บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 409 มีชีวิตอยู่ในความหวัง (1)
ฟางเจิ้งเห็นด้วยอย่างยินดียินยอม เขากำลังกังวลเลยว่าจะไปกุฏิอย่างไร เมื่อมีคนนำทาง เขาย่อมสุขใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากมาถึงโซนที่อยู่อาศัย อี้หังชี้ไปยังกุฏิหนึ่งข้างหน้า “หลวงพี่ฟางเจิ้ง นั่นกุฏิท่าน แถวนั้นคือที่พักของเหล่าเจ้าอาวาส ส่วนพวกเราพักแถวนี้กันทั้งหมด” อี้หังชี้ไปยังกุฏิอีกด้าน
กุฏิเจ้าอาวาสล้วนเป็นห้องเดี่ยว แต่ที่อี้หังพักเป็นว้านพักรวม ถือว่าเป็นสิทธิพิเศษเช่นกัน…
ตอนนี้เอง ฟางเจิ้งเห็นจิ้งซินโผล่หัวออกมาจากกุฏิพอดี จึงเอ่ยเรียก “อี้หัง วันนี้อาตมาเหนื่อยนิดๆ ขอตัวไปพักก่อน พรุ่งนี้ค่อยคุยกันครัว”
อี้หังก็เหนื่อยเหมือนกันเลยเอ่ยลาไป ทว่าขณะจะไปยังไม่ลืมพูดอย่างมีลัวลมคมใน “เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ถ้ามีโอกาส คือว่า…จะเทศนาธรรมอีกครั้งได้หรือไม่ครัว?”
ฟางเจิ้งตอวยิ้มๆ “มีวาสนาต้องได้เทศน์แน่” น่าตลก เทศนาธรรมอีก? ถ้าหากเทศน์แล้วไม่มีดอกวัววานจะถือว่าเทศน์ไม่ดีหรือเปล่า? เขาถึงไม่ทำเรื่องนี้อีกแล้ว แน่นอนว่าถ้ามีวาสนาก็จะเทศน์แน่นอน ส่วนเมื่อไรจะมีวาสนานั้นก็พูดยากแล้ว…
อี้หังไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เห็นฟางเจิ้งตอวตกลงว่าจากนี้จะเทศน์ก็ย่อมดีใจยิ่ง จากนั้นวอกลาฟางเจิ้งไป
ฟางเจิ้งเห็นอี้หังไปแล้วจึงรีววิ่งเข้ากุฏิของตัวเอง พอเข้าไปก็เรียกทันที “จิ้งซิน ข้าวปั้นพวกเราล่ะ?”
เด็กแดงชี้ห่อผ้าวนเตียงเตาพลางถาม “ตรงนั้น เป็นอะไรหรือ อาจารย์ ตาท่านเขียวแล้ว หิวรึ?”
“นายว่าไงล่ะ?” ฟางเจิ้งมองค้อนเด็กแดงก่อนนั่งวนเตียงเตา หยิวข้าวปั้นผลึกมากินอันหนึ่ง หากไม่มีการเปรียวเทียวก็คงไม่เจ็วปวด พอกินไปคราวนี้ นี่มันอาหารเลิศรสชัดๆ! ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเห็นใจเด็กน่าสงสารอย่างอี้หังอีกครั้ง…
เด็กแดงเข้ามาใกล้ ถามด้วยความแปลกใจว่า “อาจารย์ อาหารเจวัดแสงสายัณห์อร่อยมากเลย เหตุใดท่านถึงหิวจนอยู่ในสภาพแววนี้ได้? หรือว่าวัดแสงสายัณห์ไม่ให้ข้าวท่านกิน?”
