[นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru - ตอนที่ 13 บทที่ 1 ตอนที่ 13 ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
- Home
- All Mangas
- [นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru
- ตอนที่ 13 บทที่ 1 ตอนที่ 13 ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
“กิลส์ เดอ เรยส์ [กุหลาบแห่งคนบาป]!”
ในมือขวาของผม ดาบแสนรักอยู่ในมือนั้น มันคือดาบสีดำสนิทที่โปรงแสงเล็กน้อย ดาบเล่มนี้ไม่ได้มาจากเควสพิเศษหรือเป็นของดรอบบอส แต่ถูกช่างตีดาบสร้างขึ้นมา –ดาบที่แข็งแกร่งที่สุดจากการเสริมแกร่ง 10 ครั้งที่ล้มเหลวไปแล้วกว่า 1000 ครั้ง แต่ในที่สุดผมก็สามารถสร้างดาบที่มีความแข็งแกร่งเป็น 1 ใน 5 ของเซิฟเวอร์ – ผมกวัดแกว่งดาบไปมาเล็กน้อย ก่อนจะจับให้มั่นเหมาะ
จะว่าไป มันก็มีไอ้บ้าอยู่คนนึงเหมือนกัน เป็นคนที่คลั่งพอที่จะเสริมพลังถึง 8 ครั้งให้ดาบเลเวลโครตสูงที่ดรอบจากบอสเลเวล 120 เล่ม 1 จาก 2000 ครั้ง (เขาเป็นสมาชิกกิลด์ของผมด้วยนะ! และพวกเราหยุดเขาไว้ก่อนเจ้าหมอนั่นจะเสริมพลังครั้งที่ 9 ) เพราะงั้นผมก็เลยเอาไปอวดมั่วซั่วไม่ได้ว่าดาบของผมดีที่สุดนะ
“แอนน์ ออฟ ไกเออร์สไตน์ [กุหลาบแห่งสงคราม]”
ชุดที่ผมใส่หายไป และถูกแทนที่ด้วยเกาะอกที่มีดีไซส์สีดำและดอกกุหลาบคล้ายๆกัน(แน่นอนว่าถูกสร้างด้วยคนเดียวกันอยู่แล้ว) แต่ชุดนี้เปิดบริเวญกระดูกไหปลาร้าออกกว้าง และชายกระโปรงก็สั้นขึ้นมาจนอยู่แค่เหนือเข่า
แน่นอนว่านี่เองก็เป็นเกราะระดับสูงสุดของอาชีพนักดาบเช่นกัน มันผ่านการเสริมพลังมาแล้วถึง 8 ครั้ง (แต่ผมก็ยอมแพ้ไประหว่างทางนะน่ะ) นี่คือสุดยอดเครื่องสวมใส่ แอนน์ ออฟ ไกเออร์สไตน์ [กุหลาบแห่งสงคราม]ที่จะเพิ่ม AGI (ความว่องไว) หรือความเร็ว และ CRT (อัตราการโจมตีคริติคอล) ที่จะเพิ่มความแม่นยำในการโจมตี
“เลวีองโรส [พรแห่งกุหลาบ]”
กระเป๋าที่ห้อยอยู่แถวเอวหายไป และถูกแทนที่ด้วยปีสีดำสนิทงอกออกมาจากหลังของผม
นี่ไม่ใช่การแปลงร่างแต่อย่างใด แต่ เลวีองโรส [พรแห่งกุหลาบ] ของผมนั้นคือไอเทมดรอบบอสที่มีชื่อว่า [ผ้าคุลมของราชาคราม] ด้วยแรงงานของช่างฝีมือ มันจึงถูกเปลี่ยนไปเป็นเกราะหลังที่มีหน้าตาเหมือน [ปีกของเทวดาที่ร่วงหล่น]ที่เป็นกาชาเติมเงิน มันเป็นไอเทมที่แสนสะดวกที่ช่วยเพิ่ม AGI ,DEX (ความคล่องแคล่ว/ความชำนาญ) และ MAG.A (พลังโจมทีทางเวทย์มนต์)
“ไอเซนด์ ยุนเฟรา [กุหลาบเหล็กไหล]”
ถุงมือยาวคู่หนึ่งปรากฏขึ้นมาบนแขนของผม แต่อันที่จริงมันคล้องอยู่กับนิ้วกลางเพียวนิ้วเดียว ในขณะที่นิ้วที่เหลือเปิดโล่ง และคลุมตั้งแต่ข้อมือยาวไปจนถึงต้นแขน
