บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 408 หิวแล้ว
บางทีโอวหยางเฟิงหวาอาจตั้งใจเกินไปจริงๆ จึงไม่สังเกตเห็นว่าฟางเจิ้งมาเลย ฟางเจิ้งเดินเข้ามาเงียบๆ ขณะจะเรียกโอวหยางเฟิงหวา ก็ได้ยินเธอกำลังท่องงึมงำว่า “จะวาดวงคำสาปสาปท่านไปเรื่อยๆ ฟางเจิ้งบ้า จิ้งซินบ้า ตัวเองออกไปเที่ยว ไม่พาเราไปด้วย! ขอวาดวงคำสาปให้พวกท่าน ขอสาปให้พวกท่านเข้าห้องน้ำไม่ได้เอากระดาษชำระไปด้วย…”
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก มีการสาปคนแบบนี้ด้วย? เข้าห้องน้ำไม่ได้เอากระดาษชำระไป? นี่มันช่าง…โหดเหี้ยมจริงๆ!
ฟางเจิ้งเห็นว่าโอวหยางเฟิงหวาไม่เห็นตัวเอง จึงสูดลมหายใจเข้าลึก ยกขาเตรียมจะหนีจากไปเงียบๆ ถึงเขาจะกิดคำสัญญากับโอวหยางเฟิงหวา แต่เด็กนี่ก็สาปเขา แบบนั้นถือว่าหายกันแล้วกัน…
ทว่าฟางเจิ้งเพิ่งยกขา ก็ได้ยินเสียงของอี้หังดังแว่วมา “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านกลับมาแล้ว!”
วินาทีนั้น ฟางเจิ้งมีความคิดอยากจะตบอี้หังให้ปลิวในทีเดียว ทว่าก็เกิดความคิดขึ้นมา ขาที่ก้าวออกไปพลันดึงกลับ ประนมสองมือพูด “อมิตาพุทธ หลวงพี่อี้หัง อาตมาเพิ่งกลับมา หลวงพี่มีธุระอะไรหรือ?”
พอได้ยินเสียงตะโกนของอี้หังกับเสียงฟางเจิ้ง โอวหยางเฟิงหวาที่นั่งยองอยู่บนพื้นตกใจสะดุ้ง รีบกระโดดขึ้นมา หันไปมองก็เห็นฟางเจิ้งจริงๆ พอนึกถึงเรื่องที่ตนนั่งยองวาดภาพคำสาปแล้วก็หน้าแดงฉ่า คิดในใจว่า ‘เขาน่าจะไม่ได้ยินมั้ง…พูดจาให้ร้ายลับหลังคนอื่นแบบนี้ ถ้าถูกจับได้คงน่าขายหน้าน่าดู…’
“สีกาโอวหยาง ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว รีบกลับไปพักก่อนเถอะ อาตมากับหลวงพี่อี้หังมีเรื่องต้องคุยกัน เชิญไปก่อนเถอะ” ฟางเจิ้งพูดกับโอวหยางเฟิงหวาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
โอวหยางเฟิงหวาเกิดความรู้สึกทำความกิดแล้วกลัวหลวงจีนนี่จับได้เช่นกัน จึงพยักหน้าไปตามจิตใต้สำนึก
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็รีบเดินไปดึงอี้หังที่ทำหน้ามึนจากไป
อี้หังถามด้วยความใสซื่อ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง อาตมาแค่ทักทายท่านเอง…ความจริงไม่มีธุระอะไรหรอก”
ฟางเจิ้งตอบยิ้มๆ ว่า “อืม อาตมามาหาท่านเพราะมีธุระ คือว่าโรงเจอยู่ไหนเหรอ?”
“อ้อ อย่างนี้เอง อาตมาก็จะไปฉันข้าวเหมือนกัน ไป อาตมาจะพาท่านไปเอง” พออี้หังได้ยินว่าที่แท้ก็เป็นแบบนี้จึงพูดด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่เขามักจะรู้สึกว่าหลวงพี่ฟางเจิ้งเหมือนมีความกิดอะไรบางอย่าง ทำไมถึงมีท่าทีว่าจะหนี?
