[นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru - ตอนที่ 4 บทที่ 1 ตอนที่ 4 คำร้องคุ้มกัน
- Home
- All Mangas
- [นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru
- ตอนที่ 4 บทที่ 1 ตอนที่ 4 คำร้องคุ้มกัน
ข้อความจากผู้แต่ง
สำหรับการอ้างอิง ฉันได้เพิ่มเติมส่วนที่ทำให้รู้สึกว่าเธอเป็นเจ้าหญิงแวมไพร์ขึ้นมา
คือ คุณได้สารอาหารจากการกินข้าว แต่ว่าตรงนี้อาจจะคล้ายๆความต้องการเพศตรงข้ามมากกว่า
——-
เมื่อโจอี้บอกว่า “จะไปส่ง” เด็กสาวก็ชี้ไปที่รอยล้อของรถม้าบนถนนที่ยังคงลึกและเห็นได้ชัดเจน
“ไม่ละ เราไม่ใช่เด็กซะหน่อย เราไม่หลงทางหรอกนะ”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น… หมายถึง เจ้าเองก็ยังเด็กจริงๆนี่ ดูราวๆแค่ 11 ปีเองนี่”
เด็กสาวยิ้มขมๆให้กับคำพูดนั้น
“…อันที่จริงเราอายุ 13 แล้วนะ”
“-เอ๋ อย่างงั้นหรอ โทษที”
เด็กสาวในวัยนี้มีอัตราการโตของร่างกายที่ต่างกันมาก เพราะงั้นจึงยากที่จะดูให้ออก ตัวอย่างคงเช่น ถ้าข้าอายุ 15 แล้วโดนมองว่าเป็นเด็กอายุ 13 ก็คงจะไม่พอใจเหมือนกัน
เข้าใจแล้วว่าท่าทางของเด็กสาวหมายความว่าอย่างไร โจอี้จึงโค้งหัวลงด้วยความอ่อนน้อม
กระทั่งผู้ชายเอง ข้าก็อยู่ในอายุที่อยากจะโตกว่านี้ ในหมู่บ้านของโจี้ เมื่อเด็กหญิงอายุเข้า 13 ปี บางคนถึงกับแต่งงานแล้วด้วยซ้ำ
ในจังหวะที่คิดแบบนั้น หัวใจของโจอี้ก็เริ่มเต้นแรง
(ใช่ เธอโตมากพอที่จะสามารถแต่งงานได้แล้ว ไม่ใช่เด็กๆอีกต่อไป)
พอนึกได้แบบนั้นเข้า เขาก็เบียงสายตาของตัวเองออกจากริมฝีปากชุ่มชื้น หน้าอกขนาดพอเหมาะ และขาเรียวยาวของเธอ ก่อนจะบอกตัวเองให้กลับไปเตือนเด็กสาวอีกครั้ง
“คือว่า ถ้าหญิงสาวอายุน้อยที่ดูร่ำรวยอย่างเธอเดินไปไหนมาไหนคนเดียว มันก็ไม่มีใครบอกได้เลยว่าคนแบบไหนจะเข้ามาสร้างปัญหาให้เธอ แล้วก็…สิ่งแย่ๆที่อาจจะเกิดกับเธอด้วย ข้าก็เลยจะพาเธอไปส่งที่เมืองไงละ”
“อ้อ เข้าใจละ เรื่องพวกโดนข่มขื่น ฆ่าแล้วก็เอาไปฝังสินะ”
เด็กสาวที่ดูจะเข้าใจคำคลุมเครือของโจอี้ได้เป็ยอย่างดูมองเด็กชายด้วยท่าทางไม่แน่ใจ
“แต่จะไม่เป็นไรหรอ? นายดูยังไม่ได้อะไรในมือเลยนี่ อยู่ระหว่างทำงานไม่ใช่หรอ?”
“…ไม่เป็นไรหรอก ตัวหมาป่าที่ข้าต้องจัดการก็วิ่งหนีไปแล้ว และข้าก็ไม่คิดด้วยว่ามันจะมีตั้ง 2 ตัว ข้าเลยเตรียมตัวมาไม่ดีพอ แล้วก็ ข้าคงตื่นมาแล้วรู้สึกแย่แน่ๆถ้าปล่อยเธอไว้ที่นี่คนเดียว!”