ถุงมือถูกตกแต่งด้วยดอกกุหลาบสีแดงและเถาวัลย์เกาะเกี่ยวขึ้นไป
แม้จะมีหน้าตาแบบนี้ แต่เจ้านี่ถูกจัดให้อยู่ในหมวดของโล่ และเพิ่มAGI กับ VIT (พลังชีวิต) ขึ้นเป็นจำนวนมาก แถมยังเป็นอุปกรณ์ส่วนตัวของผมด้วย
นอกจากนี้ผมก็เปลี่ยนอุปกรณ์ชิ้นอื่นๆที่เข้ากันด้วยอย่างเช่น เครื่องประดับผม ต่างหู สร้อยคอ และรองเท้า ก่อนที่เทนไกที่ตามหลังผมมาจะคำรามขึ้น เปล่งลำแสงระยิบระยับ และเปลี่ยนร่างกลับมาเป็นมนุษย
แต่เขาไม่ได้อยู่ในชุดทักซิโดตัวเก่งของเขา แต่กลับเป็นชุดคล้ายนักดาบมาพร้อมด้วยเกราะสีทองและดาบใหญ่ (เครื่องสวมใส่ที่ดีที่สุดของสัตว์เลี้ยง เช็ท [ผู้ปกครองสูงสุด])ที่ทำเอาผมคันปากอยากถามเขาจริงๆว่านี่เป็นราชามาจากที่ไหนหรือเปล่า
ในเวลาเดียวกัน ร่างเงา 3 ร่างร่อนลงมาจากบนฟ้า ทั้งหมดรวมถึงเทนไกยืนในลักษณะปกป้องผมจาก 4 ทิศ โดยมีผมอยู่ตรงกลาง ทั้งหมดก็คุกเข่าลง
“มาช้ากันจริง มิโคโตะ โคคุโย อุสึโฮะ”
ทั้งสามคนก้มหัวให้กับน้ำเสียงไม่พอใจของเทนไกอีกครั้ง และมิโคโตะ –ผู้ที่ไม่ได้สวมชุดเมดดั้งเดิมของเธอ แต่เป็นชุดพร้อบรบ เกราะรัดรูปที่เปล่งประกายสีเงินนั้นไม่ใช่ทั้งผ้าและโลหะ รองเท้าบูทยาวทำจากวัสดุเดียวกัน ถุงมือยาวจนถึงต้นแขน ที่คาดผมโลหะ และในมือขวาของเธอถือคทาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงยิ่งกว่าความสูงของตัวเอง– ตอบแทนคนอื่นๆ
“พวกข้าต้องขออภัยอย่างสุดซึ้งคะองค์หญิง”
“เพราะนี่เป็นการรบครั้งแรกกับองค์หญิงหลังจาก 100 ปี ไม่ใช่แค่เหล่านายพลโต๊ะกลมเท่านั้น แต่ทุกคนในปราสาทที่ทราบเรื่องต่างยืนยันจะมาให้ได้ แล้วการประชุมก็เลยลากยาวเจ้าคะ”
อุสึโฮะเองก็อยู่ในร่างคนตามปกติ (เมื่อเธอเอาจริง เธอจะกลางร่างเป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหางที่มีความยาวกว่า 50 เมตร) เธอสวมชุดมิโกะ – ที่มีหูจิ้งจอกสีขาวอยู่บนหัว และหางจิ้งจอกสีขาวเก้าหางโผล่ออกมาจากใต้กิโมโน– เธอถือพัดอันโปรดปิดบังริมฝีปากเอาไว้ และตอบเทนไกอย่างไม่ใส่ใจ
“ฮึ่ม เสียหายไปขนาดไหนละ?”
เทนไกส่งตาตาไปยังโคคุโย ผู้ที่อยู่ในชุดเกราะเต็มตัวสีเข้มเสมอมา เขาถือหอก และโล่พาร์วิสขนาดใหญ่กว่า 1.5 สีเดียวกันมาด้วย
ว่าแต่ความเสียหายคือ…?
“ไม่มีปัญหา ข้าไม่ได้รุนแรงอะไร ก็เลยไม่มีใครตาย”
“แต่ว่าห้องโถงใหญ่ของปราสาท ห้องเล็กใกล้เคียง โถงทางเดิน และกำแพงส่วนใหญ่ถล่มลงมา”
เดี่ยวก่อนนะ!! นี่คือกะว่าจะคุยด้วยหมัดเป็นเรื่องปกติกันแล้วงั้นหรอ?!
