[นิยายแปล] I’m the Evil Lord of an Intergalactic Empire! - ตอนที่ 4
บทที่ 4 เลียม อายุ 30ปี
ถ้านึกถึงคนอายุ 30 โดยทั่วไปก็คงนึกภาพเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วละนะ
แต่คนอายุ 30 ในโลกนี้นั้นรูปร่างไม่ต่างอะไรกับเด็กประถมเลย
ของชั้นนี้ก็ตัวสูงขึ้นมานิดนึง เพราะกินดีอยู่ดีนั้นละ
มาคิดๆดูร่างนี้น่ะมันแข็งแรงเกินรูปร่างหน้าตาสุดๆไปเลย
เรื่องหลายๆอย่างก็ดำเนินได้เรียบร้อยดีไม่มีปัญหา ก็ยกเว้นแต่ว่า—
“-ไม่สำเร็จอีกแล้วเหรอ”
ชั้นเก็บคาตานะที่ถืออยู่ในมือซ้ายเข้าฝัก พลางสำรวจพวกท่อนไม้รอบๆตัว
จาก 3 ท่อนที่ชั้นวางไว้ชั้นสามารถตัดมันได้แค่ 2 ท่อนเท่านั้นเอง
ไม่พอรอยดาบก็ยังไม่เรียบเนียนเหมือนของอาจารย์ที่เคยแสดงให้ชั้นดูอีก
ไอ้รอยฟันหยึกๆหยักๆแบบนี้มันเทียบไม่ได้กับวิชาของอาจารย์เลย ของเขานั้นถ้าบอกว่าตัดมาไว้ก่อนใครๆก็เชื่อ
อาจารย์ที่มองมายังทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกอีกด้วย
เขาคงไม่คิดว่ามันจะง่อยขนาดนี้แหละมั้ง
แล้วชั้นก็เลยก้มหัวขอโทษเขา
“ต้องขอโทษจริงๆครับอาจาร์ย ฝีมือผมมันยังไม่ใกล้เคียงอาจารย์เลยแม้แต่น้อย”
อาจารย์ก็ส่ายหัวให้กับชั้น
“วิธีให้ดาบนั้นมันยาว ชันและไร้จุดสิ้นสุดขอรับ เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้วท่านเลียมก็ถือว่ามาไกลมากแล้วในเวลาเพียง 20ปี”
20ปีที่ผ่านมา ชั้นนั้นทุ่มเทเพื่อที่จะสำเร็จวิชาลับที่อาจารย์เคยแสดงให้เห็นเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เลยทำให้ชั้นคิดได้ว่าคงทำไม่สำเร็จแน่ถ้าใช้แค่วิชาดาบเพียงอย่างเดียว…แล้วชั้นก็นึกถึงคำพูดของอาจารย์ในวันนั้นได้
โลกนี้นะมีเวทย์มนต์อยู่
“นั้นแหละ ถ้าชั้นอัดพลังเวทย์แล้วเปลี่ยนสภาพมันให้กลายเป็นคมดาบที่ยืดออกละ ผมพูดถูกรึเปล่าครับอาจารย์”
ขณะที่ชั้นกำลังคิดว่าผิดหรือถูกอาจารย์ก็ปรบมือให้
“ถ้าท่านนึกถึงจุดนั้นได้ก็เรียกได้ว่ามาถูกทางแล้วละขอรับ”
“ถูกทางงั้นเหรอครับ”
“เออ อืม ใช่ขอรับ ถ้าท่านคิดออกแล้วว่าต้องใช้เวทย์มนต์เข้าช่วยที่เหลือก็แต่ตั้งมั่นเพื่อบรรลุในวิชาเวทย์นะขอรับ”
“ชั้นต้องเรียนเวทย์มนต์เพิ่มสินะ”
ชั้นเป็นถึงขุนนางแต่ต้องเรียนเวทย์มนต์เพิ่มอย่างงั้นเหรอ…
ในช่วงยุคสมัยนี้นะพลังเวยท์ต่อตัวบุคคลในั้นมันไม่ค่อยมีค่าสักเท่าไหร่
