[นิยายแปล] I’m the Evil Lord of an Intergalactic Empire! - ตอนที่ 13
บทที่ 13 ครอบครัว
หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจบศึกกับพวกโจรสลัด ดาวของชั้นก็เริ่มกลับมาสงบสุขเหมือนเดิม
ซะเมื่อไหร่ พวกลูกน้องชั้นยุ่งกันจนหัวหมุนเลยต่างหาก
ที่ชิลนะมันชั้นที่เป็นเจ้านายเท่านั้นแหละ
ในห้องรับแขกของคฤหาสน์ ชั้นกำลังเจรจาธุรกิจกับเจ้าพ่อค้าหัวใส โทมัส
“โทมัส ถ้าจะตลกก็ให้มันน้อยๆหน่อย”
“หืม…แต่ผมว่าราคาที่เสนอมันก็สมน้ำสมเนื้อแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
เขานั้นเสนอใบราคาขอซื้อพวกแร่หายาก โบราณวัตถุ และพวกสมบัติต่างๆนาๆที่ชั้นยึดมาได้
ราคามันสูงจนคิดว่าเรื่องล้อเล่นเลยทีเดียว
ตัวเลขนี่หลายหลักจนขนาดที่สองชีวิตนี้รวมกันยังไม่ฝันจะได้เห็นเลย
มันเยอะจนตาถลนนั่นแหละถ้าไม่ให้คิดว่าแปลกไปหน่อยนี่ก็เกินไปนะ แทบจะพูดเลยว่าไอ้เงินที่ชั้นเก็บๆมานี่เทียบได้กับเศษเงินเลย…ถ้าจะให้เทียบก็เหมือนกับซื้อนมมาขวดแล้วไม่คิดจะสนไอ้เศษ 50 สตางค์ ที่ทอนมานั่นแหละ
“ไม่มีอะไร ก็แค่หนึ่งในคำที่ชั้นอยากจะลองพูดดูเท่านั้นแหละ”
“งั้นเหรอครับ แต่จะดีเหรอครับที่ขายของทั้งหมดนี่จริงๆนะครับ”
ชั้นนั้นขายไอ้พวกของที่ยึดมาจากพวกโจรสลัดไปเกือบทั้งหมด
เหตุผลก็ง่ายๆ เงินไงละ
มันจะช่วยให้ชั้นลดหนี้ได้เยอะเลยทีเดียว
แต่ถึงจะได้เงินมาขนาดนี้ก็ยังปลดหนี้ไม่ได้
–ชั้นละทึ่งในความสามารถในการสร้างหนี้ของตระกูลชั้นจริงๆ
“ก็ไม่ได้ขายทั้งหมดซะหน่อย อย่างเจ้าคาตานะเล่มนี้ไง”
พอชั้นโชว์เจ้าคาตานะที่ชั้นเริ่มติดใจหลังจากยึดมา โทมัสก็มีสีหน้าประทับใจ
“ดูท่าท่าเคานต์จะได้ดาบชั้นดีมาเลยนะครับ”
“จริงดิ”
ไอ้ชั้นก็คิดว่ามันคมกว่าดาบอื่นๆแค่นั้นเองแต่ดูเหมือนจะเป็นดาบมีชื่ออะไรพวกนั้นเรอะ
“ผมก็ไม่ได้เชี่ยวชาญทางด้านนี้สักเท่าไหร่ แต่จะให้เรียกผู้เชี่ยวชาญมาประเมิณให้ไหมละครับ”
“ไม่เป็นไร”
“โอ๊ะแล้วก็ ของที่ท่านเคานต์สั่งทางเราก็ได้เตรียมที่จะทำการจัดส่งมาให้แล้วนะครับ”
ช่วงที่ผ่านมาชั้นสั่งซื้อพวกอุปกรณ์ทางการแพทย์กับโทมัสไป
พูดให้ชัดขึ้นก็คือช่วงเดือนที่ผ่านมาไอ้ชั้นก็จัดเตรียมพื้นที่แล้วก็อะไรหลายๆอย่างเพื่อรักษาพวกคนที่ชั้นช่วยมาได้จากยานของโกอาซ
“ชั้นฝากเรื่องหมอเพิ่มไปด้วยได้รึเปล่า”
