[นิยายแปล] I’m the Evil Lord of an Intergalactic Empire! - ตอนที่ 14
บทที่ 14 ขอบคุณ
ณ วังหลวง
สำนักนายกรัฐมนตรีนั้นตั้งอยู่ในวังที่ใหญ่โตมโหฬารจนยากจะกะเอาได้
ในห้องนั้นมีชายชรากำลังง่วนกับงานเอกสารอิเล็กโทรนิคตรงหน้าพลางที่ชายอีกคนมีทีท่ากระฟัดกระเฟียด
ชายที่อารมณ์เสียนั้นคือพ่อของเลียม คลิฟ
“มันหมายความว่ายังไงกันครับที่ว่าเรื่องแต่งตั้งผู้นำตระกูลใหม่ไม่ผ่านนะครับ”
เหล่าขุนนางนั้นต่างมีรูปร่างเยาว์วัยเพราะเทคโนโลยีการชลออายุขัย ดังนั้นคนที่ยังมีรูปร่างชรานั้นแสดงให้เห็นว่าเขาอยู่มานานมากๆแล้วนั่นเอง
คนที่คลิฟกำลังโวยวายใส่อยู่นั้นคือชายชราที่รับใช้ราชวงศ์นี้มานานหลายรุ่นจนเรียกได้ว่าจักรวรรดินั้นเป็นดั่งสวนหลังบ้านของเขาก็ว่าได้
“…เรื่องก็เคยผ่านมาทีหนึ่งแล้วมิใช่รึ เราก็เลยไม่เห็นถึงความจำเป็นที่่จะต้องเปลี่ยนใหม่ก็เลยปัดตกไป”
คลิฟนั้นเริ่มหัวเสียจนลืมกระทั่งมารยาทผู้ดีไปหมดแล้ว
“แต่ไอ้เด็กนั่นมันเอาแอนเดรอยด์เข้ามาในวังนี้เลยนะครับ มันทำให้ชื่อเสียงของตระกูลบลันฟิลดิ์ต้องเสื่อมเสียด้วยการระเมิดข้อห้ามของเหล่าขุนนางเลยนะครับ”
ชายชราจึงหยุดมือจากงานเพราะความไร้สาระของชายตรงหน้า
“งั้นเจ้าจะบอกว่า ขุนนางอย่างเซอร์เลียม ที่ทำการกวาดล้างโจรสลัดที่คุกคามน่านอวกาศของจักรวรรดิลงได้นั้นเป็นตัวน่าอับอายเช่นนั้นหรือ แล้วจักรวรรดิของเรานั้นมีกฏห้ามนำแอนดรอยด์ไว้ใกล้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่เจ้าพูดมามันก็แค่มุมมองจากชลกลุ่มหนึ่งเองมิใช่รึ”
“ก็เพราะมุมมองแบบนั้นมันมีอยู่ถึงได้เป็นปัญหายังไงละครับท่าน ดังนั้นได้โปรดคิดทบทวนอีกทีด้วยเถอะครับ”
นายกชราตรงหน้าคลิฟนั้นก็ยิ้มขึ้น
คลิฟที่คิดว่าในที่สุดชายชราตรงหน้าก็เข้าใจเขาแล้วก็ยิ้มตาม
แต่ก็ไม่นานที่สีหน้าของเขาต้องซีดเผือกลงในทันที
“เซอร์เลียมนั้นทำหน้าที่ของขุนนางแห่งจักรวรรดิได้อย่างดีเยื่ยมด้วยการจ่ายหนี้ย้อนหลังของตระกูลบลันฟิลดิ์ได้ทั้งหมดไม่พอยังจ่ายภาษีไม่เคยขาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทางเราจึงคาดหวังกับอนาคตของเขาไว้มาก เราพูดแค่นั้นเจ้าคงจะพอเข้าใจความหมายแล้วใช่หรือไม่”