“เข้าใจละ ถ้าความเสียหายเล็กน้อยขนาดนั้น ก็ไม่ใช่ปัญหา”
ไม่ละ ผมว่านั่นนะปัญหาใหญ่เลยนะ!
ผมอยากโวยวายออกไปเหมือนกันนะ แต่พอมาคิดถึงสิ่งที่ผมกำลังจะทำต่อไป จะถูกบอกว่า “ท่านนะไม่มีสิทธ์พูดอย่างนั้นหรอกนะ” ก็ไม่แปลก ผมก็เลยต้องยั้งไว้นะสิ
แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ เห็นพวกเขาคุยกันสบายๆอยู่ก็จริง แต่ระหว่างที่พูดกันนั้นเหล่าปีศาจภายใต้การสั่งการของออร์คคิงก็กระโจนใส่พวกเขาไม่หยุด แล้วทั้งสี่คนก็ฆ่าเจ้าพวกนั้นในทันทีโดนไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง ราวกับกำลังปัดมือไล่แมลงอยู่อย่างนั้น
เทนไกนั้นได้รับการเสริมพลังโจมตีเข้าไปมากที่สุดในหมู่ข้ารับใช้ของผม
มิโคโตะเป็นคนที่มีความสามารถในการรักษาสูงที่สุด (แต่เหล่าข้ารับใช้ไม่สามารถชุบชีวิตได้นะ)
โคคุโยนั้นมีHPสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 รองมาจากเทนไก และ VIT ที่โดดเด่นกว่าใครอื่น นอกจากนี้ยังมาคุณสมบัติความมืดที่เหนือกว่าธาตุอื่นๆทั้งหมดยกเว้นแสง นั่นทำให้เขาเป็นกำแพงที่แข็งแกร่งที่สุด
อุสึโฮะเป็นประเภทหลากความสามารถ ที่สามารถใช้คุณสมบัติได้ทุกธาตุ ยกเว้นธาตุแสงและความมืด
และชุดเซ็ทเครื่องสวมใส่ที่เหล่า 4 ราชามารสวรรค์ใส่อยู่นี้ ปกติแล้วเอาไว้สู้ในสนามรบที่เวเลวสูงกว่า 90 เพราะงั้นตอนนี้มันก็ออกจะเกินไปซักหน่อย…
ม่า เอาเถอะ คนที่แข็งแกร่งกว่าก็ดีกว่าอยู่แล้วนี่ ช่างมันแล้วกัน
“–เอาละ การพูดคุยที่เฝ้ารอกันมานาน(สงคราม)ก็อยู่ตรงนี้แล้ว อาจจะไม่น่าพอใจไปซักหน่อย แต่เราจะไปดูเจ้าออรค์คิงนั่นซักหน่อย”
““ –ครับ/คะ””
ทั้งสี่คนลุกขึ้นโค้งคำนับ
เอาละ ราชาปีศาจที่เราจะไปคุยด้วยอยู่ไหนน้า?
“…….”
หาด้วยสายตาคงจะไม่ไหวแฮะ งั้นผมเข้าไปตรงที่มีมอนเตอร์เยอะๆแทนแล้วกัน
10 นาทีต่อมา—-
ผมหลงทางซะแล้ว
ที่นี่กว้างชะมัดเลย! ในเกมผมเดินจากฝั่งนึงไปอีกฝั่งได้ภายใน 5 นาทีเลยนะ.. ว่าแต่ เจ้าราชาปีศาจนั่น ไม่คิดจะขยับตัวเลยหรอไงนะ?
แม้ว่าผมจะมี [สร้างแผนที่อัตโนมัติ]ก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะไม่มีการบอกตำแหน่งของคนอื่นๆนะสิ
ถ้ามีสกิลตรวจจับของพรานก็คงจะทำอะไรซักอย่างได้แหละ
…เอาเถอะ จะมาถามหาในสิ่งที่ไม่มีก็ไม่ได้อะไร งั้นก็คงต้องย้อนกลับไปใช้แผนดั้งเดิมสินะ
“—-เทนไก”
“ครับ–!!”
“เราไม่อยากเดินแล้ว เราจะวิ่ง ถ้ามีตัวไหนหลุดไปก็ฝากด้วยละ”
“!!”