“จะหาบุคลากรชั้นดีมาให้เลยละครับ”
สะดวกสะบายจริงๆที่มีพ่อค้าหัวใสแบบโทมัสอย่างงี้
ขออะไรก็หามาได้หมดเพราะเส้นสายเขาก็ดูจะเยอะพอตัว
แต่ดูเหมือนเขาก็เอาชื่อชั้นไปใช้ประโยชน์ได้ด้วยเหมือนกัน
ก็ใช่ว่าชั้นจะคิดมากละนะ
แล้วโทมัสก็เริ่มพูดเรื่องใหม่
“แล้วท่านเคานต์จะไปเมืองหลวงเมื่อไหร่เหรอครับ”
“คิดว่าจะไปก่อนบรรลุนิติภาวะละมั้งน่าจะเป็นปีหน้า”
ในโลกนี้กว่าจะนับว่าบรรลุนิติภาวะก็ปาเข้าไปอายุ 50 ยิ่งเป็นพวกขุนนางเรื่องมันก็ยิ่งมากพิธีเข้าไปอีก
นอกจากจะต้องไปฝึกพิธีรีตรองที่เมืองหลวงเป็นวัน
ยังจะมีกฏที่ต้องไปเข้าโรงเรียนทหารที่จักรวรรดิสนับสนุนอีก
น่ารำคาญสุดๆ
ทั้งๆที่คิดว่าจะได้ทำเรื่องเลวๆให้สมกับเป้าหมายที่จะเป็นจอมวายร้ายได้แล้ว แต่กลับต้องพักไว้ก่อนอีกยาวซะได้
“ผมจะไปงานบรรลุนิติภาวะของท่านเคานต์แน่ๆครับแล้วก็จะไม่ลืมเตรียมเจ้าขนมสีเหลือง ไปให้ด้วยนะครับ”
“ชั้นละเกลียดพ่อค้าหัวใสแบบแกจริงๆเลย”
ชั้นละชอบพวกที่พยายามจะประจบชั้นจริงๆ
***
โรงงานผลิตอาวุธที่ 7 นั้นตั้งอยู่บนดาวที่เคยเป็นแหล่งทรัพยากร
ตอนที่ทรัพยากรโดนถลุงไปจนหมดก็โดนปรับสภาพดาวเพื่อเอามาตั้งโรงงานแทน
ถึงส่วนใหญ่จะผลิตอาวุธเป็นหลักแต่ก็ยังมีการทำอะไรหลายๆอย่างนอกจากนั้นด้วย
การวิจัยอาวุธจากต่างแดนก็เป็นหนึ่งในนั้น
นิอัสนั้นกำลังใจเต็มร้อยมากเพราะเธอเพิ่งจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าช่างเทคนิคเมื่อไม่นานมานี้จากการที่เธอได้เข้าซื้อเรือโจรสลัดที่ตระกูลบลันฟิลด์กู้เก็บมา
“สุดยอดไปเลยนะถ้าไม่บอกนี่แทบไม่เชื่อเลยนะว่ายานพวกนี้เป็นยานโจรสลัด ถึงจะไม่ใช่ยานทางการทหารก็เถอะ แต่จะติดก็ที่พวกโจรสลัดนี่งานอดิเรกแย่จริงๆ มารีโมเดลยานจนมีสภาพแบบนี้”
พวกคนงานของเธอก็ลงความเห็นเช่นเดียวกันหลังจากตรวจสภาพของยานที่ซื้อมา
“เปลี่ยนจนรูปร่างมันฉูดฉาดแบบนี้เพื่ออะไรก็ไม่รู้ ถึงจะดีที่เราได้แหล่งวัตถุดิบมาเยอะก็เถอะ”
นิอัสถอนหายใจ
“แต่เพราะไอ้ชั้นก็หน้ามืดเหมาซื้อมาหมดจนทำเอาเงินแทบจะติดตัวแดงแบบนี้ เมื่อไหร่เขาจะออเดอร์ยานอีกเยอะๆกันละเนี้ย”
นิอัสที่อยากให้เลียมซื้อยานเพิ่มอีกเยอะๆก็ได้แต่คิดว่าจะใส่สีไหนเขาถึงจะยอมซื้อ…
สภาพแบบนั้นจึงทำให้เหล่าลูกน้องหลุดขำ
“ยังจะคิดว่าเขาจะชอบสีอะไรอยู่อีกงั้นเหรอครับ”