เพื่อซ่อนความเขินอายเอาไว้ เด็กชายหันหลังให้แล้วพูดออกมาเสียงดัง เด็กสาวดูตกใจไปชั่วขณะ ก่อนจะยิ้มอย่างยินดี
“นาย – โจอี้คุงใช่ไหม? นายเป็นคนดีจังนะ”
“–พะ-พูดอะไรนะ! นี่เห็นข้าเป็นตัวตลกหรอ?!”
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อย แต่ก็ขอโทษนะถ้าทำให้ไม่พอใจนะ.. แต่เราไม่ชอบที่รู้สึกเหมือนใช้ประโยชน์จากความใจดีของนายเลยแฮะ –อืมม ถ้าอย่างนั้น นายช่วยคุ้มครอง เราจนกว่าจะไปถึงเมืองแล้วก็พาไปดูรอบๆด้วยได้ไหม? เราอยากเห็นกิลด์นักผจญภัยนะ”
“งานหรอ..”
“หืม? ถ้าจะขอจ้างงานโดยตรงแบบนี้ไม่ได้หรอ?”
“ไม่หรอก ไม่มีคำสั่งห้ามไว้นะ แค่จะไม่ได้แต้มกิลด์นะ แต่ในกรณีแบบนี้มักจะต้องจ่ายก่อน แล้วก็ปกติจะคิดเงินประกันแพงกว่าคำร้องธรรมดาด้วยนะ..”
เนื่องจากว่า โจอี้ ผู้ซึ่งจะจบการเป็นแรงค์ G และได้เลื่อนขั้นเป็น แรงค์ F หมาดๆ ไม่รู้เรทราคาของงานคุ้มครอง หรือเรทค่าเงินประกันเลย เขาจึงไม่รู้ว่าเขาควรได้รับเงินเท่าไหร่
แต่ทว่า เด็กหญิงเข้าใจว่าที่โจอี้ลังเลนั่นก็เพราะกลัวว่าเธอจะหาเงินมาจ่ายไม่ได้
เธอควานหาของที่ด้านหลัง ตรงจุดที่เขานึกว่าเป็นโบว์อันใหญ่ จริงๆแล้วนั่นเป็นกระเป๋าใบเล็กๆ แล้วหยิบเหรียญขึ้นมาจำนวนหนึ่ง
“ถ้างั้น ประมาณนี้ละ?”
“เหรียญเงินหรอ?”
เหรียญที่เธอส่งมาดูเป็นสีเงินก็จริง แต่ทว่ามันใหญ่กว่าเหรียญเงินธรรมดาถึง 3 เท่า และเมื่อมองดูใกล้ๆก็พบว่ามันเป็นเหรียญที่มีผิวเป็นสีรุ้งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“เหรียญสีรุ้งที่นายไม่เคยเห็นงั้นหรอ งั้นเหรียญทองอาจจะดีกว่านะ”
พูดดังนั้น เธอจึงวางเหรียญทองอีกสิบเหรียญลงบนมือของโจอี้
“…ข้าไม่เคยเห็นเหรียญทองมาก่อน จะใช้ได้ไหมนะ?”
สำหรับโจอี้แล้ว เขาทำได้แอบมองเหรียญทองจากฝั่งตรงข้ามของเค้าท์เตอร์กิลด์ ที่ปกติแล้วเขารับแค่เหรียญเงินกับเหรียญทองแดงเท่านั้น
“นั่นสินะ? ในกรณีที่แย่ที่สุดก็คงเอาไปหลอมแล้วขายในฐานะโลหะมีค่าเท่านั้นละมั้ง ขึ้นอยู่กับราคาของมันด้วย ถ้าอย่างนั้นเราจะจ่ายนายด้วยทองแท่งเอง”
พูดเช่นนั้นก่อนที่เธอจะล้วงมือลงไปในกระเป๋าอีกครั้ง แล้วหยิบทองแท่งที่มีขนาดต้นแขนของชายวัยกลางคนขึ้นมา
สีหน้าของเด็กชายเปลี่ยนไปทันที
“–เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนนะ! หรือนั่นใช่ไอเทมเวทมนต์ที่จะไม่เปลี่ยนขนาดหรือน้ำหนักไม่ว่าจะใส่อะไรเข้าไปก็ตาม?!”