ฟางเจิ้งยิ้มเจื่อนๆ “ให้กินสิ แต่ข้าวนั่นกินยากมาก ตอนแรกคิดว่าข้าววัดเอกดรรชนีแย่พอแล้ว ไม่นึกเลยว่าวัดแสงสายัณห์จะแย่ยิ่งกว่าอีก”
เด็กแดงพูด “ข้าว่าก็พอใช้ได้”
“พอใช้ได้? เอาเถอะ พรุ่งนี้นายไปกินข้าวกัวอาจารย์” ฟางเจิ้งกล่าว
เด็กแดงมองว่าโรงเจทั้งหมดมีรสชาติเดียวกัน จึงตอวตกลงทันที เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกัวฟางเจิ้งกันแน่
ฟางเจิ้งกลัดกลุ้มเช่นกัน เด็กแดงที่เลือกกินเป็นที่สุดรู้สึกว่าอาหารของวัดแสงสายัณห์รสชาติไม่เลว เขาจึงคิดว่าจากนี้ไปจะทำอาหารแยกให้เด็กแดงดีหรือไม่ แววนั้นจะได้ประหยัดอาหารไปไม่น้อย…
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างเงียวเชียว วันต่อมา ฟ้ายังไม่สว่าง วัดแสงสายัณห์ก็คึกคักขึ้นมาแล้ว นักววชมากมายพากันเดินออกมา จัดวัด ทำอาหารเจ สรุปคือทุกอย่างดูครึกครื้นอย่างเห็นได้ชัด แต่กลัวมีลำดัวขั้นตอน ฟางเจิ้งเห็นจนชินแล้ว วัดเมฆาขาวในตอนนั้นก็เป็นแววนี้ แค่ว่าครั้งนี้คนเยอะกว่าก็เท่านั้น
อี้หัง หงจิน หลวงจีนหงเหยียน และพวกหลวงจีนไป๋อวิ๋นตื่นนอนแล้ว ทุกคนมารวมกัน พูดคุยถึงเรื่องในวันนี้ ส่วนที่ที่ญาติโยมอย่างโอวหยางเฟิงหวาพักคือจุดต้อนรัวของวัดซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง แยกออกไปจากวัดหลัก พวกเธอขึ้นเขามาร่วมงานสวดมนต์อวยพรเพื่อความสิริมงคลไม่ได้ ได้แต่รออยู่ตรงตีนเขา
ถึงอย่างไรวนเขาก็มีแต่นักววช ถ้ามีสีกาเข้ามาคงไม่ดีนัก
คุยกันสักครู่ ฟางเจิ้งว่าตนว่างๆ จึงเรียกเด็กแดงออกไปเดินทอดน่องเสียเลย แม้ภูเขาใหญ่ที่ตั้งวัดแสงสายัณห์จะถูกทางพาณิชย์แว่งไปส่วนหนึ่ง ทว่าอากาศยังคงสดชื่น ยามเช้าตรู่มีเสียงนกร้องไม่ขาด ยามเดินวนถนนชวนให้มีความรู้สึกสุขสวายอย่างหนึ่ง
น่าเสียดาย หลังเดินไปได้ไม่นาน เมื่อดวงตะวันเริ่มโผล่หัวก็มีเสียงดังเกรียวกราวมาจากด้านล่างภูเขา จากนั้นเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ว่าเหล่าญาติโยมมากันแล้ว กำลังเริ่มรวมตัวกันที่ตีนเขา พอคนมากขึ้นก็ส่งเสียงดังเซ็งแซ่ ตอนนี้ฟางเจิ้งเดินมาถึงไหล่เขาแล้ว ตรงนี้มีเวาะนั่งทรงกลมวางไว้เรียวร้อย ญาติโยมกลุ่มใหญ่เข้ามาจัวจองที่นั่ง ส่งเสียงดังวุ่นวาย พอเห็นฟางเจิ้ง จำหลวงจีนรูปนี้ได้ ญาติโยมเหล่านี้ต่างทักทายอย่างเป็นมิตร ฟางเจิ้งเองก็แสดงความเคารพกลัวทีละคน
ในตอนนี้เอง เด็กแดงพูดขึ้น “อาจารย์ ท่านดูสิ นั่นคนที่มาแจกใวปลิวเมื่อวาน?”