“อะไรเล่า แล้วพวกนายขำเรื่องอะไรกันเนี้ย”
“นั่นสินะครับเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แต่ว่าก็อยากได้คนกระเป๋าหนักมาช่วยซื้อจริงๆละนะครับ”
โรงงานผลิตอาวุธที่เจ็ดนั้นมีทุนไม่เยอะเมื่อเทียบกับที่อื่นเพราะพวกเขามักจะแพ้ในงานโชว์สินค้าที่จักรวรรดิจัดขึ้นบ่อยครั้งทำให้ไม่มีออเดอร์เข้ามามาก
แต่ที่พวกเขาตัดสินใจซื้ออาวุธ วัตถุดิบที่เลียมได้มานั้นก็มีเหตุผลอยู่
“ครั้งหน้าพวกเราต้องไม่แพ้แน่ ถ้าเกิดว่าเราผลิตยานรบรุ่นใหม่ออกมาได้ละก็เราก็มีหนทางชนะแน่นอน”
“ไอ้ของแบบนั้นใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆนะครับ”
นิอัสที่กำลังใจเต็มเปี่ยมก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานของเธอต่อท่ามกลางสายตาอันอบอุ่นของเหล่าลูกน้องของเธอ
***
เวลาผ่านไปก็เกือบปี ชั้นก็มาถึงเมืองหลวงเพื่อเข้าพิธีมอบรางวัล
ก็เคยได้ยินมาว่าดาวที่เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงมันสุดยอด แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
เพราะอะไรนะเหรอ ก่อนอื่นก็ลองจินตนาการถึงมีอะไรสักอย่างมาครอบโลกไว้
แล้วไอ้อะไรสักอย่างนั้นก็คือกำแพงเหล็ก
ดูเหมือนว่ากำแพงนี้มันจะเป็นระบบดูแลดาวทั้งดวง
มันสามารถควบคุมได้หลากหลายอย่างยันถึงสภาพอากาศแล้วยังทำหน้าที่เป็นกำแพงป้องกันดาวได้อีกด้วย
ตอนเห็นครั้งแรกก็คิดเลยว่าไอ้คนที่คิดแล้วสร้างอะไรแบบนี้มันต้องเป็นพวกหลุดโลกแน่ๆ
จากสถานีอวกาศเดินทางลงมาถึงพื้นดาวได้ด้วยลิฟท์อวกาศ พอมาถึงก็พบกับป่าคอนกรีต-ไม่สิมันไม่น่าจะสร้างด้วยซีเมนสักหน่อยเอาเป็นว่าเป็นไอ้พวกตึกทีเทาๆตั้งเต็มไปหมดละกัน
ถ้าจะให้พูดง่ายๆก็เป็นเหมือนเมืองจักรกล
ตึกระฟ้าตั้งเต็มไปหมดสมกับที่มีประชากรประมาณร้อยล้านล้านละนะ
ก็ไม่แปลกที่คนจะมองว่าเมืองแบบนี้มันสุดยอดละนะ
แต่ถ้ามีคนถามว่าอยากจะมาอาศัยอยู่ที่นี้ไหมชั้นก็ตอบได้ทันทีว่าไม่แน่นอน
พอถึงวันงาน ก็มีคู่สามี ภรรยา 2 คู่เข้ามาทักชั้น
รูปลักษณ์ภายนอกทั้งกลุ่มถ้าเทียบกับชาติที่แล้วก็ดูไม่ต่างกับคนอายุ 20 เลยแม้แต่น้อย
ไอ้ชั้นก็กำลังยุ่งกับไอ้ชุดพิธีการที่ต้องใส่อยู่ที่ห้องรับรอง ก็ค่อนข้างหงุดหงิดที่โดนบุกรุกกระทันหันแบบนี้นิดหน่อย
ชายคนหนึ่งในกลุ่มก็ยิ้มให้ชั้นพลางทัก
