[นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru - ตอนที่ 15 ตอนที่ 2 เตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่ง
- Home
- All Mangas
- [นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru
- ตอนที่ 15 ตอนที่ 2 เตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่ง
พอผมเตรียมตัวจะออกจากห้องหัวหน้ากิลด์ คอนราดก็เรียกผมให้รอ
“รอประเดี๋ยวก่อนครับ ข้าอยากจะรู้ก่อนว่าท่านวางแผนจะแทรกซึมเข้าไปยังเมืองหลวงคาร์เดียยังไง? ที่นั่นไม่เหมือนกับเมืองอิสระเราที่จะไปไหนก็ได้นะครับ การเข้าและออกที่นั่นเข้มงวดเอามากๆ”
“นั่นนะหรอ ฟิ้ว~ ไปไวๆก็ได้แล้ว”
จะให้ขุดหลุมก็คงจะเหนื่อยไปอะนะ
“ระ-หรือว่า ท่านไม่ได้วางแผนจะขี่มังกรสุดฉูดฉาดนั่นไปใช่ไหมครับ!?”
ผมโบกมือไปมาให้หัวหน้ากิลด์ที่สูญเสียความเยือกเย็นไปอีกแล้ว
อืม แต่ว่าผมจะเดินทางไปด้วยสวนลอยฟ้าที่มีขนาดเท่าหนึ่งจังหวัดเล็กๆของญี่ปุ่นเลยเนี่ยสิ มันก็บอกยากอยู่นะว่าฝั่งไหนมันจะโดดเด่นกว่ากัน
“…ดูท่าจะลอบเข้าไปด้วยวิธีผิดกฏหมายแน่นอนอยู่แล้วสินะครับ”
“ก็แน่อยู่แล้วสิ ไม่มีทางที่เราจะเดินตรงเข้าประตูหน้าแล้วทักทาย ‘สวัสดีจ้า~’ได้อยู่แล้วนี่”
จริงๆแค่ชื่อของผมก็สร้างความวุ่นวายได้แล้วอะนะ
พอตอบไปแบบนั้น คอนราดที่ดูยอมแพ้ไปแล้วก็หยิบเอาแผ่นโลหะสีเงินออกมาจากเก๊ะ มันคล้ายกับที่โจอี้เคยโชว์ให้ผมดูก่อนหน้านี้ แต่ใหญ่กว่าถึงสองเท่าและมีลวดลายตกแต่งตามขอบและตราสัญลักษณ์ (ตราสัญลักษณ์อันนี้แสดงถึงกิลด์นักผจญภัยเมืองอาระที่มีชื่อของหัวหน้ากิลด์ข้างหลังด้วย) ก่อนจะวางลงบนโต๊ะและดันมาหาผม
ดูท่าคงจะมีเรื่องที่ต้องคุยเพิ่มสินะ ผมกลับไปนั่งที่โซฟาอีกครั้ง
“—นี่อะไร?”
ผมหยิบแผ่นโลหะนั่นขึ้นมาดู
“เป็นใบผ่านทางครับ นั่นนับเป็นเอกสารทางการออกโดยเมืองอาระ ใช้สิ่งนี้แล้วท่านจะสามารถเข้าเมืองหลวงได้โดยไม่มีปัญหา”
“หืม–ม จะดีหรอถ้าจะช่วยเราโต้งๆแบบนี้”
“…เพราะไม่มีทางอื่นแล้วสินะครับ มันเป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ ตอนนี้เมืองอาระโดนประกบเป็นแซนวิชจากอาณาเขตของฝ่าบทาจากทั้งสามด้าน มีดาบจ่อคออยู่แบบนี้ เราจะขยับตัวทำอะไรก็เป็นเรื่องร้ายแรงทั้งนั้น พวกเรามีชะตาร่วมกันขนาดนี้แล้ว ถ้าจะให้พูด ก็เป็นหน้าที่ของข้าเองที่ต้องพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะหยุดความวุ่นวายที่ไม่จำเป็นในเมืองหลวง และทำอะไรก็ตามที่ทำได้เพื่อลดความเสี่ยงลง”
โอ้~ ดูท่าคอนราดก็เริ่มจะพัฒนาให้อดทนรับได้ทั้งสิ่งดีและไม่ดีได้แล้ว!