“กะ ก็ถ้าพวกเราได้ตำแหน่งคืนมาแล้วจ่ายภาษีเรื่องก็จบแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
ด้วยคำตอบของคลิฟก็ทำให้ชายชราระเบิดหัวเราะออกมาทันที
“ก็เพราะเจ้าไม่เคยทำมาก่อนเลยสักครั้งนะสิเราถึงไว้ใจไม่ได้ แค่นี้ก็เรียกได้ว่าเจ้ากับลูกของเจ้านั้นต่างกันอย่างใหญ่หลวงเพียงใด และถ้าให้พูดถึงว่าจักรวรรดินั้นจะได้ประโยชน์จากใครมากกว่าเรื่องแค่นี้เจ้าก็น่าจะรู้นะ”
คลิฟพยายามจะเถียงแต่อีกฝ่ายนั้นไม่ปล่อยให้เขาได้ทันเปิดปาก
“เราขอให้เจ้าสำรวมไว้จะเป็นการดีกับเจ้ามากที่สุดถ้ายังอย่างที่จะใช้ชีวิตอย่างมีสุขอยู่ในเมืองหลวงได้น่ะ”
สิ้นคำของชายชราคลิฟก็รีบหนีหางจุกตูดออกจากห้องทำงานในทันที เพราะจากน้ำเสียงของประโยคสุดท้ายของนายกชรานั้นหมายความได้ว่าถ้าเขาลงมือกับเลียมละก็พวกเขาจะโดนกำจัดอย่างแน่นอน
นายกชรานั้นได้แต่มองภาพด้านหน้าพลางขมวดคิ้ว
“พักนี้เหล่าขุนนางชั้นผู้น้อยก็เริ่มฉายแววกันมามาก … แต่ก็ไม่นึกเลยว่าอัจฉริยะชนระดับนั้นจะเกิดขึ้นในตระกูลเช่นนั้นได้”
เลียมนั้นคือคนที่สามารถฟื้นดาวที่ตายไปแล้วให้กลับมามีชีวิตได้
ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถกวาดล้างกองโจรสลัดที่มีมากว่ากำลังรบของตนอย่างมากได้อีก
เป็นอัฉริยะทั้งบู้และบุ๋น ไม่พอยังเป็นที่รักของประชาชนของตนอีกเรียกได้เลยว่าเป็นดาวรุ่งของขุนนางหน้าใหม่ ตัวตนของเขานั้นเรียกได้เลยว่านำมาซึ่งความสุขและทุกข์แก่นายกชราเช่นกัน
เพราะไม่แน่ว่าวันหนึ่งเขี้ยวเล็บนั่นอาจหันเข้าหาจักรวรรดิสักวันก็เป็นได้
ถึงชายชราจะคิดว่าไม่มีทางแพ้แต่เรื่องก็อาจจะไม่จบง่ายๆเช่นกัน
แต่มันจะเป็นอีกเรื่องไปเลยถ้าเขานั้นซื่อสัตย์ต่อจักรวรรดิ
ขุนนางที่จ่ายภาษีครบและยังปฏิบัติตนอยู่ในกฏนั้นจะทำให้นายกชรายินดีเป็นอย่างมาก
“ไม่มีทางที่เราจะปล่อยให้พวกไร้ความสามารถมาแทนที่เจ้าหนูนั่นหรอก ต้องทำให้เจ้าหนูนั่น..เลียมนั้นรับใช้จักรวรรดิต่อไปให้ได้”
แล้วเขาก็เปิดเอกสารอิเล็กโทรนิคฉบับหนึ่งขึ้นมา
มันเป็นเอกสารเกี่ยวกับเรื่องรางวัลจากการปราบปรามโจรสลัดจากเลียมนั่นเอง
ซึ่งทางเลียมนั้นได้ปฏิเสธตัวเงินรางวัล