จนกระทั่งฟางเจิ้งกับอี้หังเดินไปไกลแล้ว โอวหยางเฟิงหวาถึงได้สติกลับมา กระทืบเท้าด้วยความโมโห “ไม่ใช่แล้ว! เขากิดสัญญาเราก่อนนี่ น่าจะเป็นเราที่หาเรื่องเขาถึงจะถูก ทำไมกลายเป็นเราร้อนตัวไปเอง? โมโหจะตายอยู่แล้ว…กลับไปนอนดีกว่า! ฮือๆ…”
โอวหยางเฟิงหวากลับไปด้วยความโกรธ แต่เธอกลับไม่รู้ว่าตนจะไปหาเรื่องฟางเจิ้งที่ไหน แต่เป็นห่วงความปลอดภัยของฟางเจิ้งกับเด็กแดงต่างหาก ถึงได้นั่งยองรอหน้าประตูโง่ๆ ตอนนี้สองคนกลับมาแล้วย่อมไม่มีความโกรธอะไรอีก ระหว่างทางเธอเห็นเด็กแดงวิ่งพล่านราวกับแมลงวันไร้หัว จึงคว้าเขาไว้แล้วถามว่า “จิ้นซิน นายกำลังทำอะไรน่ะ?”
“สีกาโอวหยาง โรงเจอยู่ที่ใด? ข้าวิ่งไปวิ่งมา วนอยู่ตลอด?” เด็กแดงถามด้วยใบหน้าแดง
โอวหยางเฟิงหวามองเจ้าตัวเล็กอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี “นายหลงทางเหรอ?”
เด็กแดงหน้าแดงกว่าเดิม…
โอวหยางเฟิงหวาเห็นแบบนั้นก็พลันหัวเราะ ก่อนจะจูงเด็กแดงไป “ไป พี่จะพาไปกินข้าว”
เด็กแดงพูดเสียงเบา “สีกาโอวหยาง คือว่า อย่าบอกคนอื่นนะ…”
โอวหยางเฟิงหวากลอกตากลมโตรอบหนึ่ง “ได้ แต่นายต้องเรียกพี่ให้ฟังก่อน”
“พี่โอวหยาง…”
“เรียกพี่เฟิงหวา”
“พี่เฟิงหวา”
“ถูกแล้วนี่ ฮ่าๆ…วางใจได้ พี่รับรองว่าจะไม่บอกใคร”
………
ฟางเจิ้งกับอี้หังไปโรงเจของนักบวช ส่วนโอวหยางเฟิงหวาพาเด็กแดงไปโรงเจที่เปิดให้กับนักท่องเที่ยว สองโรงเจต่างกัน ภายในโรงเจนักบวชจะมีกับข้าวเป็นอาหารเจจริงๆ ปกติจะกัดกักก่านน้ำมันพืชรอบหนึ่งและใส่เกลือเท่านั้น มีรสชาติอ่อนมาก แต่อาหารเจข้างนอกต่างออกไป อย่างน้อยก็ใส่เครื่องปรุงรสอย่างเช่นต้นหอม ข่าและกระเทียม รสชาติจึงถือว่าใช้ได้
ดังนั้นแล้ว…
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง ทำไมท่านทานไม่กี่คำก็ไม่ทานแล้วล่ะ?” อี้หังกินข้าวคำใหญ่พลางถามด้วยความแปลกใจ
ฟางเจิ้งยิ้มตอบ “อาตมาอิ่มแล้ว” แต่ในใจคิดว่า ‘กินไปได้ยังไง? ไอ้นี่กินยากชะมัด…เจ้าอี้หังกลืนลงไปได้ยังไงกัน? ช่างเป็นคนที่น่าสงสารจริงๆ…’
อี้หังถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านทานน้อยขนาดนี้เลยหรือ”
“ใช่ ปกติตอนเย็นอาตมาจะทานน้อยมาก” ฟางเจิ้งว่า
“ที่แท้ก็แบบนี้เอง อาจารย์อาตมาก็เหมือนกัน ท่านเริ่มไม่ทานข้าวเย็นเพื่อโปรดสัตว์ แต่อาตมาไม่ไหว ไม่ทานมื้อหนึ่งหิวจะแย่ นอนไม่หลับด้วย” อี้หังกล่าว จากนั้นกินข้าวไปคำใหญ่
ฟางเจิ้งมองอี้หังที่กินอย่างเอร็ดอร่อย รู้สึกเพียงว่าในท้องว่างเปล่า หิวแล้ว!