“ก็ใช่แหละ –อะ มีอีกอันอยู่นี่ด้วย”
“เธอเป็นเศรษฐีนี่! ใช้ไอ้นั่นซื้อบ้านในที่ๆดีที่สุดในเมืองได้เลยนะ!”
“ว้าว เป็นไอเทมที่แพงจังนะ –อืม มันก็แพงจริงๆนั่นแหละ”
“ข้าเห็นด้วยเลย ขอร้องละ อย่าเอามันออกมาโชว์ไปทั่วที แค่ที่ข้าดูก็รู้สึกอันตรายแล้ว เป็นองค์หญิงมาจากไหนเนี่ย”
พอถูกเรียกว่า “องค์หญิง” เธอก็ยิ้มเหมือนอยากจะปฏิเสธออกมา
“–อา นึกขึ้นได้เลย เรายังไม่ได้แนะนำตัวสินะ เรามีนามว่า “ฮิยูกิ(หิมะสีชาด)” ยินดีที่ได้รู้จักนะ โจอี้คุง”
เด็กหญิงจับชายกระโปรงขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง และโค้งลงเล็กน้อย (ท่าทางที่ขานึงไปด้านหลัง และอีกขานึงย่อเล็กน้อย)
ความขวยเขินพุ่งขึ้นมาจากท่าทางอันอ่อนช้อยนั่น โจอี้หันหลังกลับเพื่อที่เธอจะได้ไม่เห็นหน้าแดงๆของเขา ก่อนจะออกเดินแล้วชี้ไปยังต้นไม้ที่ห่างออกไปประมาณ 500 เมตร
“ฮิยูกิสินะ ฮืม? อา ข้ารู้สึกเหมือนโดนล้อเลยเวลาเธอเรียกว่า “โจอี้คุง” เพราะงั้นเรียกแค่โจอี้ก็พอ — คือว่า ฮิยูกิ นกอีมูของข้ามันผูกไว้ตรงต้นไม้ต้นนั้น เราเดินไปกันเถอะ”
“นกอีมู?”
ฮิยูกิเอียงคอด้วยความสงสัยให้กับโจอี้ผู้ซึ่งเริ่มจะชินกับนิสัยแบบนี้ของเธอ
“อืม เดี๋ยวได้เห็นก็รู้เองนะ”
เขาพูดไว้แค่นั้น ก่อนจะเดินนำไป
◆◇◆◇
[องค์หญิง ท่านเป็นต้องจ้างเจ้าเด็กไร้มารยาทนี่ด้วยหรอกครับ? เพื่อไม่ให้ท่านมีรอยแม้ซักนิดเดียวแค่ข้าก็พอ]
ตอนนั้นเอง จากข้างๆผม หรือหมายถึง ข้างในตัวผม เทนไกพูดด้วยเสียงรำคาญใจ
นี่คือสิ่งที่เกิดจากฟังก์ชั่น “การร่วมร่างข้ารับใช้” ที่ทำให้คุณรวมเข้ากับข้ารับใช้ได้ 1 ตัวระหว่างต่อสู้เพื่อรับเอาสเตตัสและคุณสมบัติของข้ารับใช้มาได้
แต่เมื่อก่อน ดีที่สุดสเตตัสของผมเพิ่มมาแค่ราวๆ 30% แต่ตอนนี้นั้น
เผ่า : เจ้าหญิงแวมไพร์(เชื้อสายพระเจ้า)
ชื่อ : ฮิยูกิ
ฉายา : โฉมงามแห่งท้องนภา
HP : 61,312,800 (+61,234,800)
MP : 53,841,500 (+53,746,000)
▼
นี่มันค่าเงินซิมบับเว่หรอไง? ทำไมตัวเลขมันเฟ้อซะขนาดนี้!
พูดอีกอย่าง นี่มันคือการเอาสเตตัสของนาคราช(มังกรทอง)มาเขียนทับเลยนี่หว่า?!
