[นิยายแปล] ~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย ~ ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว - ตอนที่ 43 - 020:การรบครั้งแรก⑥หลังงานเลี้ยงฉลอง
- Home
- All Mangas
- [นิยายแปล] ~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย ~ ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
- ตอนที่ 43 - 020:การรบครั้งแรก⑥หลังงานเลี้ยงฉลอง
020:การรบครั้งแรก⑥หลังงานเลี้ยงฉลอง
เมื่อถึงเวลาแกรนด์ก็ตัดสินใจจะจงรักภักดีต่อลูน่าแล้วก็มั่นใจ
ดยุคเวลซัคหรือเชื้อสายที่เชื่อมโยงกับตัวเธอในชาติก่อนนั่นเอง
ไม่ว่าพระเจ้าและมนุษย์จะรักกันเตัวเป็นเกลียว
ก็ไม่สามารถมีบุตรด้วยกันได้แต่ตัวตนของเธอที่ก้าวเข้าสู่ครึ่งเทพก็ได้ให้กำเนิดชาติตระกูลกึ่งเทพขึ้นมา
“พระเจ้า” หรือสิ่งที่มนุษย์ “คาดเดา” นั้นเป็นแค่พลังงานอีเทอร์ที่อยู่เป็นพลังงานศักดิ์สิทธิ์ของจักรวาล
สิ่งที่มนุษย์บูชาและเรียกมันว่า “พระเจ้า” ไม่มีอะไรนอกจากเป็นภาชนะร่างกายที่ได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของจักรวาลใบนี้เข้าไปนั่นเอง
มนุษย์นั้นสามารถมีลูกได้
แต่ว่ามันก็เป็นข้อยกเว้นที่ว่ามนุษย์ที่เป็น “ครึ่งเทพ” ที่รับพลังของเทพไปแล้วร่างกายไม่แตกสลาย ก็สามารถมีลูกได้เหมือนกัน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหนนับตั้งแต่ฉันตายไปในชาติก่อน แต่มีข้อหนึ่งที่ฉันสังเกตเห็นได้คือสายเลือดของตระกูลนี้รู้จักวิชาสำนักมังกรซากุระ แม้จะมีเพียงน้อยนิด แต่ก็ชัดเจนแล้ว่าสืบสายเลือด ของ “เขา”
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม……..
「ไม่สิ มันไม่มีทางเป็นไปได้」
ลูน่าพึมพำขณะเข้าไปในเต็นท์แห่งหนึ่งหน้ากำแพงซิเรียสซึ่งมีเปลอยู่
ในชีวิตก่อนหน้านั้นไม่มีแม้แต่ญาติพี่น้องเข้ามาเยี่ยมเยือนฉันตอนตายเลยนะ
ดังนั้นฉันก็คิดว่าลูกหลานของฉันก็ไม่น่าได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่จนมีชีวิตรอดในโลกแห่งนั้นได้หรอก
แต่บางทีมันอาจจะไม่ใช่
อาจมีเหตุผลบางอย่างที่พวกเขาไม่สามารถมาหาฉันได้ก็ได้ หรือฉันไม่ได้สนใจเลยว่ามีคนเข้ามา
แต่ว่าดูเหมือนสายเลือดของฉันจะถูกสืบทอดไปสู่คนรุ่นหลัง แม้ว่าจะอยู่ภายใต้ชื่อสำนักวิชาของฉัน
ถือเป็นเรื่องราวที่ดี
แกรนด์ที่คุกเข่าอยู่ในงานเลี้ยงก็บอกลูน่าว่าทำไมสำนักวิชามังกรซากุระถึงได้หายไป
เรื่องราวนั้นเรียบง่าย
ในการจะเชี่ยวชาญวิชาสำนักมังกรซากุระจำเป็นต้องฝึกฝนพลังปราณที่เหนือมนุษย์
กล่าวง่ายๆก็คือมีแค่ผู้คิดค้นวิชาที่สามารถก้าวข้ามมันได้ แตลูกศิษย์ในชาติก่อนของฉันทำไม่ได้
ดังนั้นก็เลยไม่มีผู้สืบทอดวิชาของฉันอยู่เลย
ยกตัวอย่างเช่นวิชาบางอย่าง เหมือนเหตุการณ์สังหารหมู่ของลูน่าในครั้งนี้ ซึ่งเป็นพลังที่สามารถใช้ได้หลังจากตัวตนเข้าสู่ดินแดนของ “เทพ” เป็นมนุษย์ “ครึ่งเทพ” หากมีแค่ฉันที่ใช้ได้ มันจะสืบทอดได้ยังไง