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเลียม”
“..แกเป็นใคร”
สิ้นคำพูดของชั้นก็เกิดบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นทันที
ชายที่ยิ้มให้ก็พยายามฟืนยิ้มเหยเกนั้นแล้วพูดต่อ
“อะ-อา คงไม่แปลกหรอกเพราะเราไม่ได้เจอหน้ากันนานมากแล้วละนะหรือว่าแค่ชั้นแก่ขึ้นจนจำไม่ได้แทนละสิเนี้ย”
“เอาจริงๆนะ พวกแกเป็นใคร”
คงเป็นไอ้พวกนั้นสินะ พวกคนที่มาแอบอ้างว่าเป็นญาติสนิทเอาไอ้ตอนที่มีคนถูกหวยแบบนั้นนะ ก็ได้แต่ได้ยินมาไม่เคยถูกหวยหรอก
อีดอย่างในชาติที่แล้วพวกญาติทั้งหมดไม่หันมาเลชั้นเลยสักคน
พอเขาดวงซวยคนพวกนี้มันก็หนีเพราะไม่อยากซวยตาม แต่พอเขาดวงดีขึ้นมาหน่อยก็เข้ามารุมตอมเป็นแมงเม่า
ไอ้กลุ่มคนตรงหน้าก็คงเหมือนกันสินะ
แต่ก็มีเศษเสี้ยวที่รู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นหน้าพวกคนตรงหน้ามาก่อนเหมือนกัน
พวกคนทั้งสี่นั้นได้แต่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกขณะที่ชั้นกำลังครุ่นคิด
แล้วไอ้ชั้นก็หันไปพึ่งที่พึ่งสุดท้ายอย่างอามากิ
“อามากิรู้จักคนพวกนี้รึเปล่า”
“นายท่าน ชายหญิงตรงหน้าคือพ่อแม่ของท่านค่ะส่วนด้านหลังคือทางปู่กับยา พวกเขาเป็นครอบครัวของท่านค่ะ”
–ครอบครัว พอมาคิดๆดูแล้วก็มีจริงด้วยสินะไอ้พวกแบบนั้น
ไอ้พวกน่าสมเพชที่หลงระเริงไปกับอภิสิทธิ์ชนของตัวเอง–งั้นก็เป็นพวกมันสินะที่ทิ้งหนี้มาให้ชั้นนะ
แค่คิดก็เริ่มแค้นแล้ว
พ่อ–คลิฟกระแอมขึ้นแล้วพูดต่อ
“ในที่สุดก็จำกันได้แล้วสินะ ถึงจะไม่ได้เจอหน้ากัน 40กว่าปีแต่ถึงกับจำหน้าครอบครัวตัเองไม่ได้คนเป็นพ่ออย่างชั้นนี่ช็อคเลยละนะ”
ไม่สิแกก็ไม่เคยทำอะไรที่คนเป็นพ่อควรจะทำเลยสักนิดเดียวเลยรึไง
แม่ – ดาร์ซี่ก็เริ่มหัวเราะ
“แหมเลียมเลิกล้อเล่นกันแบบนี้เถอะ พูดถึงเรื่องล้อเล่นนี่ลูกยังใช้แอนดรอยด์ที่แม่ซื้อให้ลูกมาตลอดจนถึงตอนนี้เลยเหรอ ไม่รู้เหรอว่าไม่ควรเอาของพรรนั้นมาที่พระราชวังนะ”
…ยัยป้านี่พูดว่าอะไรนะ
แล้วไอ้พวกที่เหมือนจะเป็นปู่กับย่าชั้นก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยกับคำพูดเมื่อครู่
“ถึงจะเป็นครั้งแรกที่เจอกันแต่ต้องมาเห็นหลายชายตัวเองเอาแอนดรอยด์เข้ามาที่วังแบบนี้ก็รู้สึกเศร้าใจไม่น้อยเลยนะ แกก็เป็นผู้ใหญ่แล้วของเล่นแบบนั้นก็ควรจะโยนทิ้งไปได้แล้วนะ”