สเตตัสของผมเป็นได้แค่ดอกแดนดิไลออนเท่านั้นแหละ เป็นของตกแต่งซูซิยังไม่ได้เลย ไม่ต้องสนด้วยซ้ำว่าจะมีหรือไม่มีนะ!?
อันที่จริง ตอนที่ผมค้นพบว่ามีนฟังค์ชั่นนี้อยู่ ความแตกต่างของสเตตัสตอนปกติมันมากซะจนผมกลัวเกินกว่าจะลองร่ายคาถาซักอันนึงเลย
ถ้าใช้คาถาไฟเริ่มต้นอย่างไฟร์บอลด้วยเลเวลแบบนี้ มันมีโอกาสสูงมากที่มันจะออกมาเป็นยิ่งกว่า “นี่ไม่ใช่เมราโซม่าหรอก แค่เมร่าเท่านั้น” แต่เป็นแบบ “นี่ไม่ใช่H-บอมบ์หรอก แค่ระเบิดเท่านั้น” แล้วนะ
(Merazōma (ชื่อยุ่น) หรือ Kafrizzle (ชื่ออิ้ง) และ Mera หรือ Frizz เป็นเวทย์ไฟในเกมดราก้อนบอล โดยที่เมร่าโซมานั้นเป็นโครตอภิมหาใหญ่(เวลสูงสุด)ของเวทย์ไฟแล้ว แต่เมร่านั้นเป็นแค่เวล 1 โดยที่ผู้แต่งอ้างถึงฉากนึงจากการ์ตูนดราก้อนบอล เป็นฉากที่ตัวร้าย(มั้ง)ใช้แค่เวทไฟเวล 1 ต่อกรกับพระเอก(มั้ง)ที่ใช้เวทไฟเวลสูงสุด แล้วเวทไฟเวล 1 ของตัวร้ายชนะขาด ( Dragon Quest: Dai no Daibouken – Episode 57 ลองไปนั่งดูกันได้นะคะ )
อาวุธเทอร์โมนิวเคลียร์ (Thermonuclear weapon) หรือ ระเบิดไฮโดรเจน (Hydrogen bomb) ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกขานตาม ภาษาปาก ว่า เอชบอมบ์ (h-bomb) เป็น อาวุธนิวเคลียร์ ที่ใช้ พลังงานฟิวชั่น เป็นหลักซึ่งต้องใช้ความร้อนถึงร้อยล้านองศาจึงเป็นที่มาของชื่อเทอร์โมนิวเคลียร์ ตรงนี้เป็นการเล่นมุกซ้ำแต่สเกลใหญ่เวอร์วังอลังการคะ”
เพราะงั้น ผมเลยพยายามไม่ใช้พลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ – แต่เงื่อนไขต่ำสุดสำหรับการออกมาสำรวจคือเทนไกต้องออกมากับผมด้วย – แล้วก็ติดต่อกับโจอี้ ที่บังเอิญมาเห็นผมพอดี เพื่อที่จะจัดการเรื่องให้สงบสุขมากที่สุด แต่เทนไกคงจะงอนที่ผมไม่เชื่อมั่นในพลังของเขาสินะ
ถ้าเขาเตลิดไปไกลแล้วพูดอะไรอย่าง “ข้าจะแสดงให้ท่านเห็นเองว่าข้าทำอะไรได้บ้าง!” ประเทศแห่งนี้ก็คงถล่มหายไปในคืนเดียวแหง! ผมคงต้องมุ่งหน้าดิ่งลงเหวตรงสู่เส้นทางการเป็นราชาปีศาจแล้วละ
ผมต้องรับมือกับเรื่องนี้ให้ดีโดยไม่ทำร้ายความภูมิใจของเทนไกให้ได้
[แน่นอนว่าเราเชื่อในความภักดีและความสามารถของเจ้า แต่มันก็มี่สิ่งที่หาได้จากการร่วมมือของคนทั่วไปเหมือนกัน เรารู้ว่าสิ่งนี้มันเห็นแต่ตัว แต่เจ้าจะยอมให้เราหน่อยได้หรือไม่? ]
[…ข้าใจร้อนไปหน่อย ขออภัยด้วยครับองค์หญิง ช่างเป็นเรื่องไม่เจียมตัวที่คนอย่างข้าจะไปสงสัยสายตาอันกว้างไกลของท่าน – เด็กนั่นคงไม่ได้มาเป็นคนคอยปกป้องท่านหรอก แต่เป็น..]