เพราะมันไร้ประโยชน์เมื่อต้องไปเจอกับกองยานอวกาศนั้นละนะ
ศิลปะป้องกันตัวก็เรียกได้ว่าลงเรือลำเดียวกันกับเวทย์มนต์นั้นแหละ
ถ้าให้พูดตรงๆละก็ถึงไม่เป็นทั้งดาบและเวทย์ในยุคนี้ก็ถือเป็นเรื่องปรกติ
แต่ถ้าตอนจวนตัวของพวกนี้มันก็จำเป็นนั้นแหละ
“ตะ แต่ขอให้รู้ไว้ว่าแค่เวทย์มนต์อย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะขอรับ”
“อย่างนั้นเองสินะครับ”
ชั้นต้องเตรียมที่จะเรียนรู้อะไรต่างๆไว้แต่เนิ่นๆเนี้ยแหละถึงจะดี
“ถ้าแบบนั้นผมจะเรียบเตรียมการเพิ่มวิชาเวทย์มนต์เข้าไปด้วยนะครับ”
อาจารย์พยักหน้า
“เช่นนั้นก็ดีแล้วละแต่ข้าน้อยจะขอห้ามให้ท่านฝึกวิชานี้ไปสักพักนะขอรับ ก็จริงที่มันจำเป็นต้องเรียนรู้วิชาเวทย์เข้าช่วย แต่ท่านในตอนนี้นั้นยังไม่พร้อมขอรับ ใน 10ปี ข้างหน้านี้ข้าน้อยขอห้ามให้ท่านฝึกอย่างอื่นนอกจากกระบวนท่าพื้นฐานขอรับ”
ทั้งๆที่ชั้นกำลังเห็นทางสำเร็จได้แล้วเนี้ยนะ
ก็มีคิดบ้างในหัวละแต่ชั้นก็คัดค้านกับอาจารย์ไม่ได้
เพราะคืนไปลองสู้กับคนระดับเขามีหวังได้โดนฟันเป็นสองท่อนในทันทีแน่นอน
“เข้าใจแล้วครับ”
“แต่ก่อนอื่นทำไมท่านไม่มุ่งหน้าพัฒนาบ้างเมืองก่อนละขอรับ ถ้าเจ้าปกครองดาวมามัวแต่สนใจเรียนแต่ศิลปะป้องกันตัวก็เรียกได้ว่าเขาไม่มีคุณสมบัติจะเป็นผู้นำคนหรอกนะขอรับ”
ช่างเป็นคนที่มีจิตใจดีอะไรแบบนี้
เขาคงกำลังเป็นห่วงชั้นอยู่สินะ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถึงจะอยู่ช่วงฟื้นฟูที่ดิน แต่สิ่งที่เริ่มทำกันมามันก็เริ่มออกผลแล้วละครับ”
กองทัพถูกจัดระเบียบใหม่
พวกงานบริหารบ้านเมืองก็เหมือนกัน
แนวทางและแผนการพัฒนาก็เป็นรูปเป็นร่างเรียบร้อยแล้ว
ก็นะโลกที่ไปไกลกันถึงสำรวจอวกาศกันแล้วเทคโนโลยีพวกนี้มันก็ล้ำหน้ามากเลยละ
ขนาดพวกตึกสูงเสียดฟ้าเนี้ยมันสร้างเสร็จได้ในวันเดียวเลยนะ
เพราะมีพวกเครื่องจักร แล้วก็แอนดรอย์ ที่ถูกคุมด้วยนักสถาปนิกที่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วละนะ
“ท่านเลียมนี่ยอดเยี่ยมมากเลยนะขอรับ เช่นนั้นแล้ววันนี้เราก็มาฝึกกระบวนท่าพื้นฐานกันเหมือนเช่นเคยนะขอรับ”
“ครับ”
“แต่ในเมื่อฝึกธรรมดาคงช่วยให้ท่านพัฒนาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ดังนั้นนับแต่นี้ข้าน้อยจะขอเพิ่มน้ำหนักของคาตานะพลางให้ท่านปิดตาไปด้วยขณะฝึกนะขอรับ”