ถ้าจะให้พูดให้ถูกคือไม่ขอเงินรางวัลแต่เป็นการขอให้เอาเงินที่เขาจะได้ไปจ่ายภาษีย้อนหลังทั้งหมดแทน
พร้อมกันนั้นขอสิทธิ์ในการซื้อยานแม่จากโรงงานผลิตอาวุธของจักรวรรดิด้วยเช่นกัน
คำขอทั้งสองนั้นไม่ได้ส่งผลเสียต่อจักรวรรดิเลย
กลับกันยังเป็นผลดีเสียมากกว่า
แทนที่จะต้องจ่ายเงินให้เลียมกลายเป็นทางเลียมมาจ่ายเงินซื้อเรือธงกับจักรวรรดิแทน
เป็นคำขอสุดวิเศษที่ไม่กระทบกับการคลังของจักรวรรดิเลยแม้แต่น้อย
“ทั้งที่ตัวหุ่นแอนดรอยด์รับใช้เจ้านายของตนอย่างสุดความสามารถ กลับกันอีกฝั่งที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับตนกลับไม่ใยดี มุ่งแต่จะหาความสุขสบายในชีวิตตนลูกเดียว … ช่างเป็นยุคสมัยที่ลำบากยิ่งนัก”
นายกชรานั้นได้แต่บ่นออกมาสักพักก่อนจะกลับไปทำงานต่อ
***
ที่ห้องสวีตของโรงแรมหรูในเมืองหลวง
ตอนนี้ชั้นนอนอยู่บนตักของอามากิในห้องสุดแพงนี่
“ไอ้งานปาร์ตี้เนี้ยมันทำชั้นสุดจะเพลียจนไม่รู้จะเพลียเรื่องอะไรก่อนเลย”
ถึงจะไปมันทุกวันก็ยังไม่เข้าใจศาสตร์แห่งการจัดงานปาร์ตี้อยู่ดี มันเยอะจนพึลึกเลย
ทั้งอาหารพิลึกกึกกือหรือธีมที่ไร้สาระหาใดเปรียบ
ใช่ ที่ตราตรึงใจสุดก็อีงานปาร์ตี้ถังนั่นแหละ ไม่ใช่หน้ากากแต่เป็นถัง
พึลึกจนซะจนเข้าไม่ถึงเลย
คนจัดงานมันตีลังกาคิดได้ไงก็ไม่รู้
บ่นนั่นนู่นี่ไปแต่นอนหนุนตักนี่อย่างดี
แล้วอามากิก็เริ่มพูดขึ้นมา
“นายท่านค่ะ นับตั้งแต่ที่ชั้นได้รับใช้นายท่านจนถึงเป็นผู้ใหญ่ก็เป็นระยะเกินกว่า 40ปี ได้แล้ว”
“ใช่ ถึงจะเหมือนนานแต่เอาเข้าจริงก็เหมือนเพิ่งผ่านมาแป๊ปเดียวเองละนะ”
ถ้าเทียบกับชาติก่อนก็นับว่านานแหละแต่มาโลกนี้กลับรู้สึกผ่านไปเร็วเหลือเกิน
“…ชั้นจึงคิดว่าไม่สมควรจะอยู่ข้างกายนายท่านต่อไปแล้วค่ะ”
“พูดอะไรนะ”
ขณะที่ชั้นลุกขึ้นมางงกับสิ่งที่เธอพูดต่อ
“สังคมของจักรวรรดินั้นค่อนข้างจะต่อต้านการใช้งานแอนดรอยด์ ดังนั้นแค่มีชั้นอยู่ข้างกายมันก็ทำให้ชื่อเสียงของนายท่านเสียหายแล้วดังนั้นชั้นคิดว่าควรจะให้มนุษย์ทำหน้าที่นี้แทนจะดีกว่าค่ะ”
หลังจากที่เธอพูดจบชั้นก็รู้สึกถึงความโกรธที่พุ่งขึ้นมา
“ถ้าจะตลกก็ให้มันน้อยๆหน่อย”
“แต่มันไม่ใช่ค่ะ”
“หา?”