ไม่ว่ายังไงความยากลำบากก็ทำให้คนเติบโตละน้า
หรือว่าอยู่ในช่วงกำลังเติบโตกันนะ?
“ไอ้สายตาแสนอบอุ่น แต่ก็แอบดูถูกอยู่หน่อยนึงนั่นมันอะไรนะครับ”
“เ~ป~ล่~า~นี่~ม่ายมีอะไรน่า เอาละ เราขอบใจมาก ว่าแต่ เราสัมผัสได้ถึงเวทมนต์ในนี้ มันมีกลไกอะไรอยู่หรือไง?”
“ครับ ข้าดัดแปลงมันด้วยตัวเองนะ เมื่อไหร่ที่ท่านจะผ่านประตูเมืองหลวง ให้แตะสัญลักษณ์ 『☆』ที่มุมขวาบน และร่ายคำว่า [โอเพ่น] ม่านพลังจะถูกร่ายขึ้นและทำให้บาเรียป้องกันของเมืองหลวงใช้ไม่ได้ผลชั่วคราว
เพราะว่าถ้าเป็นฝ่าบาทละก็ ของแค่บาเรียป้องกันนะไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้ามันถูกพังลงด้วยกำลังเพียวๆ นั่นจะกลายเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินยังไงละครับ”
โอะ จะว่าไป มันก็ของที่ถูกเรียกว่าบาเรียป้องกันอยู่ด้วยนี่นา!
ตอนที่เผลอทำพังผมไม่ต้องทำอะไรเลยซักนิดก็เลยลืมไปสนิทเลย ผมไม่รู้ว่ามันจะครอบคลุมกว้างแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็น่าจะคลุมได้ทั้งประตูและบนยอดกำแพงได้ เพราะงั้นถ้าผมหวังแค่จะใช้ความมืดกระโดดข้ามกำแพงเข้าไป มันก็เสี่ยงที่ผมไปทำมันทะลุได้โดยไม่รู้ตัว และตัวตนของผมก็จะถูกเปิดเผยอย่างง่ายดาย
ผมต้องระมัดระวังเรื่องนี้ให้ได้แล้วละ
ผมมีทั้งพลังอำนาจและความสามารถอันยิ่งใหญ่ แต่ผมไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะมีใครวางกับดักขัดขาผมหรือเปล่า ตอนนี้ผมรู้ซึ้งถึงเรื่องนี้แล้วละ
ใครจะรู้ ในอนาคตข้างหน้าผมอาจจะเผลอทำพลาดจนไม่สามารถแก้ไขลงไปก็ได้ เมื่อคำนึงถึงสิ่งนี้ ผมจึงเอ่ยปากขอบคุณกับคอนราด
“ขอบใจนะคอนราด เราซาบซึ้งในสิ่งที่นายทำจริงๆ”
พอผมก้มหัวให้ หัวหน้ากิลด์ก็มองผมราวกับกำลังมองมอนสเตอร์ที่ไม่รู้จักอยู่
“—การคุกคามนี่มันอะไรกันครับฝ่าบาท?! หรือว่าเป็นการประชดประทางอ้อมหรอครับ?”
“…ไม่นะ เราแค่อยากจะบอกขอบคุณ”
“ฝ่าบาท? ให้ข้า? ขอบคุณ?! –นี่เป็นคำลาครั้งสุดท้ายก่อนจะฆ่าข้าหรอครับ?!”
เขากระเด้งตัวขึ้นด้วยความตื่นตระหนกและอยู่ในท่าพร้อมจะหนีในทันที
“ดะ-เดี๋ยวก่อน! นี่เราดูเหมือนนักเลงขนาดนั้นเลยหรอไง?!”
“นี่ท่านไม่รู้ตัวเลยงั้นเรอะ?!!”