“อาจารย์อยากให้ผมคาดผ้าปิดตาแล้วก็เพิ่มน้ำหนักคาตานะเหรอครับ”
แล้วอาจารย์ก็ใส่ที่ถวงน้ำหนักไปกับคาตานะฝึกแล้วก็ปิดตาชั้น
“ขอให้ท่านเหวี่ยงดาบจนกว่าจะรู้สึกเหมือนแกว่งกิ่งไม้นะขอรับ ส่วนทางด้านที่ปิดตานั้นก็จะช่วยให้ท่านเรียนรู้ที่จะไม่ต้องเพิ่งเพียงสิ่งที่ตาเห็นอย่างเดียว”
“รับทราบครับ”
นี้มันเหมือนไอ้การฝึกในพวกการ์ตูนเลยนะเนี้ย
แต่ทุกสิ่งที่อาจารย์พูดถือเป็นที่สุด
…พอมาลองคิดดูด้านอุตสหกรรมการบรรเทิงในดาวเรามันก็ไม่ค่อยพัฒนาเลยนะก็เพราะไม่มีเวลาไปสนมันด้วยก็เถอะ
หรือเราจะลองสำรวจด้านนี้บ้างดีไหมละเนี้ย
***
(แย่ละ ชิบหายแล้ว เอ็งมันเป็นตัวอะไรกันเนี้ย)
ยาสุชินั้นกำลังมองเลียมเหวี่ยงดาบหนักๆพร้อมกับปิดตาไปด้วยอยู่อย่างหวาดกลัว
มันไม่มีทางเลยที่ยาสุชิจะคาดการณ์ได้ว่าเลียมนั้นจะสามารถเอาทริคหาเงินข้างถนนของเขามาทำเป็นวิชาลับจริงๆได้
เขายังคิดอีกว่าการเคลื่อนไหวของเลียมนั้นดียิ่งไปกว่าเขาเสียอีก
ทั้งที่สอนแค่พื้นฐานแท้ๆ แต่มันยิ่งกลับทำให้เขาต้องอับอายยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเลียมสามารถสร้างวิชาลับขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง
(ถ้าไอ้เด็กนี่มันจับได้ว่าข้าโม้ละก็มีหวังโดนหั่นในพริบตาแน่ๆเลยอ่ะ)
ด้วยเหตุการณ์ทั้งหมดไม่มีทางเลยที่เขาจะใจเย็นอยู่ได้
วิชาดาบของเลียมในตอนนี้นั้นเหนือชั้นกว่าเขาไปแล้วหลายขุม ความมั่นใจอันน้อยนิดในวิชาดาบของเขานั้นโดนทำลายจนแหลกสลายไปซะแล้ว
(ข้านี้มันโง่จริง ทำไมถึงไม่เหลือเงินเก็บไว้ละ งี้มันก็ไม่มีทางจะหนีไปจาหที่นี่ได้นะสิ)
เงินค่าจ้างนั้นเขาเอาไปใช้อย่างฟุ่มเฟือจนหมดไปเรียบร้อยแล้ว
เพราะเมื่อมีโอกาศเขาก็ออกไปเที่ยวเล่นในที่ต่างๆด้วยข้ออ้างที่ว่าจะไปเช็คลูกศิษย์ในที่ดาวอื่นๆ
จึงเป็นเหตุให้เขาไม่เหลือเงินไว้ชิ่งหนีเสียแล้ว
(ก็ไม่มีทางเลือกแล้วอ่ะ ต้องเก็บเงินไว้ชิ่งลูกเดียวแล้ว ใช่ ใช่นี้แหละ พอเงินมีแล้วก็ชิ่งทันที)
เพราะเลียมนั้นปิดตาอยู่ เขาเลยปาดเหงื่อที่ไหลเป็นน้ำได้อย่างสบายใจ
(ข้าสอนไปแค่วิชาพื้นฐานเองจริงนะ หรือไอ้เด็กนี้มันจะเป็นอัจฉริยะกันเนี้ย)
ยาสุชินั้นสอนใครไม่เป็น
เขาก็เลยไม่มีทางรู้เลยว่าเลียมนั้นมีพรสวรรค์จริงรึเปล่า
(อ้าาา ไม่สนแล้วข้าไม่สนอะไรแล้ว ตอนนี้ต้องเก็บเงินให้ได้มากที่สุด แล้วก็ต้องคิดค้นวิธีอะไรสักอย่างมาสอนมันไปพลางๆด้วยอ่ะ ไม่งั้นหัวขาดแหงๆ)