แล้วชั้นก็เห็นภาพของอดีตภรรยาชั้นในชาติก่อน
“นี่ก็เพื่อตัวของนายท่านค่ะ”
ภาพของผู้หญิงที่บอกว่ารักชั้นแต่สุดท้ายก็ทิ้งชั้นไปง่ายๆ
ภาพของยัยผู้หญิงที่วิ่งไปหาผู้ชายคนใหม่แล้วหัวเราะเยาะเย้ยชั้น เป็นชนวนที่จุดประกายไฟแค้นให้กับชั้น
“…งั้นเหรอ แม้แต่แอนดรอยด์ ก็ทนชั้นไม่ไหวจนคิดจะจากชั้นไป..คิดจะทิ้งชั้นไปอีกคนสินะ อยู่ข้างชั้นมันเลวร้ายขนาดนั้นเลยสินะ”
ชั้นยืนขึ้นแล้วเริ่มตะโกนออกมา ส่วนทางด้านอามากิก็ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ
“ไม่จริงหรอกค่ะช่วงเวลาที่ได้อยู่กับนายท่านนับเป็นความสุขที่สุดในระยะการทำงานของชั้นเลยแต่เพราะแบบนั้นชั้นถึงต้องถอยไปค่ะ ชั้นจะเตรียมหาคนที่จะมาทำหน้าที่แทนให้แน่นอนดังนั้น…”
ใครมันจะสนเรื่องบ้าบอพรรณ์นั้นกัน
จะทิ้งชั้นไปด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ไร้สาระแบบนี้เนี้ยนะ
“อย่ามาล้อกันเล่นน่ะ เธอแค่คอยทำตามที่ชั้นสั่งก็พอแล้ว ใช่ชั้นขอสั่งให้เธออยู่ข้างชั้นต่อไป เธอเป็นแอนดรอยด์ใช่ไหมละงั้นก็แค่เงียบแล้วทำตามที่ชั้นสั่งไปก็พอ!!”
อามากิก็ตอบกลับมาด้วยเสียงเบาๆ
“..ถ้านั่นเป็นประสงค์ของนายท่านละก็ชั้นก็ไม่ขัดค่ะ”
“ใช่แบบนั้นแหละขั้นน่าจะสั่งแบบนี้ตั้งแต่แรก ไดโปรดเถอะ…อย่าทิ้งชั้นไปอีกคนเลย”
แล้วชั้นก็ร้องไห้ออกมา ทางด้านอามากิก็เข้ากอดหัวชั้น
“ช่วยไม่ได้นะคะ นายท่าน”
ถ้ามาคิดดูพวกเราก็อยู่ด้วยกันมาครึ่งศตวรรษแล้วนี้น่ะ
เธออยู่ด้วยกันกับชั้นมานานกว่ายัยผู้หญิงนั่นอีก
“ช่วยไม่ได้นั่นแหละก็มีแค่เธอที่คอยอยู่ข้างชั้นมาตลอด”
“…แต่ไม่ใช่ว่าคุณไบรอันก็อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอค่ะ”
ไม่ดิ…เออ ก็ถูกของเธอ แต่ไม่นึกว่าจะมาได้ยินชื่อไบรอันเอาตอนนี้เลยวุ้ย
มาคิดดูไบรอันนี่ก็เป็นเหมือนปู่มากกว่าพ่อบ้านซะอีก
พอมาคิดดูก็เป็นไบรอันนี่แหละมั้งที่ชั้นรู้จักด้วยนานพอกับอามากิ
อามากิก็ยิ้มออกมา
“ถ้าเช่นนั้น ชั้นจะอยู่รับใช้นายท่านตราบนานเท่านานเลยนะคะ”
“อืม แบบนี้แหละดีแล้ว”
–ใช่ควรจะเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว
แต่ทำไมรอยยิ้มของเธอถึงได้ดูเศร้ากว่าปรกติละ
***
ณ ดาวของตระกูลบลันฟิลดิ์
ในสถานพยาบาลที่ถูกตั้งขึ้นมาใหม่ที่พร้อมไปด้วยเครื่องมือแพทย์ล่าสุด
เทียก็ได้ตื่นขึ้นมาในที่เช่นนั้น แล้วเมื่อเธอเองตัวนอนลงอีกครั้งก็รู้สึกแปลกๆขึ้น
“…นี่มัน”
ตัวชั้นรู้สึกแปลกไปจากเดิม
ร่างกายเธอรู้สึกแปลกไป
ไม่ใช่ในทางไม่ดีแต่เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้พบมานาน
ใช่เธอรู้สึกถึงแขน ขา ของเธออีกครั้งราวกับว่าเธอนั้นฝันอยู่
แล้วครู่ต่อมาประตูห้องก็เปิดออกทำให้เธอสะดุ้งขึ้นแล้วคนที่เข้ามาก็เป็นหมอในชุดกาวน์และพยาบาล
-ไม่ใช่คนเลี้ยงสัตว์
“ตื่นแล้วสินะครับ”
สายตาที่หมอคนนี้มองเธอนั้นไม่มีร่องรอยของความขยะแขยงอยู่เลย
“อืม มันเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ…เสียงชั้น..”