(ขออนุญาตย่อฉายานะคะ)
เหล่า 4 ราชามารเกร็งตัวขึ้นทันทีที่เข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร แต่ผมก็ไม่ได้รอคำตอบกลับ และพุ่งตัวออกไปเร่งความเร็วสูงสุดในทันที
“เอาละ ใครอยากตายก็เข้ามา!”
โดยปกติแล้ว ในเกม MMORPGs ปัจจุบันนี้การ PK (Player Kill ฆ่าผู้เล่นด้วยกัน)นั้นทำไม่ได้แล้ว (แต่ก็จะมีเซิฟที่เปิดให้ทำได้อยู่) และการ PvP (ผู้เล่นสู้กันเอง) หรือต่อสู้แย่งพื้นทีนั้นจะต้องได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่ายก่อน ซึ่งผมเองไม่ค่อยชอบทำแบบนั้นเท่าไหร่
เพราะที่อยู่หลังจอมอนิเตอร์นั่นก็มนุษย์ทั้งนั้น มันเลี่ยงให้ไม่เกิดความแค้นหรือความอิจฉาไม่ได้หรอก
ส่วนใหญ่แล้วผมถึงเลือกที่จะสู้กับ AI แต่ก็มุ่งเป้าไปยังบอสที่ค่อนข้างท้าทาย และสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้เล่นในสู้กับบอส คำตรงๆก็คือ “ถึกแค่ไหน”
คุณสามารถทนรับการโจมตี และยังโจมตีกลับไปได้นานแค่ไหน?
หรือ ในตอนที่ผู้เล่นหลายคนรวมมือกันโค่นศัตรูทรงพลัง คำที่บอกว่ากุญแจสู่ชัยชนะหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับคนที่เป็นเป้าการโจมตี (เรียกว่าแทงค์หรือตัวล่อ) และทำตัวเป็นโล่ให้กับคนอื่นๆนั้นไม่เกินจริงเลยซักนิด
อาจจะเกินจริงไปบ้าง แต่การที่มีบทบาท [ป้องกัน] [ฟื้นฟู] และ [โจมตี] ทั้งสามอย่างนั้นสร้างความมั่นใจกันได้คนละระดับเลย อืม แต่ก็มีบางอาชีพที่ต้องเจอโชคร้ายเพราะเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน
แล้ว อาชีพของผมคือ [ปรมาจาร์ยดาบ] กับ [เซนต์(นักบุญ)] ดูๆแล้วก็เหมือนจะมีประโยชน์ในบทบาท [ฟื้นฟู] และ [โจมตี] แต่ว่าตรงนี้เองที่เผ่าของผม [เจ้าหญิงแวมไพร์] ย้อนมาเล่นงานเข้า
เพราะสถานะพื้นฐานของเผ่า [เจ้าหญิงแวมไพร์] นะเหมาะสำหรับนักเวทย์หรือนักฆ่านะสิ เผ่านี้นะมี MAG และ INT สูงเท่ากับเผ่านางฟ้า และมี DEX กับ AGI สูงที่สุดในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมด ในทางกลับกัน STR และ VIT ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ [ความถึกทน] นั้นมีค่าเท่ากันหรือต่ำกว่าของเผ่ามนุษย์ด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าอ่อนยวบยาบแถมบางหยั่งกับกระดาษแนะ
เพราะงั้นผมก็เลยเป็น [โจมตี] ไม่ได้ และถ้าจะเป็น [ฟื้นฟู] ก็มีปัจจัยสำคัญคือจะต้องทนอยู่รักษาเพื่อนโดยไม่ตายก่อนให้ได้ เพราะงั้นแล้ว [ความถึกทน] ก็เลยสำคัญ ซึ่งเรื่องนั้นผมก็เป็นไม่ได้เช่นกัน
แล้วผมก็คิดได้
ถ้าหาก ถ้าตราบใดก็ตามที่ไม่โดนโจมตี งั้นก็ไม่มีปัญหานะสิ?