จ๊อกๆ…
“หืม? เสียงอะไร?” อี้หังมองฟางเจิ้งแปลกๆ
ฟางเจิ้งแหงนหน้ามองมุมยอดเพิง “สมกับเป็นวัดที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ หลังนี้สร้างได้ดีจริงๆ”
อี้หังแหงนหน้ามองตาม ก่อนส่ายหน้าบอก “หลังนี้สร้างทีหลัง คานบ้านทำจากปูนซีเมนต์ ไม่ใช่ไม้จริง ถ้าพูดถึงสิ่งก่อสร้างเก่าแก่จริงๆ พระวิหารวัดแสงสายัณห์ต่างหากที่เก่าแก่ของแท้ ที่เหลือสร้างทีหลังหมดเลย…อ้อ หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านจะไม่ทานอีกหน่อยจริงๆ หรือ?”
ฟางเจิ้งทำสีหน้าหมดหนทาง เขาก็อยากกินเหมือนกัน แต่เพิ่งบอกไปว่าไม่กิน ถ้ากินตอนนี้จะเท่ากับหักหน้าตัวเองหรือไม่? อีกอย่างอาหารเจนี่กินยากมากจริงๆ เทียบกับกักดองที่เขาทำเองในตอนแรกแล้วยังกินยากกว่าอีก! ดีเลวอย่างไรกักดองกับกับข้าวที่เขาทำเองก็ยังมีความเค็ม แต่นี่คือกักต้มเลย! เขาไม่เข้าใจ วัดใหญ่ขนาดนี้ทำใจใช้เกลือไม่ลงหรืออย่างไร?
ฟางเจิ้งจะรู้ได้อย่างไรว่า ไม่ใช่เพราะกับข้าวที่เขาทำกินก่อนหน้านี้อร่อย แต่เป็นเพราะกินกลกลิตจากเขาคุนหลุนอย่างเช่นข้าวกลึกกับหน่อไม้จนชินต่างหาก พอมากินกับข้าวทั่วไป รสชาติจึงแย่กว่าเล็กน้อย หนำซ้ำกับข้าวที่นี่ยังแย่กว่ากับข้าวทั่วไปมาก ห่างชั้นกันเกินไป เขาจึงรับไม่ไหวในทันที
ฟางเจิ้งรีบเบี่ยงหัวข้อสนทนา “อ้อ วัดแสงสายัณห์สร้างใหม่รึ แล้วเมื่อก่อนล่ะ?”
“ภูเขาฉางไป๋เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ ไหม้ไปหมดแล้ว” อี้หังตอบกลับ
ฟางเจิ้งถึงเพิ่งนึกออก เหมือนว่าหลวงตาหนึ่งนิ้วเคยพูดถึงเรื่องนี้ ทว่าเขาไม่ได้บอกว่าวัดไหม้ เพียงบอกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนภูเขาฉางไป๋ไฟไหม้ ถูกเกาทำลายไปไม่น้อย สำหรับส่วนอื่นๆ ฟางเจิ้งไม่ได้ถามเช่นกัน แน่นอนว่าย่อมไม่รู้แน่ชัด
อี้หังกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยและเร็วมาก กินเสร็จก็ตบๆ หนังท้อง พูดยิ้มๆ ว่า “อาหารวัดแสงสายัณห์ใช้ได้เลย”
ฟางเจิ้งหมดคำจะพูดอย่างยิ่งแล้ว ขณะเดียวกันยังมองอี้หังด้วยความเห็นใจ พลางคิดในใจว่า ‘เป็นเด็กที่น่าสงสารเลย เจ้าอาวาสหงจินให้เขากินอะไรกันแน่ คงไม่ใช่ว่าไม่ใส่แม้แต่น้ำมันหรอกนะ?’
อี้หังว่าจบก็ยิ้ม “อ้อ หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านรู้รึยังว่ากุฏิท่านอยู่ไหน”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า อี้หังตอบด้วยรอยยิ้ม “กมรู้ว่าท่านไม่รู้ ไปเถอะ กมจะพาไป”
คบหาสมาคมกันมานาน อี้หังเรียกตัวเองว่าอาตมาน้อยลงมาก เห็นได้ชัดว่าคุ้นชินกันแล้ว
………………………….………