เขามองผมด้วยสายตาเย็นชาจังเลย แต่ผมไม่รู้จริงๆนี่นา นี่เขาเอาเรื่องไร้สาระที่บรรดาลุกน้องผมทำมาโทษทีผมหมดเลยรึเปล่า? ตัวผมเองก็ไม่ได้ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแบบไร้เหตุผลนะ ผมพยายามจะใช้ชีวิตที่เน้นไปที่การพูดคุยกับคนอื่นด้วยซ้ำ
“เราว่าเราออกจะเป็นคนรักสันตินะ”
อา คนๆนี้ไม่ไหวแล้ว! หัวหน้ากิลด์ใช้สองมือปิดหน้าพลางครวญใส่เพดานทั้งแบบนั้น
“…อา ข้าเข้าใจแล้วละว่าการรับรู้ของเรามีความแตกต่างกัน แล้วก็ นี่เป็นข้อควรระวังนะครับ ความสามารถของมันจะอยู่ได้ 30 นาที เมื่อใช้แล้วจะใช้ไม่ได้อีกครึ่งวัน และระยะรัศมีของมันอยู่ที่ 1-1.5 เมตรเท่านั้น”
ผมพยักหน้าด้วยความรู้สึกคลุมเครือเมื่อพังคำอธิบายจากคอนราดที่ฟื้นสภาพกลับมาแล้ว
“แล้วก็ แม้อาจจะฟังดูอวดดีไปหน่อยนะครับ แต่ด้วยขนาดของบาเรียแล้ว ท่านสามารถพาข้ารับใช้ไปได้เพียงแค่ 1 หรือ 2 คนเท่านั้น และถ้าท่านจะเข้าร่วมงานเต้นรำสวมหน้ากาก ซึ่งหญิงสาวไปด้วยกันเป็นปกติ ก็จะดีกว่าหากท่านพาข้ารับใช้ที่เป็นผู้หญิงไป”
“เข้าใจละ..”
งั้นก็คงจะเป็นมิโคโตะสินะ เพราะนิสัยของอุสึโฮะคงจะยากหน่อย
“และนี่เป็นจดหมายถึงสำนักงานใหญ่กิลด์ของเมืองฟาบิโอล่าครับ ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ก่อนถึงเมืองหลวง จดหมายนี้จะบอกว่าฝ่าบาทเป็นขุนนางจากสหพันธ์เครส-เซ็นต์ลูน่าที่มาโดยไม่เปิดเผยตัวตน เพื่อมาเจอกับขุนนางอาณาจักรอามิเทีย ดังนั้น ข้าขอร้องให้ท่านช่วยรักษาเรื่องนี้เป็นความลับด้วยครับ เพื่อไม้ให้เรื่องมันกลายเป็นปัญหาระดับประเทศ”
เขาพูดเช่นนั้นก่อนที่เขาจะยื่นจดหมายมาให้ผม
“สหพันธ์เครส-เซ็นต์ลูน่า? มีประเทศแบบนั้นอยู่ด้วยหรอ?”
“มีครับ แม้ว่าอาณาจักรอมิเทียจะเป็นประเทศขึ้นตรงต่อตัวเอง แต่เราก็ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากจักรวรรดิกราวิโอที่ขัดแย้งกับสหพันธรัฐอยู่ ถ้าเราให้จดหมายแบบนี้ไป ทั้งกิลด์และนักผจญภัยที่นั่นคงจะหลีกเลี่ยงไม่เข้ามาพัวพันมาเกินเหตุครับ”
“หืม ฟังดูวุ่นวายจังนะ ว่าแต่เรามีคำถาม ถ้าเราผ่านไปได้ด้วยบัตรผ่านอยู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากนักผจญภัยไม่ใช่หรอ?”
ถ้าเราไปขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่ตัวตนจะถูกเปิดเผยไม่ใช่หรอไง
ได้ยินแบบนั้น หัวหน้ากิลด์ตอนราดก็ถอนหายใจยาว
“ฝ่าบาท ข้าคาดหวังว่าท่านไม่ได้วางแผนจะเดินเท้าผ่านประตูเมืองหลวงสินะครับ?”