“ใช่แล้วไม่งั้นชื่อเสียงตระกูลบลันฟิลด์ได้เสื่อมเสียกันหมดพอดี”
พอมีพวกปู่ย่าที่สภาพไม่ต่างกับพวกหนุ่มสาวอายุ 20 ต้นนี้แล้วรู้สึกแปลกใช้ได้เลย
แต่สำหรับในโลกนี้ก็ถือเป็นเรื่องปรกติ
เพราะมันมีวิทยาการที่ชลอการแก่ตัว ทำให้พวกคนในโลกนี้แก่ช้าแล้วยังคงรูปร่างวัยเยาวน์ไว้ได้แม้จะโตไปจนถึงวัยชรา
อามากิก็ก้มหัวแล้วพยายามจะออกจากห้อง
“ชั้นจะไปรอที่ห้องด้านข้างนะคะ”
“ไม่ต้องไปไหนอยู่แบบนี้แหละ แล้วพวกแกมีธุระอะไร”
พวกกลุ่มคนตรงหน้าก็เริ่มบอกเป้าหมายของพวกเขาโดยไม่สนว่าชั้นจะหงุดหงิดแค่ไหน
“พวกเราได้ยินมาว่าลูกจะได้เงินก้อนโตและก็อำนาจจากพวกเหรียญที่ลูกจะได้อีกด้วยใช่ไหมละ พอดีพวกเรามีปัญหาเรื่องหนี้ที่เมืองหลวงนี่เหมือนกัน…”
“ชีวิตในเมืองหลวงมันต้องใช้เงินค่อนข้างเยอะนะ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ลูกเพิ่มเงินที่ส่งมาให้ประจำสักหน่อยนะ”
หรือก็คืออยู่เมืองหลวงแล้วใช้เงินเยอะเลยอยากได้เงินเพิ่มว่างั้น
เหมือนกับพวกเด็กมาขอให้พ่อแม่ตัวเองเพิ่มเงินค่าขนมยังไงอย่างงั้นเลยนะ
ถึงสถานะคนให้มันจะกลับกันก็เถอะ
“ปู่เองก็ไปติดหนี้พวกพ่อค้าอยู่พอตัวก็เลยว่าจะฝากให้จัดการเรื่องหนี้ตรงนี้ให้หน่อย”
“ย่าจะดีใจมากเลยนะถ้ามีหลานดีๆจะมาช่วยแก้ปํญหาให้นะ”
พวกปู่ย่าก็พูดเสริมแบบเอาแต่ได้
ไอ้พวกแบบนี้สินะที่เป็นต้นตอให้ดาวของชั้นตกต่ำแบบนั้น ชั้นไม่มีอะไรให้พวกแกนอกจากความแค้นหรอก
เงินที่หามามันเป็นของ ฉัน
ดาวนั่นก็เป็นของ ฉัน
ไม่มีสักเสี้ยวหนึ่งที่เป็นของพวกแก
“อามากิพอเรากลับดาวของเราเมื่อไหร่ ตัดพวกมันทิ้งออกจากตระกูลให้หมด”
“แต่เลียมค่ะ คนพวกนี้เป็นครอบครัวของคุณนะคะ”
“ชั้นไม่สน“
แรกเริ่มคนที่ชั้นนับว่าเป็นพ่อแม่จริงๆ มีแค่พ่อแม่ของชั้นในชาติก่อนเท่านั้น
ไอ้พวกตรงหน้ามันก็แค่คนแปลกหน้า
พวกมันคิดผิดเองที่จะมาหวังเพิ่งสายสัมพันธ์ของครอบครัวจากชั้น
-เพราะในโลกนี้ชั้นเป็นวายร้ายยังไงละ
ต่อหน้าเหล่าพยานหรือคนใช้ของวังหลวงที่อยู่ในห้องรับรองชั้นก็ได้ประกาศตัดคนพวกนี้ออกจากตระกูลแล้วให้เอาตัวพวกมันออกไป
แล้วพอบรรยยากาศเริ่มมาคุ ชั้นก็หันไปหาอามากิ
“แล้วหนี้ของพวกมันชั้นต้องจ่ายด้วยไหม”
“ชั้นคิดว่านายท่านไม่จำเป็นต้องจ่ายค่ะ แค่บางทีเราอาจจะโดนระรานจากพวกพ่อค้ากับพวกถวงหนี้เอาได้นะคะ”