ใช่เสียงเธอต่างไปจากปรกติ
เพราะมันเป็นเสียงของเธอจริงๆ เสียงของเธอกลับมาแล้ว
เสียงดังเดิมของเธอออกมาจากปากของเธอเอง
แล้วพยาบาลที่ยืนอยู่ด้านหลังก็มองอย่างเอ็นดูมาทางเธอ
พร้อมกับที่ยื่นกระจกที่สะท้อนภาพของเธอ
ถึงทีแรกเธอจะกลัวที่จะมองภาพสะท้อนของตัวเองแต่สิ่งที่สะท้อนกลับมานั้นคือใบหน้าที่คุ้นเคย ใบหน้าของเด็กสาวเยาวัย
ผมยาวสลวย
ริมฝีปากอมชมพูและผิวสีขาวเนียน
ดวงตาสีเขียวมรกต ใช่ทั้งหมดนี่คือใบหน้าเก่าของเธอ
“ห๊ะ นะ นี่มันหน้าของชั้น..”
น้ำตาไหลอาบแก้มของเธอที่รู้สึกงุนงงกับภาพอันแสนคุ้นเคยตรงหน้า
ถึงใบ้หน้าของเธอจะไม่ค่อยแสดงสีหน้า
แขนขาที่ขยับลำบาก
แต่ว่านี่คือตัวของเธอจริงๆ
ฝั่งหมอก็ดูจะโล่งอก
“ทางเราต้องประกอบร่างของคุณขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ต้น ก็เลยอาจจะใช้เวลานานหน่อยนะครับ”
น้ำตาไหลออกมาไม่อาจจะหยุดได้พลางที่เธอฟังคำพูดจากหมอตรงหน้า
“ร่างกาย…ชั้นกลับเป็นปรกติแล้วเหรอคะ”
ด้านหมอนั่นก็มีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยกับคำถามนี้
“เราได้ใช้น้ำอมฤตเพื่อทำให้คุณกลับมาครับแต่กว่าจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนปรกติได้คงต้องทำกายภาพบำบัดนานค่อนข้างหนักนะครับ”
“ใช้ของมีค่าขนาดนั้นกับชั้นเหรอคะ”
“ครับถึงจะใช่ไม่กี่หยดก็ตาม แต่ก็อย่างที่บอกไปเมื่อครู่ครับถ้าอยากได้ร่างกายกลับมาเหมือนเดิมก็ต้องผ่านกายภาพบำบัด แต่มันจะหนักมากเพราะต้องสร้างกล้ามเนื้อใหม่เลยจะไหวไหมครับ”
มันไม่ใช่ฝันสินะ แต่ถึงจะเป็นแค่ฝันเธอก็ดีใจมากเป็นแน่
เพราะจนถึงเมื่อไม่นานมานี้เธอไม่เคยนึกฝันว่าจะได้เห็นฝันที่มีความสุขแบบนี้มาก่อนเลย
“ไหวค่ะ ไม่ว่าจะอะไรชั้นก็จะทำค่ะถ้าจะได้ร่างกลับมาเหมือนเดิม”
สิ้นคำของเทีย หมอก็ยิ้มออกมา
“ไม่ใช่ฝันล่ะ นี้ชั้นตื่นอยู่จริงๆ…”
แต่ก็มีบางสิ่งที่เธอฉุกคิดขึ้นมาได้
ตัวเธอเพิ่งจะผ่านการรักษาที่ถึงขั้นประกอบร่างขึ้นมาใหม่แบบนี้ไม่ใช่แค่การรักษาที่ใครก็จะรับได้แน่นอน
เพราะยิ่งเป็นกรณีของเธอที่ไม่ใช่แค่ต่อแขนหรือทำให้ขางอกออกมาแบบนั้น การจะรักษาเธอต้องใช้บุคลากรเฉพาะด้าน
มันสามารถรักษาได้แต่ก็เรียกได้ว่าไม่สามารถเข้าถึงการรักษาก็ว่าได้
เพราะถ้าไม่ใช่ขุนนางที่รวยล้นฟ้าก็คงไม่สามารถหาน้ำอมฤตมาได้แน่ๆ
มันมีราคาถึงเพียงนั้นเลยทีเดียว