“…เช่านกอีมูขี่จะไม่ดูเป็นธรรมชาติกว่าหรอ?”
“ไม่ว่าจะนกอีมูหรือขี่ม้าไปก็ไม่ธรรมชาติทั้งนั้นแหละครับ! ไม่ว่าจะดูยังไงท่านก็เป็นขุนนางขั้นสูงไม่ก็บุคลในราชวงศ์แล้วครับ ต่อให้จะเดินทางแบบปกปิดตัวตน ไม่ว่าใครก็จะเดินทางด้วยรถม้าและมีคนเฝ้าระวังให้กันทั้งนั้น!”
เขาพูดเสียงแข็งจนน้ำลายกระเด็น แต่ผมก็เห็นด้วยกับเขาในใจนะ
ผมพึ่งจะคิดไปเมื่อกี้เองว่าต้องระวังให้ดี แต่ก็เกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว
ช่างโง่งมจริงๆ ผมไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งมีคนคอยบอก
“เทียบกันแล้ว หัวหน้ากิลด์ตอนราดช่างเข้าใจเรื่องราวได้ดีมากนะ นายจะเป็นเจ้าสาวที่ดีได้แน่”
“ทำไมผมเป็นเจ้าสาวละครับ?! ผมต้องเป็นคนได้รับเจ้าสาวสิ!”
“อ๋า ถ้าเป็นหัวหน้ากิลด์ละก็ ยังไงก็เหมาะกับการเป็นภรรยาอยู่ดี งานบ้านก็ออกจะเรียบร้อยนี่นา”
หัวหน้ากิลด์ครวญออกมา ดูท่าเขาจะพอรู้ตัวอยู่บ้างสินะ
“นะ-นั่นมัน ถ้าต้องเป็นชายโสดจนอายุ 30 มันก็ต้องทำงานบ้านเป็นบ้างแหละน่า.. แต่ฝ่าบาทเถอะ ท่านควรฝึกเย็บปักบ้างนะ นั่นนะเป็นเรื่องสำคัญสำหรับท่านหญิงทั้งหลายนะ”
เขาพูดเหน็บผมกลับมา ดูท่าคงจะคิดว่าผมเป็นพวกสมองกล้ามที่ทำได้แค่สู้สินะ? ศักด์ศรีผมเจ็บหน่อยๆเลยนะ
“เราปักผ้าได้ เย็บผ้าเป็น ทำอาหารและทำความสะอาดได้ปกตินะเออ”
ยังไงซะผมก็โดนใช้ทำงานเหมือนเจ้าหญิงตัวน้อยๆตั้งแต่ประถม แล้วหลังจากนั้น พอย้ายมาอยู่คนเดียวผมก็ทำอะไรๆเองหมด …ลองมาคิดดูความรู้สึกที่จะไม่ ‘พึ่งพาคนอื่น’ นะเป็นข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวงของผมเลย
“ด้วยความเคารพนะครับ ได้เห็นด้านนั้นของฝ่าบาทเนี่ยแปลกที่สุดแล้ว”
หยาบคายจังนะ
“ถ้าอย่างนั้น ต่อให้เป็นการเต้นรำท่านก็คงมีประสบการณ์มามากแล้ว—”
“เราไม่มีหรอกนะ แต่ก้ไม่เห็นเป็นไรนี่? ก็แค่จะไปเจอเจ้าชายลับๆเท่านั้นเอง ไปเป็นดอกไม้ประดับกำแพงก็พอ”
หลังจากทำหน้าตาตะลึงไปซักพัก จู่ๆหัวหน้ากิลด์ก็ลุกพรวดขึ้นมา และทำหน้าซีดอย่างไร้เหตุผล
“ไม่ล้อเล่นสิครับ! มันเป็นเรื่องอับอายมากเลยนะที่จะไปงานเต้นรำแต่ไม่เต้นซักเพลงนะ!”