เพราะงั้น แทนที่จะใช้คะแนนอันมีค่าไปกับ VIT ผมเลือกที่จะลงทุนในจุดแข็งตามธรรมชาติของเจ้าหญิงแวมไพร์ นั่นคือ DEX และ AGI เพิ่มมันให้ถึงเลข 99 พร้อมด้วยอุปกรณ์เพิ่มค่าสถานะ ผลก็คือ ความเร็วและอัตราการหลบหลีกของผมพุ่งพรวดพราดจนน่ากลัว
จะว่าไป สำหรับข้ารับใช้ สถานะจะแสดงเฉพาะตัวเลขของ HP, MP, ดาเมจ และการโจมตีด้วยเวทมนตร์เท่านั้น ผมไม่ได้ตรวจสอบสถานะทุกคนหรือ แต่ว่านะ แม้พวกเขาจะเลเวลอัปแล้ว ผมก็น่าจะยังเร็วที่สุดในอาณาจักรอิมพีเรียลคริมสันอยู่ดี
ทว่า ไม่ว่าตัวเลขนั้นจะมากแค่ไหน ถ้าใช้ให้ดีไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์
ฝูงออร์คยืนขวางอยู่เบื้องหน้า และเทงไกที่ไล่ตามมาข้างหลัง ปลดปล่อยสายฟ้าออกจากฝ่ามือ มีโคโตะเองก็ปล่อยรัศมีแสงออกมาเช่นกัน แต่มันช้าไป!
ผมพุ่งเข้าไปยังใจกลางฝูงออร์ค เหวี่ยง[กิลส์ เดอ เรยส์]ออกไปเพียงครั้งเดียว ก็จัดการศัตรูที่อยู่ใกล้ๆได้หลายตัว ระหว่างนั้นก็ปลดปล่อยเทคนิคดาบ “เจ็ดดาบล่องสวรรค์” (ดาบจะแยกออกไปเป็นเจ็ดเล่ม และทำให้จัดการศัตรูหลายตัวได้ด้วยตัวคนเดียว) ออกไปด้วย แล้วพอผมวิ่งผ่านไปแล้ว สายฟ้าและรัศมีแสงก็วิ่งมาถึงเป้าหมายเสียที
“โอ้ นี่แหละองค์หญิงของพวกเรา! ขนาดเมื่อก่อน ในบรรดาผู้สืบเชื้อสายพระเจ้าทั้ง 150 คน ก็มีท่านเพียวคนเดียวที่หลบสายฟ้าของข้าได้ทั้งหมด!”
เทนไกเปล่งเสียงออกมาด้วยความชื่นชม
อา เดิมทีแล้วใน E.H.O มีการตรวจสอบของระบบที่เข้มงวดมากในเรื่องของจุดที่การโจมตีของเราไปโดน หรือการพยายามโจมตีบริเวณจุดอ่อน แต่ทว่าระบบนี้มันเข้ากันกับผมเอามากๆ ในระหว่างอีเว้นการรุกรานของนาคราช จาก 150 คนที่เกิดใหม่จนเวลเต็มครบ 3 ครั้ง ผมเป็นคนเดียวที่สามารถหลบฝนสายฟ้าที่ปล่อยออกมาได้ทั้งหมด
แต่ก็น้า ผลสรุปในตอนนั้นคือได้รับคอมเม้นที่แง่ลบอยู่นิดหน่อย อย่างเช่น ‘มาจากอนาคตหรอไง?!’ ‘การเคลื่อนไหวแบบนั้นแม่งโครตจะผิดปกติเกินไปแล้ว’ และ ‘ขี้โกงถูกกฏหมาย’
เพราะงั้นผมเลยคิดว่าถ้าเป็นการต่อสู้แบบยืดเยื้อละก็ ผมน่าจะปราบบอสได้เกือบทั้งหมดเลยแหละ (แต่ไม่ใช่กับเทนไก พลังโจมตีของ กิลส์ เดอ เรยส์ กับพลังฟื้นฟูของเขาแทบจะเท่ากัน ผมตั้งสมาธิจดจ่อนานขนาดนั้นไม่ไหวหรอก) แต่เกราะของผมยังคงบางเป็นกระดาษอยู่ดี รับการโจมตีซัก 1 หรือ 2 ทีผมก็ตายแล้ว เพราะงั้นผมก็เลยผวาอยู่ตลอดตอนที่ยังอยู่ในปราสาท ที่นี่ไม่มีโอกาสให้ได้สงบสติเลยซักครั้ง
และในขณะที่ผมกำลังจัดการ –หรือจะเรียกว่าล้างบางก็ได้– ผมก็สังเกตเห็นกลุ่มออร์คตัวโตที่ดูท่าทางหยิ่งผยองล้อมรอบออร์คตัวนึงอยู่ แต่พอดูหน้าต่างสถานะ มันบอกว่า [นายพลปีศาจ ออร์คลอร์ด] อา เจ้าพวกนี้ก็เป็นตัวอาราขาราชางั้นสินะ? เจ้าตัวที่ถูกล้อมนั้นดูทะนงยิ่งกว่า ขนาดใหญ่กว่าถึง 2 เท่า มีเขา 5 เขาและสวมเกราะอกเอาไว้
เจ้านั่นต้องเป็นออร์คคิงแน่ๆ
แต่ก็ต้องเช็คหน้าต่างสถานะเอาไว้เผื่อ….