“…น่ารำคาญสุดๆ”
พวกคนใช้ต่างสะดุ้งหลังชั้นสิ้นเสียง
แล้วอามากิก็เสนอทางออก
“ชั้นคิดว่าเราควรเริ่มจากเอาเงินเงินที่จะส่งให้พวกเขารายปีมาจ่ายแล้วค่อยตัดสมัพันธ์กันตรงนั้นน่าจะไม่ทำให้กระทบต่อชื่อเสียงของนายท่านมากที่สุดค่ะ”
ถึงจะอยากตัดสัมพันธ์กับคนพวกนั้นให้เร็วที่สุดแต่ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
“เริ่มจัดการทันที”
***
ภายนอกที่จัดงาน
มีชายผู้หนึ่งกำลังเดินอย่างเหนื่อยหอบโดยมีแขนข้างหนึ่งดันกำแพงเพื่อพยุงตัวของเขา
เขาไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นผู้นำทางนั่นเอง
“ทั้งหมดนี่เป็นเพราะเขา มันเป็นความผิดของเจ้าเลียมนั่นคนเดียวเลยแท้ๆ”
เสียงเขาอ่อนแรงและรวยริน
เป็นเพราะเหตุการณ์ที่เขาใช้พลังส่วนใหญ่ไปกับโกอาซทำให้เขาต้องหนีไปที่มิติอื่น
เขาในตอนนี้นั้นต้องทนทุกข์กับคำขอบคุณของเลียมอย่างต่อเนื่องและยังจะรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆเมื่อวันเวลาผ่านไป
“เขาจัดการโกอาซไปได้ยังไงกันครับเนี้ย ทั้งๆที่กระผมมั่นใจว่าทำให้เจ้าโกอาซนั่นฟันไม่เข้าแล้วแท้ๆ แล้วไอ้ดาบนั่นอีกเขาไปเจอมันได้ยังไงกัน”
ทั้งๆที่เลียมไม่ควรจะเจอดาบเล่มนั้นในตอนนั่นแท้ๆ
และที่ผู้นำทางอยู๋ในสภาพนี้ไม่ใช่แค่เพราะเขาใช้พลังจนเหลือน้อยแต่เป็นเพราะความรู้สึกดีๆของเลียมนั้นดูดพลังอันน้อยนิดที่เขาเหลือไปอีกด้วย
“ไม่ยกโทษให้ กระผมไม่มีวันยกโทษให้เด็ดขาด”
เขากัดฟันแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องพักที่ครอบครัวของเลียมอยู่
ถึงเขาจะเดินทุลักทุเลยังไงคนใช้ที่เดินผ่านไปมาก็ไม่ได้สังเกตุเห็นผู้นำทางเลยแม้แต่น้อย
เมื่อถึงจุดหมายเขาก็พบกับคนทั้ง 4 นั่งจ้องอยู่กับเอกสารอิเล็คโทรนิค
“ทั้งหมดนี่เป็นเพราะคุณเลี้ยงเด็กนั่นไม่ดีนั่นแหละ”
“อย่ามาโทษกันนะ ทั้งหมดนี่มันไม่ใช่ความผิดชั้นสักนิดเดียว”
เอกสารที่เลียมให้อามากิจัดการแล้วส่งมานั้นไม่ได้เดี่ยวกับการที่จะเพิ่มเงินให้พวกเขาแต่เป็นการบอกว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเลียมอีกต่อไปแทน
ครอบครัวของเขานั้นไม่ได้คิดอย่างอื่นนอกจากจะเกาะชื่อเสียงของทายาทตัวเองกินแทน
พูดง่ายๆก็คือพวกเห็นแก่ตัวแบบเข้าไส้
ด้วยคนจำพวกนี้ตรงหน้าทำให้ผู้นำทางฉีกยิ้ม ทั้งๆที่ยังทรมาณ
