[นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru - ตอนที่ 8 บทที่ 1 ตอนที่ 8 ยุคที่สาบสูญ
- Home
- All Mangas
- [นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru
- ตอนที่ 8 บทที่ 1 ตอนที่ 8 ยุคที่สาบสูญ
“เหรียญที่สาบสูญงั้นหรอ..”
จากระเบียงของ ‘อารีอาน่า พาเลจ โฮเทล’ ซึ่งเดิมทีเคยเป็นที่ดินของขุนนางคนหนึ่ง ผมมองลงไปที่เมืองที่จมอยู่ในความมืดของราตรี ขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงคำพูดของหัวหน้ากิลด์พูดก่อนหน้านี้ (แม้ว่าสำหรับองค์หญิงแวมไพร์อย่างผม มันดูไม่ต่างอะไรจากกลางวันก็ตาม)
ย้อนกลับไป เพราะอะไรซักอย่าง ภายในห้องของหัวหน้ากิลด์มีแต่ความโกลาหล คอลลาร์ดไม่ได้สติซะที กัลด์ขังตัวเองจากโลกภายนอกและทำหน้าหยั่งกับคนเป็นพ่อที่พึ่งรู้ว่าลูกสาวตัวเองแอบไปมีแฟน และเพราะว่ายามทั้งสองยังคงดื้อดึงจนความอดทนของผมหมด ผมก็เลยหลุดปากตอบออกไปว่า “ทั้งคู่กำลังคบคนอื่นอยู่” ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาใจสลายแล้วร้องไห้โฮ เพื่อที่จะให้ทุกคนสงบลง ผมจึงตัดสินใจใช้ “อีวิลอาย” เพื่อความคุมความทรงจำของทั้งหมดโดยตรง แล้วในที่สุด สถานที่นั้นก็กลับมาสงบเสียที
หลังจากนั้น พอหัวหน้ากิลด์กลับมามีสติ ผมเลยถามเขาถึงสิ่งที่ติดใจมาซักพักแล้ว
ปฏิกิริยาของเขาหลังจากเห็นเหรียญนั่นมีอะไรผิดปกติ คำถามของผมคือเขารู้เรื่องอะไรกับเหรียญที่ผมได้มาจากเกมนี่หรือเปล่า ส่วนคำตอบก็คือ
เหรียญนั่นเป็นมรดกตกทอดจาก ‘ยุคที่สาบสุญ’ มันเป็นยุคไม่มีบันทึกใดๆ หลงเหลืออยู่เลย และมรดกตกทอดที่ถูกค้นพบจากยุคนั้นหายากมาก โดยเฉพาะเหรียญสีรุ้งที่ทำจากโอริคัลคุม นั่นก็เพราะว่า ไม่มีวิธีผลิตโอริคัลคุมยังไงละ เพราะงั้นเจ้าเหรียญนี่จึงแทบจะไม่เคยโผล่ออกมาบนโลกใบนี้เลย มีเหรียญหนึ่งถูกเก็บไว้ในคลังสมบัติของอาณาจักรแห่งหนึ่ง อีกเหรียญหนึ่งถูกเก็บไว้ในธนาคารของจักรวรรดิแห่งหนึ่ง เพราะฉะนั้น จนถึงปัจจุบันนี้ เหรียญที่ได้รับการยืนยันว่ามีอยู่จริง มีไม่ถึง 5 เหรียญด้วยซ้ำ
…ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมนะพกเหรียญรุ้งมาด้วยราวๆ 500 เหรียญ แถมที่ปราสาทเองก็มีอุปกรณ์ชั้นยอดสำหรับการเล่นแร่ ที่สมาชิกกิลด์ที่เป็นอัลเคมิสสะสมเอาไว้นะสิ เพราะงั้นผมก็เลยสามารถสร้างได้มากเท่าที่ต้องการ แถมเหรียญพวกนี้ยังกองเป็นภูเขาจริงๆอยู่ในปราสาทด้วย
“… อา ไม่มีอะไรที่ชี้ชัดได้เลยแฮะ แต่ดูท่าโลกนี้ก็ยังคงได้รับอิทธิพลของ E.H.O อยู่บ้างสินะ”
“องค์หญิง ท่านจะเอาอย่างไรต่อไปดีครับ พวกระดับสูงของกิลด์ในเมืองนี้กลายเป็นเพียงหุ่นเชิดด้วยอีวิลอายของท่านแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้น แทนที่จะอยู่ในกระท่อมเก่าๆที่นี่ พวกเรากลับไปที่ปราสาทกันก่อนไหมครับ?”