“–กะ-เกิดอะไรขึ้นครับองค์หญิง?!”
เทนไกรีบร้อนเข้ามารับตัวผมที่สะดุดล้มจวนจะล้มเอาไว้
อ๋า จะว่ายังไงดีนะ…ผมได้เห็นอะไรที่ไม่น่าเป็นไปได้เข้า ก็เลยช๊อคไปชั่ววูบนะ
—
เจ้าหญิงออร์ค
เผ่า : เจ้าหญิงออร์ค
ชื่อ: โซเฟีย
พลังชีวิต: 1,800,000
พลังชีวิต: 520,000
*หากยังไม่แต่งงานเป็นเจ้าหญิง หลังจากแต่งงานแล้วจะกลายเป็นราชินี
—
“เอ่อ.. เธอเป็นผู้หญิงงั้นหรอ?”
ได้ยินดังนั้นสีหน้าของออร์ค 5 เขาก็ครื้มลง เธอคำรามตอบกลับมาง
“แหงสิ! ตรงไหนกันที่ดูเป็นผู้ชายนะ!!”
…ขอโทษด้วยครับ แต่ว่า ใบหน้าสุดขรึมขนาดนั้น กล้ามเนื้อแข็งเป็นหินขนาดนี้ ไม่ว่าจะดูยังไงผมก็แยกไม่ออกครับว่าคุณเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
“ช่างมันละกัน –เอาละ เจ้าหญิงออร์ค เรามีนามว่าฮิยูกิ และเราคือผู้ปกครองหนึ่งเดียวและนิรันด์กาลของอาณาจักรอันชั่วร้าย ‘อิมพีเรียลคริมสัน’ เราจะให้สองตัวเลือกแก่เจ้า เราจะมอบความกลัวหรือพลังอำนาจให้นั้น ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าว่า จะสาบานตนภายใต้ดาบของเรา หรือจะต่อต้านแล้วเอาชีวิตไปทิ้งก็ย่อมได้”
“อย่ามาตลก!!”
ไม่ทันจะพูดจบดี ออร์คอารักขา 3 ตัวก็พุ่งเข้ามาหาผมด้วยความโกรธา แต่เมื่อหอกของโคคุโยกวัดแกว่ง สองตัวก็ร่างระเบิดกระจายจนไม่เหลือ และอีกตัวนึงนั้น
“ช่างไร้อารยะเสียจริง!”
เมื่ดพักของอุสึโฮะโบกสะบัด เปลวไฟสีน้ำเงินเข้มก็เข้าปกคลุมออร์คตัวนั้นหายไปไม่เหลือแม้แต่ขี้เถ้า
ผมก็ชี้ปลายดาบ กิลส์ เดอ เรยส์ ไปยังเจ้าหญิงออร์ค
“เราขอฟังคำตอบหน่อยสิ เจ้าหญิงออร์ค? จะเชื่อฟัง หรือจะตาย?”