ยาสุชิตั้งมั้นว่าจะอดออมไปสักพักเพื่อจะได้มีเงินพอแล้วจะหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
****
จำเป็นด้วยเหรอที่ต้องปิดตาเนี้ย
ช่วงแรกๆก็คิดแบบนั้นอยู่ในหัวแหละ
แต่ตอนนี้น่ะ–
“ในที่สุดผมก็เข้าใจแล้วละครับ ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจความหมายของการมองโดยไม่ต้องใช้ตาแล้ว อาจารย์อยากให้ผมรู้สินะว่าใช้แค่ตามองอย่างเดียวมันไม่พอนะ”
ชั้นพูดกับอาจารย์โดยที่ยังคาดผ้าปิดตาอยู่
อาจารย์พยายามเดินถอยห่างออกไป ยอดไปเลยนะเนี้ยถึงจะมองไม่เห็นแต่ก็สัมผัสตำแหน่งของเขาได้โดยเพียงแค่เสียงขยับเท้าเล็กๆน้อยๆเนี้ย
เหมือนจะทำให้อาจารย์ตกใจได้ละนะ
นี้คงบ่งบอกแล้วสินะว่าชั้นเติบโตขึ้นน่ะ
“มะ แหม เล่นทำข้าน้อยตกใจเลยนะขอรับที่สามารถมาได้ไกลขนาดนี้เพียงระยะเวลาสั้นๆ ไม่สิเอาจริงๆนะแค่ไม่กี่ปีทำไมถึงทำได้ขนาดนี้กันละ”
ดูเหมือนชั้นจะเป็นพวกเรียนรู้เร็วสินะ
ในตอนนี้ชั้นสามารถสัมพัสถึงคนรอบข้างได้โดยไม่ต้องมองเลยด้วยซ้ำ
หนำซ้ำยังสามารถเหวี่ยงคาตานะที่เพิ่มน้ำหนักนี่ได้ด้วยแค่ปลายนิ้วด้วยนะ
“ดูพัฒนาการของผมสิครับ ผมเหวี่ยงคาตานะนี้ได้สบายๆแล้วด้วย”
“ไม่สิ อืม อย่าเพิ่งเหลิงไป”
“เอ๊ะ”
ขณะที่กำลังดีใจนั้นอาจาร์ยก็ดุชั้น
“ก็จริงอยู่ที่ท่านสามารถสัมพัสสิ่งรอบตัวได้โดยไม่ต้องมอง แต่ก็แค่นั้น ท่านยังไม่ได้เริ่มเรียนการสัมพัสด้วยเวทย์เลย”
พอโดนเตือนเรื่องเวทย์มนต์ ก็ยิ่งทำให้ชั้นตกใจเลยว่ายังมีอะไรอีกมากที่ชั้นยังสามารถเรียนรู้ได้
“อาจารย์ทำให้ผมตาสว่างเลยครับ”
“แน่นอนสิ ใช่ล่ะในเมื่อดาบนั้นมันเบาไปสำหรับละก็ข้าจะเตรียมคาตานะแบบพิเศษให้เอง”
ความตื่นเต้นก่อตัวในใจชั้นหลังจากได้ยินว่าจะได้คาตานะเล่มนั้น
“จะตั้งตารอเลยครับ”
“ละ เหรองั้นก็ดี”
หืม
ดูเหมือนอาจารย์จะสั่นกลัวอยู่นะเมื่อกี้
คิดไปเองหรือเปล่านะ
****
(อย่ามาล้อกันเล่นน่าไอ้เด็กบ้านั่น)
ยาสุชิในตอนนี้มีแต่ความรู้สึกหวาดกลัวต่อเลียมที่หันมาหาเขาได้แม้กระทั่งปิดตาอยู่
ทั้งดาบที่หนักกว่าปรกติมากยังโดนเหวี่ยงได้ด้วยปลายนิ้วนั่นด้วย
นี่ไม่ใช่ไอ้เด็กนั่นมันใช้ชีวิตได้โดยปิดตาตลอดทั้งวันได้แล้วหรอกนะ
ถึงขนาดที่ยาสุชิเคยวิ่งหนีเลียมแล้วแต่ก็ยังจะโดนเจอตัวได้ก็มี