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าวิชาของฉันมันหายไปจากประวัติศาสตร์
และปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการหายไปของฉัน คือ “คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์”
คริสตจักรนั้นบูชา『เอย์นเฮริยาร์』ใครก็ตามที่บูชาเทพตนอื่น ถือเป็นเทพชั่วร้าย
คริตสจักรสอนไว้ว่าใครก็ตามที่บูชาเทพผู้ชั่วร้ายจะต้องถูกทรมานและทำให้มันตกนรกทั้งเป็น และพวกนั้นก็จะโดนยึดทรัพย์สินทั้งหมดและมอบแก่คริสตจักร
ทรัพย์สินของเทพผู้ชั่วร้ายนั้นแปดเปื้อนไปด้วยความชั่วช้า และหากเป็นเช่นนั้นจะต้องยืมพลังของเทพเอย์นเฮริยาร์มาสู่โลกใบนี้ ไม่งั้นโลกจะถึงกาลอวสาน
และผู้ที่ก่อตั้งวิชาสำนักมังกรซากุระเป็นชายปริศนานั้นได้เข้าถึงพลังศักดิ์สิทธิ์และจัดการเทพธิดาอลิสเทียด้วยพลังปราณและนำพลังของเทพเข้าตัวเอง
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือผู้ใช้วิชาสำนักมังกรซากุระจะถือเป็น『ผู้ติดตามของเทพผู้ชั่วร้าย』
ดังนั้นเหล่าลูกหลานที่ไม่อยากถูกตามล่าและล้มหายตายจากจึงได้ผนึกเรื่องเหล่านี้ไว้เป็นความลับ
(……กล่าวอีกนัยหนึ่งการเผยแพร่พลังปราณไปทั่วโลกก่อนอื่นต้องบดขยี้ศาสนาจอมปลอมนั่นที่เรียกว่าคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์และลบมันออกจากโลกแห่งนี้ ซึ่งถือเป็นศึกใหญ่)
บดขยี้ศาสนามันง่ายที่จะพูด
แต่ว่าการจะทำให้มันหายจริงๆน่ะโครตหิน
ตัวอย่างเช่น แม้ว่าจะเป็นกลุ่มเล็กๆที่มีผู้ศรัทธาเพียงพันคน แต่ผู้ศรัทธาทุกคนก็จะจ้องจะฆ่าผู้ที่นับถือเทพองค์อื่นอย่างแน่นอน
ทั้งกลางวันและกลางคืน พวกนั้นต้องพยายามหาทางฆ่าผู้ที่ศรัทธาเทพองค์อื่นตลอด 24 ชั่วโมง
ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าพวกเขาจะสามารถผ่านพ้นและโค่นล้มผู้นำลัทธิได้หรือไม่ แต่พวกนั้นก็จะซ่อนตัวอยู่ใต้ดินและคิดหาวิธีก่อการกบฏขึ้นมาในภายหลัง
พวกนั้นไม่มีความลังเลที่จะละเมิดกฏหมายหรือจริยธรรม
บางครั้งอาจจะพุ่งเข้ามาแทงกลางถนนบ้างก็ลักพาตัว บ้างก็ฆ่าคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทของพวกเขา บางทีอาจจะจับเป็นตัวประกันและเรียกค่าไถ่ บางครั้งมันก็อาจจะจุดไฟเผาบ้านและโยนซากหมา แมว เข้าไปในบ้าน
โดยธรรมชาติเพราะพวกนั้นมันงมงาย
ไม่ว่าจะฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปมากมายเท่าไหร่หรือจะปล้นบ้านใครเพียงแค่อ้างว่าศรัทธาเทพองค์ที่ทุกคนนับถือ ทุกคนก็จะไม่สนใจ
นี่มันแย่ยิ่งกว่าพวกโจรซะอีก
เนื่องจากเพราะเผยแพร่คำสอนของเทพที่โลกใบนี้ศรัทธาจึงได้ฆ่าเหล่าผู้คนที่ไม่คิดบริจาคและอ้างว่าพวกนั้นนับถือเทพชั่วร้าย
หากมองจากภายนอก พระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่เอามาอ้างได้ตามใจชอบ แต่เป็นเพียงแค่พวกงี่เง่าที่ถูกล้างสมองและกลายเป็นหุ่นเชิดที่ไม่ยอมรับฟังเหตุผล แ
ผู้ติดตามลัทธิเหล่านี้มักจะเป็นปีศาจในคราบมนุษย์ดังนั้นจำเป็นต้องกำจัดให้สิ้นซาก
ศาสนาและศรัทธาเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
การนับถือเทพเจ้าคือความศรัทธา และศาสนาที่อ้างว่าถึงเทพจะทำตัวเองเป็นผู้นำลัทธิเป็นนักบวชและล้างสมองพวกคนโง่เขลา และปฏิบัติต่อพวกนั้นเหมือนกับเบี้ย
แท้จริงแล้วศาสนาก็เป็นแค่ตัวเชื่อม
ลูน่าเต็มใจที่จะสู้กับอาณาจักรแต่ไม่อยากไปยุ่งวุ่นวายกับพวกคริสตจักรสักเท่าไหร่เพราะมันมีผู้ศรัทธาอยู่ทั่วโลก
(เฮ้อ พอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ฉันก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องทำยังไง……)
ในขณะที่จิตใจของเธอกำลังสับสนเธอก็หลับตาลงนอนบนเปล
――วันนี้ฉันเองก็ฝันเช่นกัน
หญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนพื้นที่อันว่างเปล่า
ฉันมองไปรอบๆแต่วันนี้ไม่เห็นอลิสเทีย
ฉันตระหนักได้ว่าตัวฉันเองกับตัวอลิสเทียเหมือนกันจนแทบจะแยกไม่ออกแล้ว
กระจกมือปรากฏขึ้นบนพื้นที่ว่างและส่องมาที่หน้าของฉัน
เงาสะท้อนในกระจกคือใบหน้าของลูน่า ซึ่งเติบโตกว่าวัย และยังเป็นใบหน้าของเทพธิดาอลิสเทีย
วันรุ่งขึ้นลูน่าลุกขึ้นและเริ่มแต่งตัว
ฉันไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน ดังนั้นเลยใส่ชุดเบลเซอร์สีขาวแต่ว่าคงไม่มีเหตุให้ต้องสู้เลยเอา เกราะมือเก็บไว้ข้างกระเป๋า
กระเป๋าเป้สะพายหลังที่เต็มไปด้วยกระสุนลูกปรายและกระสุนเจาะเกราะนั้นเบากว่าที่คิด และ ฉันก็คิดจะซื้อของที่ระลึกใส่ไว้ในกระเป๋า
「――ได้อยู่กันแบบตัวต่อตัวแล้วนะคะพี่สาว♡」
「เอ่อ มันเดินลำบากนะอลิซ่าอย่าไขว้แขนสิ」
จากนั้นฉันก็เดินไปรอบๆเมืองกับอลิซ่า
คนในทีมอาจจะตื่นประมาณเที่ยงเพราะเมาหัวราน้ำ แต่อลิซ่าเองก็ไม่ได้ดื่มเหมือนกับฉันดังนั้นพวกเราเลยเข้าเมืองซิเรียส
หากเป็นเด็กสาวสองคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะขณะที่เดินอยู่ ก็จะมีเหล่าผู้ใหญ่ทักทายและถามถึงพ่อแม่ของพวกเรา แต่ว่าวันนี้ทางสะดวก
แม้แต่ในกองทัพเวลซัค ก็มีคนที่ดื่มไม่ได้เช่นกัน พวกเขาไม่มีอาการเมาแต่อย่างใด และเมื่อเห็นพวกฉันเดินเล่นในถนนสายหลัก ก็เห็นพวกเขาเลยข้อร้องให้มาช่วยกันหน่อย
ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปร้านขายของที่ระลึก อลิซ่ามองมาทางฉันขณะที่จะหาของที่ระลึกให้ฉันกับท่านแม่ของเธอและลูน่าเองก็อยากจะหาให้ชิโระที่รออยู่ที่บ้านด้วย
หลังจากลังเลอยู่นานอลิซ่าก็ซื้อสร้อยข้อมือเงิน และลูน่าก็ซื้อ『ขนมปังยอดฮิตแห่งเมืองซิเรียส』จากนั้นพวกเราจึงไปพักกันที่ร้านคาเฟ่
พวกเราสองคนต่างมีความสุขที่ได้ใช้เวลาด้วยกัน
「เอ่อทำไมถึงซื้อดาบไม้กับตุ๊กตามังกรเป็นของที่ระลึกล่ะคะ?」
「อืม ก็มีใครบางคนชอบอะไรแบบนี้ล่ะสิ」
「แต่ว่าได้อะไรแบบนี้ไปพวกเธอก็คงไม่ดีใจหรอกนะคะ」
「อืม ฉันรู้ว่ามันแปลกๆ แต่นั่นก็แค่ในมุมมองของพวกเราไม่ใช่เหรอ พวกเราซื้อของฝากไปก็ควรจะคิดถึงมุมผู้รับไหม?」