เหมือนว่าเขาจะเข้าใจแล้วแฮะ น้ำเสียงของเทนไกกลับกลายเป็นสงบอีกครั้ง
[ใช่แล้ว คนของเรา–]
[เป็นอาหารสำรองสินะครับ]
ครับผม?!
[พอข้ามาลองคิดดู ท่านก็ฟื้นมาได้ซักพักแล้ว แต่ยังไม่ได้(กินข้าว)ดูดเลือดเลยนี่ครับ ข้าลืมสิ่งนี้ไปสนิทเลย ขอภัยเท่าไหร่ก็ไม่พอครับ
.. อืม เป็นมื้อที่แย่ไปหน่อย แต่ในเมื่อเขายังบริสุทธ์อยู่ก็คงไม่แย่มากนัก
แต่ถ้าท่านรอได้อีกซักหน่อย ข้าจะไปเตรียมเลือดหญิงสาวบริสุทธ์แสนอร่อยให้ท่านแทนเจ้าหนุ่มซ่อมซ่อนี่เองครับ]
อาหาร…เลือด…บริสุทธ์…สาวพรรมจรรย์
คำเหล่านั้นค่อยๆร้อยเรียงกันในหัวผม
อะ-โอ้ เดี๋ยวนะ ผมคือเจ้าหญิงแวมไพร์นี่หว่า?!
เพราะงั้นที่ผมแอบใจเต้นตอนคุยกับโจอี้วันนี้ หรือความรู้สึกที่ผมมีตอนเห็นร่างกายที่แข็งแรงของเขา ไม่ใช่เพราะผมกลายเป็นสาวน้อย แต่เพราะว่าความอยากอาหารงั้นเรอะ?!
แย่แล้วว!!
ผมขอให้เขามาเป็นคนคุ้มกันโดนไม่ได้คิดอะไร แต่ถ้าผมต้องอยู๋กับเขาแบบนี้ต้องแย่แน่ๆ
ที่นี้ผมก็รู้ตัวแล้ว ผมจึงต้องบังคับสายตาตัวเองที่จับจ้องคอสุขภาพดีของโจอี้ และเส้นเลือดตามแขนขาเขาไปยังที่อื่นซะ
————
ข้อความจากผู้แต่ง
ที่ฮิยูกิบอกว่ากระเป๋าแพง เพราะว่าราคาของมันในฐานะไอเทมแฟชั่นในกาชาไงละ ไม่ใช่ในฐานไอเทมเวทมนต์แบบที่โจอี้คิด
ยังไงซะมันก็คือของที่ได้มาตอนสอนเล่นละนะ
และดอกแดนดิไลออนในซาซิมิจริงคือดอกเบญจมาศที่กินได้ แต่ฮิยูกิคือว่านั่นคือแดนดิไลออน(เพราะเธองี่เง่าไงละ)
*–* ข้อความจากคนแปล
ดูเหมือนว่าการเป็นของตกแต่งซูซิจะเป็นการบอกนัยๆว่าไร้ค่า ไม่ต้องมีก็ได้ประมาณนั้นคะ แล้วตัวเอกของเรื่องก็เปรียบเทียบหนักข้อขึ้นไปอีกว่าตัวเองเป็นยิ่งกว่าของตกแต่งที่อย่างอื่นกินได้ แต่กลายเป็นดอกแดนดิไลออนที่กินไม่ได้ด้วย ไร้ค่าหนักสุดๆ
ตอนนี้เสียเวลาทำความเข้าใจมุกนานมากกกก เพราะไม่รู้มาก่อนก็เลยเหนื่อยเอาเรื่องเลยคะ
จะแสกน หรือจะใส่เลขตามข้างล่างก็ได้คะ
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
เป็นกำลังใจหรือจะเป็นค่าชานมไข่มุกให้คนแปลก็ได้ทั้งนั้น (แต่ส่วนใหญ่น่าจะไปลงชานมหมด)
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