(ทำไงดี ทำไงดี นี้ข้าต้องทำบ้าอะไรดี ทั้งๆที่คิดว่ามันจะไม่ได้อะไรจากการทำอย่างทั้งหมดนั่นแท้ๆ)
ทั้งๆที่เขาตั้งใจจะถ่วงเวลาเลยเสนอวิธีฝึกแบบนั้นไปแต่แผนเขาก็พังไม่เป็นท่าไปแล้ว
(ไอ้เด็กนั่นมันเป็นอัจฉริยะมาตั้งแต่แรกเลยงั้นเหรอ ถ้างั้นก็บอกกันก่อนสิฟร่ะ)
ดั้งเดิมแล้วยาสุชิไม่เคยสอนใครเลยด้วยซ้ำเพราะเขามันก็แค่นักต้มตุ๋นเท่านั้นเอง
เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะวัดขีดความสามารถของเลียมได้
(ข้าจะสั่งดาบที่แม่งหนักเท่าที่จะได้มาให้มันเนี้ยแหละ แล้วก็เอาให้มันยาวที่สุดด้วย เอาให้มันยกไม่ขึ้นกันไปเลย)
พัฒนาสัมผัสที่หก มองโดยไม่ต้องใช้ตาหรือเสริมแกร่งด้วยเวทย์มนต์ ต่างๆนานะเอาไว้ก่อน
ตอนนี้เขานั้นต้องการแผนที่จะถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด และในตอนนั้นเอง–
(ใช่แล้วไอ้นั้นแหละ ใช้ไอ้นั้นดีกว่า)
***
ยาสุชิเดินไปที่โรงเก็บของประจำคฤหาสน์
ทั้งข้าวของเครื่องใช้ ต่างๆนาๆที่โดนถอนออกมาจากคฤหาสน์หลังเก่าก็โดนนำมาเก็บไว้ที่นี่
เขานั้นเคยโขมยโบราณวัตถุในนี้ไปขายด้วย ถึงส่วนใหญ่จะเป็นของปลอมก็เถอะ
และท่ามกลางของพวกนั้นก็มีสิ่งหนึ่งที่สะดุดตาที่สุด หุ่นรบรูปร่างมนุษย์รุ่นเก่า ไนท์*
มันเป็นหุ่นขนาดใหญ่โตที่ยืนตระหงานสูงถึง 24 เมตร ซึ่งสูงกว่าหุ่นรบรุ่นใหม่ที่มีความสูงเพียง 14 เมตร
โดนมันเป็นหุ่นตกรุ่นไปกว่า 100 ปีแล้วหรือก็คือของที่ล้าหลังไปหลายรุ่นแล้วนั้นเอง
โดยมันเป็นหุ่นของปู่ทวดของเลียมเคยใช้
ยาสุชินั้นมาที่คลังเก็บของนี่พร้อมกับอามากิแล้วชี้ไปนี้ ไนท์ ตัวนั้น
“ช่วยทำให้เจ้าหุ่นนี่ ขยับได้ที เป็นส่วนหนึ่งในการฝึกของท่านเลียมนะขอรับ”
อามากิส่งสายตามองไปทางยาสุชิอย่างเคลือบแคลงใจ
“ทางนี้นั้นเป็นหุ่นรบที่รุ่นเก่ามากแล้ว มันจะไม่ดีกว่าเหรอที่จะเตรียมรุ่นใหม่กว่านี้นะ”
“อย่างงั้นก็แย่นะสิ”
ยาสุชินั้นรู้ว่าพวก ไนท์ รุ่นใหม่นั้นมีระบบที่ทำให้ขับง่ายมาก
เพราะยิ่งรุ่นใหม่ๆที่ออกมามันก็ยิ่งทำให้ผู้ใช้ขับมันได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆตามยุคสมัย
ไม่นับไปถึงความสามารถก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วยอย่างมาก ถ้าคนอย่างเลียมไปขับไอ้ข้องแบบนั้นละก็แค่ไม่กี่วันก็คงขับจนชำนาญแน่นอน
ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็ซื้อเวลาได้ไม่พอกันพอดี