เทนไกให้คำแนะนำ หลังจากผมปลดสกิล [pet unison] เขาก็แยกตัวออกมา กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์และชุดทักซิโด้ตัวเดิมของเขา
…อืม ถึงผมจะใช้อีวิลอายไปก็เถอะนะ แต่ก็ไม่ได้จงใจจะให้คอลลาร์ดกับกัลด์กลายเป็นหุ่นเชิดแล้วคอยชักใยอยู่เบื้องหลังซะหน่อย
อันที่จริง จุดประสงค์ของผมนะตรงกันข้ามเลยละ แต่ว่าผู้คนก็จะตีความหมายไปอีกทางอยู่ดี– แล้วก็นะ โรงแรม “เก่าๆ” ที่เขาพูดถึงนะเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในเมืองอาระแล้ว เป็นที่ๆราชวงศ์ใช้พักผ่อนกันเชียวนะ –โอ่ะ พูดถึงจักรๆวงศ์ๆผมก็นึกขึ้นได้ ได้เวลาที่ผมต้องจัดการอะไรบางอย่างแล้วละ
“เราบอกได้เต็มปากว่าเป้าหมายแรกสำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังข้องใจเรื่อง ‘ยุคที่สาบสูญ’ อยู่ดี”
“องค์หญิงกังวลเรื่องนี้หรอครับ? มันดูเป็นแค่ตำนานที่ไม่น่าเชื่อถือเลยนะครับ”
“ถึงอย่างนั้น เจ้าเหรียญสีรุ้งนี่ก็มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ บางทีนี่อาจมีความเกี่ยวข้องบางอย่างอยุ่? หรือว่ามีคนอื่นๆมาที่นี่เหมือนกันกับเรา?”
“เข้าใจแล้วครับ หากเป็นเช่นนั้นจริง คงจะเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเราเลย”
ดูท่าแล้วในหัวคงไม่มีความคิดอยากกลับไปเจอเพื่อนเก่าบ้างเลยแหงๆ
“ช่างเถอะ ดูแล้วข้อมูลเพียงชิ้นเดียวที่เรามีเรื่อง ‘ยุคที่สาบสูญ’ คือพวกราชวงศ์แล้วก็พวกศานาจักรในดินแดนอื่นๆนะ ถึงแม้มันจะเป็นไปตามแผนก็ตาม แต่หลังจากนี้ควรไปติดต่อกับราชวงศ์เลยดีไหมนะ?”
“…เข้าใจแล้วครับ ความปราถนาของท่านคือของพวกเราเช่นกัน ว่าแต่องค์หญิง เรื่องอาหารของโรงแรมก่อนหน้านี้ ดูเหมือนท่านจะทานไม่ค่อยได้นะครับ ในเมื่อเราได้รับคำอนุญาติจากกิลด์แล้ว ให้ข้าไป ‘จัดการสินค้า’ ให้ท่านเถอะครับ”
อา.. ก็จริงนะ รสของซอสมันหนักเกินไป แล้วเครื่องเทศก็เยอะเกิน วัตุดิบที่ย่างมาก็ทำได้ไม่ดีเอาซะเลย ผมก็เลยกินเข้าไปได้ไม่ถึงครึ่งเลย ตอนนี้ผมอยากกินราเมงกระดูหมูจังนะ
“นั่นสินะ มันเตรียมให้เรียบร้อยก่อนพรุ่งนี้เช้าแล้วกัน อย่าหักโหมซะละ”
เอาตามตรง ผมยังลังเลที่จะกินอยู่ แต่ร่างกายของผมมันเรียกร้องว่าต้องการผมก็เลยตัดสินใจให้เทนไกหามาให้ แทนที่ผมจะไปกัดคอใครๆโดยตรง
“–รับทราบแล้วครับ”
จบคำ เทนไกก็หายไปจากตรงนั้น
“เอาละ ป่านนี้โจอี้จะเป็นไงมั่งนะ?”