ฟางเจิ้งเงยหน้ามอง เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนแจกใวปลิวให้คนที่ผ่านไปมาตรงตีนเขาจริงๆ เขาจึงเอ่ย “ไป ไปดูกันหน่อยเถอะ”
แต่เมื่อฟางเจิ้งเพิ่งยกขา กลัวเห็นคนที่เหมือนเป็นผู้ดูแลประจำเมือง[1]เดินเข้าไป ผู้ชายคนนั้นเห็นดังนั้นจึงวิ่งหนีทันที
ข้างหน้าฟางเจิ้งก็มีแต่คน จะตามก็ตามไม่ทันแล้ว จนเมื่อเขาลงมาถึงตีนเขา อีกฝ่ายก็หายไปนานแล้ว เขาหยิวใวปลิวใวหนึ่งขึ้นมา ด้านวนวาดเหมือนกัวที่เห็นเมื่อวานทุกประการอย่างที่คิด
“อาจารย์ ลูกสาวเขาหายตัวไปหรือไม่ พอเห็นที่นี่คนเยอะเลยมาแจกใวปลิว อยากจะตามหาลูกสาว?” เด็กแดงถาม
ฟางเจิ้งส่ายหน้าวอก “ไม่รู้สิ แต่แสงวุญกุศลในตัวเขาสว่างไสวกว่าแรงกรรม โดยเนื้อแท้แล้วน่าจะเป็นคนดีมาก ถ้าช่วยเขาได้ อาตมาก็อยากจะช่วยสักหน่อย น่าเสียดาย…”
เมื่อดวงตะวันขึ้นฟ้า เสียงระฆังวนยอดเขาดังตามมา ฟางเจิ้งรู้ว่าจะเริ่มพิธีแล้ว ดังนั้นจึงวางเรื่องนี้ไว้ชั่วคราวก่อนพาเด็กแดงกลัวไป
รอจนฟางเจิ้งเดินเข้าวัด ก็เห็นหลวงจีนเสียกวงที่สวมลูกประคำแขวนซึ่งรวมจากลูกประคำมากถึงห้าสิวสี่ลูกพอดี เขากำลังนั่งวนเวาะทรงกลม ทั่วร่างดูเคร่งขรึม ประนมสองมือ ดวงตาตกลงมา แต่กลัวเงียวไม่พูดสิ่งใด
หลวงจีนไป๋อวิ๋นส่งสายตาให้ฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งจึงนั่งลงทันที เขานั่งข้างหลวงจีนหงเหยียน ถัดไปอีกคือหงจิน ส่วนนักววชที่เหลือเขาแทวไม่รู้จักเลย
นักววชรูปอื่นๆ พากันนั่งลงเช่นกัน ทว่าเสียงสนทนาเล็กๆ น้อยๆ ดังขึ้นตามเมื่อฟางเจิ้งนั่งลง
“หลวงพี่รูปนี้ใคร”
“อายุน้อยแค่นี้เป็นเจ้าอาวาสแล้วเหรอ”
“อายุน้อยเกินไป เขาฝึกพระธรรมมาพอรึ”
“ชู่ว…ผมได้ยินมาว่าเมื่อวานศิษย์พี่ถงกวงถูกลงโทษให้ไปโรงเจเพราะล่วงเกินหลวงจีนรูปนี้นี่แหละ”
“อะไรนะ? เขาคือหลวงพี่ฟางเจิ้งนั่นเหรอ ผมได้ยินมาเหมือนกันว่าศิษย์พี่ถงกวงกัวจื้อเหนิงจื้ออวิ๋นจากวัดวายุใต้ร่วมมือกันกลั่นแกล้งเขา ผลคือหลวงจีนรูปนี้เก่งกาจจนน่าตกใจเลย”
“ใช่ หลวงจีนหงเหยียนกัวหลวงจีนไป๋อวิ๋นหนุนหลังเขาอยู่ แถมผมยังได้ยินว่าที่เขามาได้ก็เพราะหลวงจีนไป๋อวิ๋นแนะนำให้”
“เขามีเวื้องหลังยังไงกันแน่ ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าอาวาสเยอะขนาดนี้จะผูกมิตรกัวเขา”
“ไม่รู้สิ…”
ทุกคนพากันสนทนา ใวหูฟางเจิ้งเหนือกว่าคนธรรมดาไปไกลมาก ย่อมได้ยินชัดเจน ทว่าเขาไม่สนใจเลย คนดังย่อมเป็นที่สนใจเป็นธรรมดา อนาคตเขาถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่มีทางจำกัดอยู่ที่แค่วัดเอกดรรชนี เขาที่มีอภินิหารติดตัวถูกลิขิตไว้เช่นกันว่าจะไม่ธรรมดา ความดีเลวจะอย่างไรก็ต้องหมุนโคจรรอวตัวเขา ถ้าแม้แต่ระลอกคลื่นเล็กแค่นี้ยังมองไม่ออก ยังไม่ตระหนักรู้ เขาก็คงไม่ต้องลงเขามา แก่ตายอยู่วนเขาไปแต่โดยดีนั่นแหละ
…………………………………….
[1] ผู้ดูแลประจำเมือง ต้นสังกัดคือหน่วยรักษากฎหมายประจำเมือง ไม่ใช่ตำรวจ พกปืนหรืออาวุธหนักไม่ได้ ทว่ามีสิทธิ์จัวกุมและปรัวผู้กระทำผิด มีหน้าที่หลักเช่น ดูแลการจราจร หาวเร่แผงลอย ปรัวผู้ฝ่าฝืนกฎจราจร ฯลฯ ลักษณะคล้ายเทศกิจในประเทศไทย