“นี่ก็เพื่อท่านเลียมขอรับ ข้าน้อยอยากให้เขาฝึกใช้เจ้าหุ่นนี่หลังจากมันซ่อมบำรุงเสร็จแล้ว”
“แต่ชิ้นส่วนนั่นไม่มีอย่าตามท้องตลาดแล้ว มันจะไม่ยิ่งทำให้เวลาซ่อมบำรุงนานขึ้นอย่างงั้นเหรอ โดนตามมาตรฐานตอนนี้แล้วเขาใช้รุ่นที่มีความสูง 14-18เมตรหมด โรงงานที่จะรับซ่อมหุ่นที่มีขนาดนี้นนั่นคงมีไม่ค่อยเยอะหรอกนะ”
อามากินั้นยังคุยกับยาสุชิสุภาพนิดนึงเพราะคำสั่งของเลียม
เพราะถ้าไม่ละก็ภาษาคงจะไม่ค่อยงามเท่าไหร่
(คิดว่าข้าไม่รู้เร้อ ก็นั้นแหละใช้ไอ้เงินที่มีน้อยนิดนั่นไปกับไอ้หุ่นนี้ให้หมดนั้นแหละ ไอ้เด็กนั้นจะได้ไม่มีเวลามาตามหาชั้นตอนหนีไปไงเล่า โคตรอัจฉริยะเลยข้า)
เขานั้นพอรู้พื้นฐานของหุ่นรุ่นเก่าอยู่บ้าง
ถึงจะแค่ตรงที่มันโดนสร้างมาให้มีความทนทานมากแค่นั้นเองก็เถอะ
“พวกหุ่นรุ่นเก่านั้นถูกสร้างมาอย่างดีดังนั้นถ้าเอาชิ้นส่วนจากรุ่นใหม่มาประกอบด้วยนั้น ก็คงจะได้หุ่นที่มีประสิทธิภาพดีกว่าตามท้องตลาดแน่นอน”
“ก็กำลังบอกอยู่ว่า ไม่ไม่ได้ง่ายขนา–”
ขณะที่อามากิกำลังจะตอบปัด ยาสุชิก็ขยั้นขยอต่อ
“นี่เป็นคำขาดเลยขอรับ มันก็เพื่อท่านเลียมนะการบังคับก็เหมาะกับการฝึกด้วยเพราะต้องบังคับเองทั้งหมด มันไม่ดีหรอกน่าที่จะต้องเพิ่งไอ้ระบบช่วยขับอย่างปัจจุบันน่ะ”
ด้วยการหาข้ออ้างไปเรื่อยของยาสุชิ ก็เริ่มทำให้อามากิคิดว่าดีอยู่นิดนึง
เลียมเคยสั่งอามากิไว้ว่าให้ตอบรับคำขอของยาสุชิในขอบเขตที่เป็นไปได้มากที่สุด
“จะทำการเตรียมการให้ก็ได้”
“แล้วก็ทุ่มเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เลยนา นี้ก็เพื่อท่านเลียมไงล่ะ”
ถึงจะรู้ว่าตระกูลนี้มีหนี้ก้อนโตแต่เขาก็ยังเพิ่มออเดอร์ต่างๆนาๆโดยหวังให้การเงินต้องติดขัดเพิ่มไปอีก
***
ท่ามกลางคลังเก็บของที่ยาสุฮิเผ่นไปแล้ว
อามากิจ้องมองไปยัง ไนท์ ที่ระบุชื่อไว้ว่า [เอวิด]
มีชิ้นส่วนมากมายหลุดหายไปจนเผยให้เห็นถึงเฟรมของตัวหุ่น ไม่พอเกราะหลายแห่งก็ยังสนิมขึ้น
พอมองไปยังหุ่นที่สภาพยับเยินขนาดนี้ ก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้เลยที่อามากิจะคิดดังต่อไปนี้
(ไอ้หมอนั่นมันสอนใครได้จริงๆเหรอ ตอนนี้ชั้นมั่นใจเลยว่านายท่านนั้นเก่งกว่าไอ้นั่นไปแล้วแน่ๆ ทั้งยังไม่เห็นจะมีออร่าที่บ่งบอกว่าแข็งแกร่งออกมาเลยสักนิด)
แค่มองไปยังวิธีชีวิตของยาสุชิก็รู้แล้วว่ามันไม่ได้เรื่องแน่ๆ