ท่ามกลางช่วงเวลาที่พลังของเจ้าหญิงแวมไพร์สำแดงได้ถึงขีดสุด ผมก็นึกถึงใบหน้าจ๋อยๆของโจอี้ในตอนที่แยกกันขึ้นมา
◆◇◆◇
โจอี้ผู้ที่กำลังถือถาดเก่าๆละมีอาหารเย็นทั่วๆไปวางอยู่ในถาดนั้น เขาถอนหายใจขณะที่กำลังเดินขึ้นบันไดไปยังชั้น 2 ที่มีห้องของเขาอยู่
เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเย็นวันนี้ที่กิลด์ พอมาคิดว่าการที่เขาขาดความรู้ความเข้าใจเรื่งอต่างๆกำลังสร้างปัญหาให้กับหญิงสาว เขาก็ถอนหายใจอีกครั้ง
“เธอต้องเกลียดข้าแน่ๆ..”
แม้จะรู้อยู่ว่าเรื่องมันจบไปแล้ว แต่นึกถึงทีไรก็อยากจะต่อยตัวเองแรงๆซักหมัดจริงๆ
หลังจากถอนหายใจไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว เขาก็ใช้เท้าเปิดประตูห้องที่ไม่ได้ถูกล๊อก แล้วก้าวเข้าไปข้างใน
“ไง ยินดีต้อนรับกลับนะ โจอี้”
ฮิยูกินั่งอยู่บนเตียงแทนที่จะเป็นเก้าอี้ และแม้ว่าเธอจะทักทายเขาแล้วกด็ตาม โจอี้ยังคงไม่เข้าใจความจริงที่เกิดขึ้น
มันเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากแสงจันทร์หรือเปล่า การแหย่เล่นของแฟรี่ หรือว่าจริงๆเขาบ้าไปแล้ว?
“มันเร็วไปหน่อยจากที่สัญญากันไว้ แต่เราเป็นห่วงนาย ที่เข้ามาโดยไม่ขอก็ขอโทษด้วยนะ”
เมื่อได้ยินเสียงของฮิยูกิ โจอี้ก็เข้าใจความเป็นจริงในที่สุด เขาวางถาดพร้อมอาหารไว้บนเตียงข้างๆ ฮิยูกิ (เนื่องจากไม่มีโต๊ะ) ด้วยความเร่งรีบ จากนั้นเขาก็ล็อคประตูด้วยกุญแจแสนอ่อนแอของเขา
“เธอ เธอมาอยู่นี่ได้ไง!”
แม้ว่าจะได้ยินเสียงแหลมๆของเขา แต่ฮิยูกิ คนในคำถามกลับสนใจอาหารมื้อเย็นของโจอี้มากกว่า
“เอ่อ หน้าต่างเปิดอยู่ เราก็เลยเข้ามา”
เธอตอบเขาอย่างไม่ใส่ใจในขณะที่จ้องมองอาหารในชามของเขา
“หน้าต่าง? แต่นี่มันชั้น 2 นะ? แล้วชุดของเธอมัน…”
ฮิยูกิในตอนนี้สวมชุดที่เหมือนกับชุดนอน ซึ่งเป็นชุดเดรสสีดำยาวถึงข้อเท้าโดยมีชุดคลุมงาช้างทับด้านบนอีกที โจอี้ที่ได้เห็นเธอด้วยรูปลักษณ์แบบนั้นก็ทนความเขินอายไม่ไหว แต่ฮิยูกิไม่สนใจ และชี้ไปที่อาหารเย็นของเขา
“นี่ นี่ ไอ้นี่อะไรนะ?”
“อะไร? ข้าวโอ๊ตไง…ไม่รู้จักหรอ?์”
รู้แล้วว่าต่อให้คะยั้นคะยอไปก็ไม่ได้คำตอบ โจอี้จึงตอบคำถามของเธอด้วยความเหนื่อยใจ
“เห นี่คือข้าวโอ๊ตสินะ เคยได้ยินชื่อมาแหละ แต่เป็นครั้งแรกที่เคยเห็นเลย ลองชิมได้ไหม?”
“ข้าไม่ว่าอะไรหรอก แต่พักโรงแรมที่กิลด์จัดหาให้ไม่ใช่หรือไง? ไม่ได้กินข้าวเย็นที่นั่นหรอ?”
