเบาะแสภายในพิภพยมราชฝังวิถีซึ่งเป็นที่ดึงดูดสายตาของคนในใต้หล้าช่วงเวลาระยะนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับวัฏสงสาร!”
ดวงตาอันยั่วเย้าของนางจับจ้องดูตาของซูอี้ ในน้ำเสียงอ่อนหวานแฝงไว้ซึ่งแรงดึงดูดอันมีเอกลักษณ์ “สหายเต๋ารู้ความลับแห่งวัฏสงสารมานานแล้ว เจ้าคิดว่าข้อมูลที่พวกเขาสืบมาได้นั้นจริงหรือเท็จ?”