แต่ดันสร้างผลลัพธ์ที่ดีออกมาได้
ยิ่งไปกว่านั้น
(ไม่ว่าจะสืบหาข้อมูลจากหมอนั่นเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จนน่าประหลาด…)
เนื่องด้วยแบบนั้นจึงเป็นการยากมากที่จะเลิกจ้างยาสุชิเพราะดันทำผลงานได้ดี
และถึงจะน่าสงสัยแต่ถ้าไม่ขัดกับงานก็ยังไม่ใช่ปัญหา
อามากิเริ่มละเหี่ยใจที่มันลากยาวมาจนถึงหลายสิบปีได้
“…ก็เหมือนคำสั่งจากท่านเลียม ก็ต้องทำสินะคะ”
ในยุคนี้ ไนท์ขนาด 24 เมตรนั้นแถบจะไม่มีอยู่แล้ว
ดังนั้นถ้าต้องการที่จะซ่อมแซมจริงๆเป็นไปไม่ได้เลยที่โรงงานทั่วๆไปจะทำได้
จึงจำเป็นที่จะต้องติดต่อกับโรงงานขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตชิ้นส่วนขึ้นมาเองได้เท่านั้น
ถ้าจะให้เทียบก็เหมือนเอา รถแข่งรุ่นเก่า ไปเข้าอู่เล็กๆนั้นแหละ ถ้าไม่มีชิ้นส่วนก็ซ่อมไม่ได้
“โรงงานที่ผลิตก็—เป็นของจักรวรรดิสินะคะ”
โรงงานที่ผลิต เอวิด นั้นเป็นหนึ่งในโรงงานที่สังกัดกับจักรวรรดิ
และน่าจะเป็นที่แห่งเดียวที่พอจะเชื่อมั่นให้ซ่อมแซมได้
อามากิก็ทำการเช็คออเดอร์ของยาสุชิอีกครั้ง
“ถึงจะมีสั่งมาหลายอย่าง แต่ในเรื่องเงินทุนก็น่าจะสามารถหามาพอได้ แต่ก็ต้องเริ่มจากการให้ช่างใกล้ๆมาเช็คสภาพก่อน….”
อามากิอยากให้ช่างแถวๆนี้มาดูสภาพ เอวิด ก่อนว่ามันจะซ่อมได้หรือไม่ก่อนติดต่อทางโรงงานในจักรวรรดิอีกที
ในขณะที่เธอเดินออกมาจากคลังเก็บของ เธอก็พบกับเลียมที่เดินปิดตาอยู่
ทันใดนั้นอารมณ์เธอก็ดีขึ้นมาทันที
“เสียงเท้าแบบนั้น…อามากิสินะ”
“ถูกต้องเลยคะนายท่าน”
เขาเดินทั้งๆที่ยังปิดตาอยู่ซึ่งแน่นอนว่าต้องมองไม่เห็นสิ่งรอบข้างแน่นอน
“แต่นายท่านค่ะ เดินไปเดินมาในสภาพนั้นจะอันตรายเอานะคะ”
“สบายๆน่ะ นี้ก็แค่การฝึกไง แล้วได้ยินว่ากำลังจะเตรียม ไนท์ ให้ชั้นงั้นเหรอ”
อามากิก็เริ่มพูดถึง ไนท์ ที่ยาสุฮิแนะนำให้เตรียม
“ค่ะ เป็นหุ่นรุ่นเก่าที่เก็บอยู่ที่คลัง แต่ถ้าถามความเห็นของชั้น คิดว่าให้ประหยัดงบด้วยการใช้รุ่น 14เมตร จะดีกว่านะคะ”
เลียมเริ่มเอามือลูบคางพลางใช้ความคิด
“แต่ก็เป็นความคิดของอาจาร์ยเนี้ยสิ ยังไงก็เถอะเดี๋ยวจะลองคุยให้ แต่ตอนนี้ขอตัวไปเดินรอบๆคฤหาสน์ก่อนล่ะ”
แล้วเลียมก็เริ่มออกเดินโดยที่ยังปิดตา
อามากิได้แต่มองภาพนั้นอย่างกังวลใจ
*ทางยุ่นเขาใช้คำว่า 機動騎士 จะอัศวินเกราะก็ได้แต่เลือดเล็กไหลในตัวมันอยากใช้ ไนท์ มากกว่า…