“คะ ใครเป็นคนจ่ายค่ารักษาให้เหรอคะ”
ฝั่งหมอที่กำลังจดข้อมูลลงในข้อมูลการรักษาของเธอก็ตอบกลับมา
“ก็ขุนนางบลันฟิลดิ์ไงละ ถ้าจะพูดให้ถูกคือเขาเป็นคนสร้างโรงพยาบาลนี้เองเลยล่ะ”
ถึงขนาดที่สร้างโรงพยาบาลเฉพาะด้านเพื่อช่วยเหลือพวกเธอแทนที่จะพาไปในสถานที่ที่มีเครื่องมือพร้อมแทน
แล้วด้านหมอก็พูดส่งต่อข้อความจากเลียมถึงพวกเธอ
“ท่านเคานต์ฝากบอกมาว่าถึงพวกเธอจะต้องใช้หนี้นี้แต่ตอนนี้เขาอยากให้ตั้งใจกับการกายภาพบำบัดเสียก่อนค่อยคิดถึงเรื่องอื่น”
“หนี้นี้อย่าลืมใช้คืนด้วยล่ะ-” เทียนึกถึงคำพูดนี้จากเด็กชายเมื่อตอนนั้น
“อย่าบอกนะว่า จะเป็นเด็กชายเมื่อตอนนั้น”
“มาเข้าเรื่องต่อไปกันนะครับ…”
แล้วหลังจากนั้นหมอก็จัดแจงเรื่องตารางการบำบัดต่างๆของเธอ
***
หนึ่งปีผ่านไปหลังจากชั้นกลับมาจากเมืองหลวง และตอนนี้ชั้นก็กำลังรับรายงานเรื่องต่างๆจากไบรอันอยู่ในห้องทำงาน
ตัวไบรอันนั้นกำลังยิ้มหน้าบานอยู่เลย
“ท่านเลียมครับทางสถานพยาบาลรายงานมาว่าการรักษานั้นกำลังดำเนินไปด้วยดดีครับ”
“หมายถึงพวกคนที่เราช่วยมาจากยานของโกอาซใช่ไหม”
“ใช่ครับ สำหรับผู้ที่กำลังทำการกายภาพบำบัดอยู่นั้นจะเสร็จในประมาณปีถึงสองปี ส่วนผู้ทำไม่จำเป็นนั้นสามารถเริ่มใช้ชีวิตในดาวเราได้เป็นปรกติแล้วครับ”
ก็เพราะพวกเขาสูญเสียดาวเกิดกันแล้วก็เลยย้ายมาพักอาศัยที่ดาวของชั้นแทน
ดูเหมือนจะมีสาวงามอยู่เยอะไม่พอยังจะมีพวสกที่มีความสามารถพิเศษอยู่เยอะเลยด้วย
ถ้าพวกเธอสามารถให้กำเนิดคนรุ่นใหม่ในดาวที่สวยๆงามๆมาเยอะๆได้ละก็ แค่นี้ก็จะทำให้ชั้นเข้าใกล้ ชีวิตสำราญในฝันได้อีกด้วย
“ยอดเยี่ยม”
“ใช่เลยละครับ แถมพวกเธอหลายคนนั้นแสดงความขอบคุณต่อท่านเลียมอย่างมากเลยละครับ”
ก็ลงทุนไปหวังผลในอนาคตแต่เหมือนจะได้ผลตอบรับที่ดีแล้วกว่าที่คาดซะอีกนะเนี้ย
ส่วนอีกเรื่องที่ทำชั้นใจเบิกบานก็คือกล่องสีเหลี่ยมสีทองในมือของชั้น
มันเป็นของที่ยึดมาจากโกอาซแต่ก็ไม่ได้เอาไปเมืองหลวงด้วยจึงเก็บไว้ที่ลิ้นชักในโต๊ะทำงาน กลับมาแล้วพอมีเวลาว่างเหลือก็เอามันออกมาดูบ้างเป็นบางครั้งละนะ
ไบรอันก็ส่งยิืมอันอบอุ่นมาทางชั้น
“ดูท่านเลียมจะชอบทองมากเลยนะครับ”
“ชั้นบุชามันเลยละ”
“กระผมก็เอ๊ะใจถึงเจ้ากล่องนี่มาสักพักแล้วนะครับว่าเหมือนเคยเห็นมาจากที่ไหนสักที่เหมือนกัน…”
แล้วไบรอันก็ประกบมือเข้าด้วยกัน