แล้วหน้าเขาก็แดงขึ้นมา ก่อนที่จะเริ่มขยับเอาโต๊ะทำงาน เก้าอี้ และโต๊ะกาแฟไว้ตรงมุมห้อง
“ก็ไม่นิ เราแค่อายๆนิดหน่อย ไม่เห็นจะต้องให้หัวหน้ากิลด์มาคอยห่วง..”
“ถ้าข้าไม่รู้มันก็อีกเรื่อง แต่เมื่อข้ารู้แล้ว และในฐานะสุภาพบุรุษข้าปล่อยท่านออกไปโดยไม่พูดอะไรไม่ได้หรอก!”
เขาพูดด้วยเสียงหนักแน่น จนผมต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน
“ขะ-ขนาดนั้นเลยหรอไงเล่า..?”
“ขนาดนั้นแหละครับ! เอาละฝ่าบาท โปรดลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ เราไม่มีเวลามากนัก เพราะงั้นก็เอาแค่สเตปพื้นฐานก่อนแล้วกัน มาเริ่มได้แล้วครับ!”
เขาพูดพลางเอากล่องดนตรีออกมาจากตู้ เปิดและเริ่มเล่นเพลง
“..เอ่อ จะเริ่มตอนนี้ตรงนี้เลยอะนะ?”
“แน่นอนครับ! ข้าบอกแล้วไงว่าเราไม่มีเวลาแล้ว! ตอนนี้ก็ลุกขึ้นมาแล้วทำตัวให้ชินซะนะครับ!!”
“อุหว๋า–…”
◆◇◆◇
แสงไฟในห้องของหัวหน้ากิลด์แห่งเมืองอาระสว่งาจนกระทั่งดึกดื่น
เสียงของกล่องเพลงและเสียงของคนมากกว่าหนึ่งคนเคลื่อนที่ไปรอบๆอย่างลนลง
แล้วก็มี—
“ผิดแล้วครับ นี่ต้องนับ 4 จังหวะ!”.
“ท่านก้าวไวไปแล้ว! ไม่ต้องตามเสียงเพลง แต่ตามคู่เต้นสิครับ!”
“1 2 3 1 2 3- 1 2 -1 2 ไงครับ ไม่ได้ยินหรือไง!”
หลังจากนั้นก็มีข่าวลือกระจายไปทั่วว่าได้ยินเสียงตะคอกของหัวหน้ากิลด์ดังก้องไปตลอดทั้งคืน โดยที่มีเสียงราวกับจะร้องไห้ของเด็กสาวตอบกลับคลอมาด้วย
เห็นมีคนงง ฮิยูกิจะแทนตัวว่าเรา และจะคิดในใจว่า ผม นะคะ
(ยุ่นใช้ วาตาชิ และคิดในใจเป็น โบคุ จะแปลว่าฉัน ,ชั้น ก็ดูไม่ห้าวไม่สมเป็นผู้ปกครองแสนยิ่งใหญ่เท่าไหร่คะ 555)
ในนิยายส่วนใหญ่คนที่คิดในใจจะเป็นฮิยูกิเสมอ นานๆครั้งจะเปลี่ยนไปมุมมองคนอื่น (เช่นมุมมองของโจอี้)
แต่มุมมองคนอื่นก็จะคิดในใจว่า ข้า อยู่ดีคะ แทนตัวว่าข้า ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเห็นคำว่า ผม แน่ใจได้เลยว่าฮิยูกิพูดแน่นอนคะ
(ยกเว้นเผลอพิมพ์ผิด แปลเพลินๆแล้วใช้แทนตัวว่าผม อย่างเช่นบทนี้เป็นต้น ตอนแปลอยู่เผลอใช้คำว่า ผม ทั้งตอน นั่งอ่านใหม่แก้ใหม่ทั้งเซ็ทเลยยย
ถ้ามีหลุดไปก็เตือนกันได้นะคะ ฮาาา)
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนให้กำลังใจคนเบลอแปลเพี้ยนด้วยคะ ฮาาา
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