“…กระผมน่าจะใช้เจ้าพวกนี้ได้ ก็ตั้งแต่ครั้นอดีตแล้วสินะครับอีกเรื่องพวกการแก่งแย่งชิงดีกันในครอบครัวของระบบศักดินาแบบนี้ ครอบครัวนี่เแหละครับเลียมจะเป็นจุดสิ้นสุดของคุณ”
กลุ่มควันสีดำพลันพุ่งไปปกคลุมคนทั้งสี่
ตัวผู้นำทางนั้นไม่ได้ไปเช็คดูสถานการณ์โดยรวมเลยนั่นเพราะเขามีพลังเหลือไม่พอ ทำให้เขามีทางเลือกไม่มากนักเลยต้องใช้อะไรก็ตามที่จะใช้ได้
เขาอ่อนแอลงจนถึงขนาดนั้นนั่นเอง
พลันปู่ของเลียมก็มีทีท่าฉุกคิดขึ้นมาได้
“ใช่สิก็เข้าไปใช้การเปลี่ยนผู้นำตระกูลใหม่อีกรอบก็สิ้นเรื่อง เท่านี้ไอ้สิ่งที่เลียมทำมาทั้งหมดก็จะกลายเป็นของชั้นคนนี้”
ฝั่งย่าก็ปรบมือดีใจ
“เป็นความคิดที่ดีเลย แล้วเดี๋ยวชั้นจะรีบติดต่อคนรู้จักในวังทันทีเลย”
คลิฟก็ยิ้มออกมา
“ถ้างั้นก็ต้องคิดเรื่องทายาทคนใหม่ด้วยสินะเพราะเลียมมันก็หมดประโยชน์กับเราแล้ว”
ดาร์ซี่ก็ทำหน้าบอกประมาณว่า ช่วยไม่ได้
“ก็ถ้าทำให้ได้เงินกับดาวมาก็ช่วยไม่ได้จะยอมร่วมมือด้วยก็ได้ แต่แล้วเราจะทำยังไงกับเลียมละ”
คลิฟฉีกยิ้มอย่างชั่วร้าย
“พอได้เงินมาเราก็จ้างพวกนักฆ่าพวกนั้นมาสิ พอเรื่องที่มันได้รับรางวัลเริ่มเงียบลงเราก็จะให้มันหายไปอย่างเงียบๆเหมือนกัน”
พอได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสี่ผู้นำทางก็ยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วก็หายไปจากห้อง
ทันใดนั้นที่เขาหายตัวไป
ที่มุมห้องก็มีแสงเล็กๆลอดออกไปจากทางประตู
***
อามากินั้นกำลังไปยังที่ห้องพักขณะที่เลียมเข้าพิธีมอบรางวัล
จักรวรรดินั้นค่อนข้างจะเย็นชากับเหล่าแอนดรอยด์
อามากิเข้าใจดีว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะเข้างานร่วมกับเลียมจึงจะไปรอที่ห้องพักแทน
แล้วตอนนั้นเองเธอก็เห็นอะไรแปลกๆเข้า
“แสงนั่นมัน…”
ที่ตรงนั้นมีแสงเล็กๆลอยอยู่หน้าประตู
พอเธอเดินเข้าไปใกล้แสงนั่นก็หายไป
อามากิก็ทำการสแกนห้องตรงหน้าพบกับสัญญาณชีพของคน 4 คน ด้านใน
พวกเขาคือครอบครัวของเลียมนั่นเอง
พอเธอเอามือแตะประตูก็ได้ยินเสียงที่พวกคนด้านในคุยกัน
“แล้วสาเหตุที่จะเปลี่ยนตัวหัวหน้าตระกูลจะเอาเป็นอะไรดีละ”
“ไม่เห็นต้องคิดมากก็แค่บอกไปว่าเอาแอนดรอยด์มาใช้นั้นไม่เหมาะสมกับการเป็นขุนนางของจักรวรรดิก็พอ แค่ได้ยินเข้าก็คงให้ผ่านโดยเร็วแล้ว”
“ส่วนเรื่องการจัดหานักฆ่า..”