“จำได้แล้วละครับ”
“อะไรเรอะ มันเป็นสมบัติล้ำค่าจากที่ไหนรึไง”
“ไม่ละครับผมคิดว่ามันน่าจะเป็นมากกว่านั้นะครับ”
“แกทำให้ชั้นหวังซะมากกับมันแล้วสิ รีบๆบอกมาได้แล้วว่าจำอะไรได้”
“เป็นเรื่องที่กระผมยังไม่เคนบอกท่านเลียมสินะครับที่ว่าผมเคยเป็นนักผจญภัยมาก่อนนะ”
นักผจญภัยนั้นคือผู้ที่คอยออกสำรวจไปในจักรวาลที่กว้างใหญ่นี้
เป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในการสำรวจโบราณสถานทั้งยังรวมไปถึงเรื่องอารยธรรมโบราณอีกด้วย
“แกเคยเป็นนักผจญถัยมาก่อนเรอะ”
“ก็เคยมีช่วงเวลาแบบนั้นอยู่แหละครับ แล้วที่นี้นะครับที่ผมจำได้ว่าเคยเห็นเจ้ากล่องนี่มาก่อน แต่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นของเลียนแบบ แต่มันก็คือ ‘กล่องแปรธาตุ’ละครับ เป็นเทคโนโลยีที่สาบสูญจากอารยธรรมโบราณนะครับ”
“ครับตามชื่อ มันสามารถสร้างแร่ล้ำค่าจำพวกมิทริล โอริฮารูกอน หรือ อดามันเทียมได้จากเศษขยะ มันสามารถแปรธาตุทุกอย่างนอกจากสิ่งมีชีวิตได้เลยนะครับ”
“งั้นมันส้รางทองได้รึเปล่า!”
“หืม ครับสร้างได้สิ”
“ชั้นละอย่างให้มันเป็นของจริงขึ้นมาซะแล้วสิ”
“นั่นคงวิเศษมากเลยละครับถ้านายท่านได้ของแบบนั้นมาเราคงแก้ปัญหาสภาพการเงินของเราได้เลยทีเดียว”
“แล้วแกอยากออกไปสำรวจหาของจริงกันไหมละ”
“ท่านเลียมครับตอนนี้ท่านเป็นผู้นำของตระกูลบลันฟิลดิ์ กระผมก็ขอให้ท่านลดความคิดเรื่องออกผจญภัยลงจะเป็นการดีกว่านะครับ”
ชั้นละเกลียดพวกที่ไม่ตามใจชั้นเสียจริง
***
กลางคืน
ชั้นก็ถือกล่องสีทองนั้นอยู่ในห้องนอนของชั้น
“ชั้นละหวังให้มันเป็นของจริงเหลือเกินละนะ”
ก็มีถามวิธีใช้จากไบรอันอยู่เหมือนกัน
ดูเหมือนมันจะเป็นอุปกรณ์เวทย์มนต์จากอารยธรรมที่สาบสูญไปแล้ว เป็นเครื่องมือล้ำค่าที่แม้แต่วิทยการปัจจุบันในโลกนี้ไม่อาจเลียนแบบได้
คงแก้ปัญหาเรื่องหนี้ได้ทันทีเลยละนะถ้าเป็นของจริง
“ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเปิดฝาด้านบนออกก่อน…”
ชั้นเปิดฝาด้านบนออกแล้วเอามาหันไปทางดาบไม้ที่ชั้นใช้ฝึก
“นี่มัน!”
ตอนแรกคิดว่าจะลองดูเล่นๆเพราะคิดว่าเป็นของเลียนแบบแค่หน้าจอต่างๆกลับเด้งขึ้นมารอบตัวชั้น
“เอ๋!!”
เป็นตัวอักษณโบราณทั้งหมดเลยในหน้าจอนั่น
เพราะชั้นเคยเรียนมาในแคปซูลเรียนรู้ก็เลยพอจะอ่านออกอยู่บ้าง
“แปรรูปๆ หืมตรงนี้รึเปล่า..”