“กรรร…”
เจ้าหญิงออร์คดิ้นรนอยู่ชั่วขณะ แต่แล้วเธอก็โยนขวานรบอันยักษ์ที่ถืออยู่ลง และคุกเข้า
“ข้าจะเชื่อฟัง”
“อื้ม เป็นตัวเลือกที่ดี เราและ ‘อิมพีเรียลคริมสัน’ ยินดีต้อนรับด้วยความเต็มใจ”
อา ดีจัง ว่าแล้วจบเรื่องด้วยการพูดคุยจากทั้งสองฝั่งที่พูดรู้เรื่องนี่ดีที่สุดจริงๆ
อ่า แต่ว่าแถวนี้มีทะเลเลือดอยู่ด้วยหรอ แต่แบบนี้เรียกว่าป้องกันตัวเองก็ได้อยู่ละมั้ง ใช่แหละ
“อย่าได้กังวลไป ตราบใดที่เจ้ายังเชื่อฟังองค์หญิง ก็จะมีสนามรบและชัยชนะอันหอมหวานรอเจ้าอยู่แน่นอน”
“อื้ม มาครอบครองทุกสิ่งในโลกนี้ และขึ้นไปยังจุดที่สูงกว่านี้ไปพร้อมกับองค์หญิงของเรากันเถอะ”
ได้ยินคำพูดของเทนไกและอุสึโฮะ เจ้าหญิงออร์คก็มีทีท่าไม่เข้าใจ
อื้ม ผมเข้าใจเธอนะ ตัวผมเองไม่อยากจะเชื่อที่สุดเลยแหละ
“–แต่ทว่า แม้ 4 ราชาจะลงมาด้วยตัวเองก็เถอะ แต่แค่นี้ช่างไม่น่าพึงใจเลย”
โคคุโยพยักหน้าแรงๆเห็นด้วยกับคำบ่นของอุสึโฮะ
“ฮึ่ม แต่มนุษย์เองก็ไม่ได้ดีกว่าซักเท่าไหร่ – แต่ข้าจำได้ว่ามีดันเจี้ยน และภูเขาที่มังกรขาวอาศัยอยู่ใกล้ๆนี้”
“ดันเจี้ยน ช่างเป็นความทรงจำอันน่าคิดถึง และมังกรเองก็น่าจะสนุกไม่น้อย”
“เหล็กต้องตีตอนร้อนๆสิ! ไปกันตอนนี้เลยเถอะ –เจ้าเด็กใหม่ มากับเราด้วย ให้ดวงตาและจิตวิญญานของเจ้ารับรู้ไว้ซะว่าคำพูดของพวกเราไม่ใช่แค่คำโป้ปดหลอกลวง”
…ไอ้อีเว้นท์ปัจจุบันทันด่วนนี่มันอะไรกัน?
“องค์หญิง ไปกันครับ”
เดี๋ยวสิ บอกว่า “ไป” นี่ ผมต้องไปด้วยงั้นหรอ..?
ตอนนี้ผมเหนื่อยใจจะแย่ อยากกลับไปพักแล้วงะ – ซึ่งหมายความว่าต้องกลับไปปราสาท
ปราสาทที่โดนทำลายไปครึ่งนึงแล้วก็ยังมีสงครามแบบตัวใครตัวมันอยู่ด้วย
…บางทีไปล่าดันเจี้ยนหรือบอสพื้นที่อาจจะดีว่าก็ได้นะ
“—ถ้างั้น ก็ไปกันเถอะ”
ท่ามกลางความสิ้นหวัง ผมก้าวนำออกไป
4ราชาเข้าล้อมผมอย่างเคย และเจ้าหญิงออร์คที่เก็บเอาขวนรบขึ้นมา และตามมาอย่างเงียบๆ
สุดท้ายแล้วในวันนั้น พวกเราเข้าพิชิตดันเจี้ยนซากโบราณสถานใกล้ๆกับเมืองอาระ ผู้ปกครองของภูเขามังกรขาว และเข้าครอบครองพื้นที่ทั้งหมดรวมถึงทะเลป่าอย่างหมดจด
——-
ข้อความจากผู้แต่ง
รวมตอนนี้ก็จบบทที่ 1 แล้ว
บทต่อไปเป็นเรื่องของเมืองหลวง แต่จะมีบทส่งท้ายและบทเกริ่นเนื้อเรื่องให้ก่อนละ
โอย ยาวมั่กๆเจ้าคะ ยาวแถมเป็นข้อมูลทางเกมที่แบบ อิ้งแปลน่าจะไม่ครบ ส่วนแปลจากยุ่นก็งงหัวหมุนติ้วๆ เรียบเรียงเป็นภาษาไทยยังไงให้ตัวเองไม่งงดีนะ 55555
ที่ยากยิ่งกว่าคือชื่อ ชื่อชุดของฮิยูกิทั้งเซ็ท-ช่าง-เป็น-เช็ท-กุหลาบ-ที่-ลำบากลำบนอะไรขนาดดด