「พี่สาวนี่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่จังเลยค่ะ」
พวกเรานั้นดื่มชา แต่ว่าชาเหล่านี้ก็เทียบกับฝีมือของที่บ้านเราไม่ได้เลย แต่การได้ดื่มกับเพื่อนก็นับว่าสนุกไปอีกอย่าง
นั่นแหละคือประสบการณ์ร้านอาหารริมทาง อาหารในงานเลี้ยงนั้นห่วยแตกมากเมื่อเทียบกับการมากินที่ร้านอาหารข้างทาง แม้มันจะไม่ได้ดูหรูหรา แต่มันก็อร่อย บรรยากาศเองก็เปรียบเสมือนเครื่องเทศอย่างหนึ่ง
「นี่พี่สาวคะ?」
「มีอะไรงั้นเหรอ?」
อลิซ่ามองมาที่ผมสีเงินของฉันขณะที่เธอกำลังก้มกราบที่โต๊ะ
「พี่สาวจะแต่งงานกับขุนนางในอนาคตงั้นเหรอคะ?」
「ก็ฉันเกิดมาในตระกูลขุนนาง และไม่รู้ว่าฉันจะต้องแต่งงานเข้าบ้านใครก็ไม่รู้ แม้ว่าฉันจะไม่ชอบนักที่ไม่สามารถเลือกคนที่รักได้ตัวเอง แต่ฉันนั้นรักครอบครัวและความอยู่รอดของตัวเองมากที่สุด」
「เอ๊ะ ถ้าแบบนั้นก็รับฉันเป็นเจ้าสาวสิคะ ฉันน่ะอยากเป็นภรรยาของพี่สาว!」
「แต่อลิซ่าเป็นผู้หญิงเหมือนกันกับฉันนี่?」
「แต่ฉันทนไม่ไหวหรอกนะที่พี่สาวต้องถูกมัดมือชกกับชายแปลกหน้า!」
「เอ่อน้องสาวของฉันทำไมถึงมีความคิดคับแคบแบบนี้ ชีวิตมันช่างน่าเศร้า」
เป็นแค่การหยอกล้อกันน่ะ
อลิซ่าลุกขึ้นจากโต๊ะของเธอและมานั่งข้างๆฉัน
「พี่สาวววว♡」
「น่าๆฉันจะเล่นกับเธอเมื่อไหร่ก็ได้」
「ก็แหมช่วงนี้พี่สาวทำตัวห่างเหินเกินไปนี่คะ♡」
เธอยิ้มอย่างมีความสุขในขณะกอดแขนฉัน
ลูน่าลูบผมน้องสาวของเธอ และเธอก็ยิ้มอย่างเขินอาย「อ๊าาาาา พี่คะ♡」
อืมเพราะแบบนั้นเอง
หลังจากสนุกกับตามลำพังประสาสาวๆ พวกเราก็มาถึงข้างนอกเมืองซึ่งพวกทหารเตรียมพร้อมจะออกเดินทาง และลูน่าก็บอกลาท่านแกรนด์
「ถ้างั้นไว้จะกลับมาเยี่ยมนะคะ」
「อ่า ฝากบอกซาราเอล่าด้วยว่าให้กลับมาหาข้าบ้าง ข้าคิดถึง」
「ค่ะ」
ต่อหน้าผู้บัญชาการทั้งสอง
คำสาบานนายบ่าวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่สามารถให้ใครรับรู้ได้ ทั้งสองฝ่ายจึงต้องสนทนากันด้วยตำแหน่งของตนเอง
「ถ้างั้นถึงเวลาบอกลาแล้ว ข้าขออฐิษฐานว่าให้เจ้าปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ สุขภาพแข็งแรง」
「ค่ะ ท่านปู่เองก็ด้วย」(TN: จริงๆถ้านับตามลำดับญาติไทย แกรนด์เป็นตาของลูน่า แต่ผมขอเรียกว่าปู่(เพราะความชอบส่วนตัว) )
「หะ!!」
จากนั้นนายพลชราก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้ม
ลูน่าอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นสงสัยเพราะว่าท่านปู่อยากให้เรียกขนาดนั้นเลยเหรอ
「เพราะงั้น」
ลูน่าโค้งคำนับให้กับท่านปู่ของเธออีกครั้ง
「หน่วยรบกองกำลังพิทักษ์นางฟ้า พวกเราจะเดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ!」
「「「เยส มาย ลอร์ด!」」」
ลูน่าโล่งใจดูเหมือนทุกคนจะหายเมาค้างแล้ว
กองกำลังทั้งห้าสิบนายบินขึ้นไปเหนือความสูงหนึ่งร้อยเมตร
การเดินทางเป็นเส้นตรงไปยังจุดหมายและความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้ ใช้เวลาไม่นานกลับไปถึงคฤหาสน์มาร์ควิส