“หืม? อา ก็ประมาณนั้นแหละ.. เราพักที่โรงแรมขุนนางที่เรียกว่า อาริอาน่า พาเลจ นะ แต่จะบอกให้นะ อาหารที่นั่นไม่อร่อยเลย กินแทบไม่ได้แนะ”
พูดเช่นนั้น ฮิยูกิก็ตักข้าวโอ๊ตขึ้นมาเคี้ยวแบบเต็มปากเต็มคำ
“–ดะ-เดี่ยวนะ เธอพูดว่าโรงแรม ‘อารีอาน่า พาเลจ’ นั่นงั้นเรอะ ข้าเคยได้ยินมาว่าแค่คืนเดียวก็ต้องจ่ายเท่าค่าใช้จ่ายเดือนนึงของคนทั่วไปแล้วนะ!? แล้วเธอมาบอกว่าโรงแรมขุนนางนั้นอาหารไม่อร่อย…”
ไม่รู้ว่านเสียงเขาอยู่หรือเปล่า เพราะเธอที่มีสีหน้าแข็งค้างทั้งๆที่ช้อนยังคาอยู่ในปาก ก่อนจะเคี้ยวข้าวโอ๊ตและกลืนมันลงไปด้วยท่าทางมุ่งมั่น
“…ไม่ มันไม่อร่อยถ้าเทียบกับที่ปราสาทของเรา แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แล้วก็ ถ้าให้เทียบกัน อาหารที่นี่แย่ที่สุดแล้วละ”
“–อา มันเป็นข้าวให้คนไม่มีเงินอย่างพวกข้าไงละ ร่างกายที่มีเรี่ยวแรงคือเรื่องจำเป็นสำหรับคนอย่างพวกข้า ก็เลยต้องกินให้อิ่มไว้เท่านั้นเอง”
ขณะที่อธิบาย โจอี้ก็ซดข้าวโอ๊ตที่ฮิยูกิส่งคืนมา เขาทาเนยบนขนมปัง แล้วกินมันพร้อมกับมันฝรั่งและเบคอนจำนวนเล็กน้อย
“เข้าใจละ ไม่มีอะไรดีไปกว่าคาร์โบไฮเดรต แต่มันไม่ดีต่อร่างกายนะถ้านายไม่กินผักบ้าง”
“ช่างเถอะน่า ฉันพอใจกับแบบนี้!”
ด้วยเหตุที่ไม่อาจทราบได้ โจอี้ก็หงุดหงิดขึ้นมา พอได้ยินคำพูดที่ดูรำคาญของเขา ฮิยูกิเบิกตากว้างอยู่ครู่หนึ่งแล้วก้มหน้าขอโทษ
“..ถูกของนาย ขอโทษด้วยที่เห็นแก่ตัวนะ”
“อา ไม่ เธอไม่ผิดนี่นา..”
โจอี้ที่เห็นร่างเล็กๆของฮิยูกิหดลงเล็กไปอีก เขาหยุดกินแล้วก็รีบหาคำพูดมาปลอบเธอ
“–ข้าขอโทษ ข้ารู้สึกว่ากำแพงระหว่างเรามันกว้างเหลือเกิน ข้าเลยหงุดหงิดนะ”
ได้ยินดังนั้น ฮิยูกิก็เอียงคอด้วยความสงสัย
“ไม่มีกำแพงอะไรซักหน่อย ถ้าเราจะแตะตัวนาย เราก็ทำได้นี่”
แล้วเธอก็เอามือเย็นๆมาแตะแก้มของโจอี้ ก่อนจะถอนคืนไปอย่างรวดเร็ว
หัวใจของโจอี้เต้นรัวกับท่าทางอันคาดไม่ถึงของเด็กสาว เขาถามกลับไปอีกครั้ง
“งั้น ข้าแตะเจ้าได้ไหม”
“—อะ-อืม”
โจอี้ยืนมือเข้าไปหาฮิยูกิ ที่ดูเขินอายแต่ก็ยังพยักหน้าตอบรับ เขาลังเล รู้สึกราวกับว่าถ้าเขาแตะโดนตรงไหนก็อาจจะแตกได้ แต่เขาก็ตัดสินใจได้และเอื้อมมือไปจับต้นแขนของเธอ
“เธอผอมสุดๆ แต่ก็นิ่มมากด้วย! นี่มีกระดูกหรือเปล่าเนี่ย?”