หลังจากชั้นเลือกว่าต้องการแปรรูปมันเป็นอะไรเสร็จดาบไม้ตรงหน้าชั้นก็กลายเป็นดาบทองไปในที่สุด
แล้วชั้นก็ได้ดาบทองคำมา
“ต้องล้อกันเล่นแน่ๆ นี่มันของจริงนี่หว่า!”
อา พอมาคิดดูไอ้เจ้านี่เองสินะที่เป็นแหล่งเงินของเจ้าโกอาซน่ะ มิน่ามันถึงมีพวกแร่ล้ำค่าเยอะแบบนั้น
“ผู้นำทางเคยบอกว่าชั้นจะได้สมบัติล้ำค่าจากมัน นี่เขาหมายถึงเจ้าสิ่งนี้เองหรอกเรอะ”
ชั้นวิ่งไปเปิดหน้าต่างห้องออกแล้วเริ่มหัวเราะร่าอย่างดีใจ
“ยอดเยี่ยม ไม่นึกว่าจะมีบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ ผู้นำทางนายช่างเป็นคนดีอะไรแบบนี้! จะให้ชั้นขอบคุณไปทั้งชีวิตก็คงไม่พอแน่ๆ แต่ขอให้รู้ว่าเลยว่าชั้นนั้นจะเป็นจอมวายร้ายได้ก็เพราะนายเลย ขอบคุณมาก”
ชั้นตะโกนคำขอบคุณออกจากใจจริง
ทุกความรู้สึกของชั้นต่อผู้นำทางนั้นมีแต่คำขอบคุณให้แกเขา
“ขอโทษด้วยนะผู้นำทางที่เคยสงงสัยว่านายเป็นพวกน่าสงสัย แต่ชั้นมีความสุขขนาดนี้ได้ตอนนี้เพราะนายช่วยชั้นมามากขนาดนี้ ไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี ถึงจะไม่พอแต่ชั้นก็อยากให้นายได้รู้ว่าชั้น ขอบคุณทุกอย่างเลยที่ช่วยให้ชั้นมีวันนี้ได้ ขอบคุณมาก!!!”
***
กลับกันทางด้านผู้นำทางนั้น….
ก็กำลังนอนดิ้นอย่างทุรนทุรายกับคำขอบคุณจากใจจริงของเลียม
เขาร้องโอดครวญราวกับโดนเหล็กร้อนจี้เข้ากลางอกก็มิปาน
“หยุดได้แล้วครับ!!”
เขาได้แต่เอามือกุมหน้าอกให้กับความเจ็บปวดแสนสาหัสนี้
เขาดิ้นไปมากับพื้น โยนทิ้งแม้กระทั่งกระเป๋าส่วนตัวของเขา แล้วก็ดิ้นกับความเต็บปวดจากคำขอบคุณของเลียม
“หมดแล้ว พลังของผมมันกำลังหายไปหมดแล้ว!!”
แทนที่เขาจะได้ฟื้นพลังกลับกันมันยิ่งหดลงไปเรื่อยๆแทน
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเขานั้นไม่มีหวังที่จะฆ่าเลียมได้อีกเลย
เขานั้นกุมหน้าอก กัดฟัน อย่างเจ็บปวด
“ไม่ยกโทษให้ กระผมไม่ยกโทษให้แน่ๆครับ เลียม ด้วยมือนี่กระผมจะทำให้ชีวิตคุณดับดิ้นอย่างน่าอนาถไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ถึงเวลานั้นกระผมจะเป็นฝ่ายหัวเราะเยอะคุณแทนแน่นอน ล้างคอรอไว้เลยนะครับ”
ผู้นำทางก็ยืนหยัดขึ้น
พลางให้คำสาบานภายใต้แสงจันทร์
“เตรียมตัวเตรียมใจให้ดีเลยนะครับเลียม..”
ที่นั่นก็มีหมาหนึ่งตัวคอยซ่อนอยู่ภายใต้แมกไม้พลางมองไปที่ผู้นำทางอย่างสนุกสนาน
***
ตอนหน้าก็จบบท 1 สักที