“ส่วนเวลาที่เหมาะสมก็เป็น..”
อามากิที่ได้ยินบทสนธนานั่นก็พละตัวออกมา
ในหัวเธอมีความคิดแล่นเข้ามา
(คงจะเป็นการดีกว่าถ้าเกิดชั้นไม่อยู่ข้างกายนายท่านรึเปล่า)
ถ้าชื่อเสียงเลียมต้องเสื่อมเสียไปเพราะแค่เธออยู่ข้างกายเขาละ
อามากินั้นได้แต่รู้สึกรังเกียจตัวเองที่คิดเช่นนั้น
***
งานพิธีจัดด้านนอกวังละ
ทั้งแสงแดด ฟ้าสีคราม ช่างเป็นบรรยากาศที่เหมาะกับงานพิธีอะไรแบบนี้จริงๆ
ถึงจะเป็นของเทียมทั้งหมดก็เถอะ
ภายใต้สภาพอากาศที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ชั้นกำลังทำความเคารพต่อจักรพรรดิอยู่
ถึงตัวจักรพรรดิจะอยู๋ไกลจากจุดที่ชั้นอยู่ไปไกลจนไม่ได้ยินเสียงจากปากเลยก็เถอะ
แต่ก็ยังดีที่ทุกคำที่เขาพูดนั้นมีการฉายผ่านภาพโฮโลแกรมบนฟ้าพร้อมระบบเสียงดังกระฮึมก็เหอะ
เป็นงานที่มากพิธีจนน่าเบื่อเลยทีเดียว ถามอะไรมาไอ้ชั้นก็ตอบไปตามที่ถามเท่านั้นตลอดจนเสร็จที่เขาติดเหรียญตราให้ แล้วพวกขุนนางนี่ก็เยอะไปไหมมองไปทางไหนก็เจอ
เยอะจนคิดว่ามีมากเกินไปไหมด้วยซ้ำ
แล้วไอ้พิธีที่ดำเนินอย่างเคร่งขรึมก็จบที่การกล่าวคำขอบคุณจากตัวองค์จักรพรรดิ
แล้วก็มาถึงส่วนที่ชั้นรอคอยก็คือไอ้งานปาร์ตี้ที่เหมือนจะจัดขึ้นทุกวันนี้แหละ
พอถามไปว่ามีจัดงานปาร์ตี้อะไรพวกนี้ไหมก็ได้คำตอบประมาณว่ามีกันทุกวันนั่นแหละ
แล้วด้วยไอ้ชั้นทีเ่ป็นถึงจอมวายร้าย นี่ไม่ใช่โอกาศเหมาะเลยรึไงกันที่จะได้ไปเที่ยวเสเพลให้เต็มที่นะ
เพราะแค่พวกเจ้าภาพเชิญก็ไม่ต้องจ่ายค่าเข้าเลยด้วย
ไอ้ชั้นก็ใช้เวลาในเมืองหลวงไปกับการเที่ยวเล่นแบบนั้นส่วนอามากิก็ดูเหมือนจะยุ่งกับเรื่องอะไรบางอย่างจนมาด้วยไม่ได้สักครั้ง
พอถามว่าทำอะไรก็ไม่เคยตอบมาตรงๆสักครั้ง เธอได้แต่บอกปัดประมาณว่า “ไม่ต้องห่วงชั้นหรอกค่ะ นายท่านเชิญไปสนุกให้เต็มที่เถอะค่ะ” ตลอด
เอาเถอะถ้าเธอพูดว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรนั่นแหละมั้ง ชั้นก็คิดแบบนั้นพลางไปเที่ยวงานปาร์ตี้เหมือนเดิม