“—นายนี่เป็นพวกไม่อ่านสบรรยากาศสินะ”
เธอตอบด้วยท่าทางและน้ำเสียงช๊อคเอามากๆ
“ก็มัน ผู้หญิงในหมู่บ้านและนักผจญภัยหญิงแข็งแกร่งกันมากเลยนี่”
ถึงแม้เขาจะพยายามอธิบายตัวเองมากแค่ไหน แต่เธอก็ยังดูช๊อคอยู่ดี โจอี้ที่เกิดอาการเขินขึ้นมาก็ปล่อยมือออก
“แบบนั้นคือแขนของผู้หญิงที่ทำงานในฟาร์มหรืองานใช้แรงต่างหาก พวกเขาก็พิเศษในแบบของเขาแหละ ถ้านายอยากรู้ ก็ลองไปขอจับของมีอาครั้งหน้าดูสิ เดี๋ยวก็เข้าใจเอง”
“…มีอาซังงั้นหรอ? เข้าว่าข้าจะโดนเธอล้อมากกว่านะสิ”
“นายเข้าใจผิดแล้ว มีคนไม่มากหรอกนะที่เก่งได้ขนาดเธอ นายอาจจะคิดว่าเราพูดแรงหรือกำลังเหน็บแหนมนายอยู่ แต่เราพูดก็เพื่อตัวนายเอง ถ้าหากนายมองหาแฟนหรือคู่ชีวิตแล้วละก็ นายควรมองผู้หญิงแบบนั้นเอาไง โดยเฉพาะนายเพราะนายมันหัวช้าไงละ”
“ไม่เกี่ยวกับเธอซักหน่อย! อีกอย่าง สาวมีอายุแบบนั้นไม่อยากมายุ่งกับข้าหรอก..”
“เราไม่คิดแบบนั้นนะ มันขึ้นกับความพยายามของนายต่างหาก –จะแนะอะไรให้อย่างนึงนะ แต่เธอน่าจะเลิกกับแฟนไปไม่กี่ปีก่อน หรือไม่ก็คู่หูเสียชีวิต และเรารู้สึกว่าบางอย่างในตัวของนายสามรถรักษาบาดแผลในใจพวกนั้นได้”
“อะไรละนั้น สัญชาติญานของผู้หญิงหรือไง?”
“อืมมม ละมั้ง? จะว่างอย่างนั้นก็ได้แหละ โอ้ะ ข้าวของนายเย็นหมดแล้วนี่ คงได้เวลาทีเราต้องไปแล้วละ”
ฮิยูกิพูดพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง”
“จะไปแล้ว? อย่าบอกนะว่าทางหน้าต่าง..”
แล้วจู่ๆ ดวงตาของฮิยูกิก็เปล่งประกายบางอย่างออกมา แล้วภาพตรงหน้าของโจอี้ก็ดับไป–
“ฝันดีนะโจอี้ เจอกันพรุ่งนี้”
จู่ๆ โจอี้ก็สะดุ้งขึ้นมา เขาคิดว่าเขาได้ยินเสียงบอกลาของฮิยูกิ อย่างไรก็ตาม ไม่มีร่องรอยใดใดของเธออยู่ในห้องนี้ และประตูเองก็ล๊อกจากข้างใน
“…ความฝันหรือเปล่านะ”
แม้จะยังสงสัยอยู่ครึ่งหนึง โจอี้จัดการกินอาหารที่เย็นแล้วจนหมด
แต่ทว่า ความรู้สึกเศร้าหมองที่เคยมีก่อนหน้านี้ได้หายไปจนหมดสิ้น ในคืนนั้นเขานอนหลับสนิทโดยไม่ฝันอีกเลย
ฮิยูกิ เธอยังเหลือความเป็นชายอยู่ภายในใช่ไหม…. ใช่ไหม??????
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนเป็นกำลังใจหรือจะเป็นค่าชานมไข่มุกให้คนแปลก็ได้ทั้งนั้นคะ (แต่ส่วนใหญ่น่าจะไปลงชานมหมด เทะเฮะ)
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