ขอเริ่มจาก “กิลส์ เดอ เรยส์ [กุหลาบแห่งคนบาป]!” Gilles de Rais เขียนภาษาไทยว่า ฌีล เดอเร เขาเป็นเพื่อนร่วมรบของ ‘โจนออฟอาร์ก’ แต่ตัวตนจริงๆดันเป็นขุนนางฆาตกรข่มขืน(เด็ก)ต่อเนื่องแห่งฝรั่งเศส มีเด็กตายไปมากกว่า 1-200 ราย
“แอนน์ ออฟ ไกเออร์สไตน์ [กุหลาบแห่งสงคราม]” Anne of Geierstein หรือสาวพรหมจารีแห่งสายหมอก(The Maiden of the Mist) (ค.ศ. 1829) เป็นนวนิยายเรื่องหนึ่งเขียนโดย วอลเตอร์ สก็อตต์ เรื่องราวเกิดขึ้นในยุโรปกลางโดยส่วนใหญ่ โดยเชื่อกันว่านักเขียนคนนี้ใช้คำว่า สงครามดอกกุหลาบ/Wars of the Roses แทนคำว่าสงครามกลางเมือง จนคนติดปากไปตามๆกัน (แน่นอนว่าถ้าไปเสิจก็จะเจอข้อมูลแบบมหาศาล เลยขอสรุปคร่าวๆเท่านี้พอคะ)
“เลวีองโรส [พรแห่งกุหลาบ]”La Vie en Rose แปลว่าชีวิตในสีชมพูภาษาฝรั่งเศส และเป็นภาพยนตร์ชีวประวัติ เกี่ยวกับชีวิตของนักร้องชาวฝรั่งเศส แถมยังเป็นภาพยนตร์ฝรั่งเศสที่ทำรายได้สูงสุดในปี พ.ศ. 2550 ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลมากกว่า 20 รายการ เป็นหนังที่ดีมากๆและทำให้หนังฝรั่งเศษได้รับรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกด้วย
“ไอเซนด์ ยุนเฟรา [กุหลาบเหล็กไหล]” Eiserne Jungfrau เป็นภาษาเยอรมัน แปลว่าไอร่อนเมเดน หรือสตรีเหล็ก เครื่องทรมาณหน้าหญิงสาวที่ทุกคนรู้จักกันดีนั่นเอง
ถ้าถามว่าทำไมต้องไปหาข้อมูลขนาดนี้ทั้งๆที่ไม่มีในเนื้อเรื่อง ก็คือเพื่อเช็คว่ากูเกิ้ลไม่ได้มั่ว อิ้งไม่ได้มั่ว แล้วแปลไทยก็ไม่ได้มั่วนะ ไงล่า 5555555T^T5555555
โดยที่ ชื่อที่เป็นกุหลาบแห่ง– ต่างๆนานาอยู่ในกรอบคำพูด แต่บรรดาชื่อต่างภาษาผู้แต่งกำกับเอาไว้ด้านบนอีกที ตัวอย่างเช่น
ジル・ド・レエ → กิลส์ เดอ เรยส์
「薔薇の罪人!」–> กุหลาบแห่งคนบาป
โดยที่หลังจากนี้เวลาแปลจะไม่แปลความหมายกุหลาบแห่ง– ต่างๆแล้วคะ ยาวมั่ก เปลืองวงเล็บ ผู้แต่งยิ่งชอบใช้วงเล็บอยู่ เดี๋ยวจะมีแต่วงเล็บเต็มประโยคนิยาย(ฮา)
สุดท้ายคำว่า เหล็กต้องตีตอนร้อน จริงๆเป็นสำนวนคะ
มันคือ 善は急げ zen wa isoge
สุภาษิตนี้มีความหมายว่า “หากคิดจะทำสิ่งที่ดี ควรรีบทำทันทีโดยไม่ต้องลังเลก่อนที่โอกาสนั้นจะหายไป”
ประโยคเต็มคือ「善は急げ、悪は延べよ」กรรมดีให้รีบทำ กรรมชั่วให้ผลัดไว้ก่อน แต่โดยมากจะย่อเหลือเพียงแค่「善は急げ」
ความหมายใกล้เคียงกับสุภาษิตไทย “น้ำขึ้นให้รีบตัก” และ “ตีเหล็กเมื่อแดง กินแกงเมื่อร้อน”
สาระท้ายบทจบเท่านี้ ขอบคมที่รับชุนเจ้าคะ //ย่อ
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนเป็นกำลังใจหรือจะเป็นค่าชานมไข่มุกให้คนแปลก็ได้ทั้งนั้นคะ (แต่ส่วนใหญ่น่าจะไปลงชานมหมด)
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