[นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru - ตอนที่ 11 บทที่ 1 ตอนที่ 11 ฉายเดี่ยวเอาเท่แต่ดันโดนฟาดซะงั้น เทเฮะ~
- Home
- All Mangas
- [นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru
- ตอนที่ 11 บทที่ 1 ตอนที่ 11 ฉายเดี่ยวเอาเท่แต่ดันโดนฟาดซะงั้น เทเฮะ~
ตอนที่ 11 ต่อสู้เพียงลำพัง (ชื่อตอนของจริง)
ห่างออกไปทางเหนือคือเทือกเขามังกรขาว และทุ่งหญ้าที่ครอบคลุมไปทั้งตะวันออก ตะวันตก และทิศใต้ของเมืองอาระ
พื้นที่อันราบเรียบ และถนนหลากหลายสายที่วิ่งผ่านตัวเมืองคือปัจจัยสำคัญของการเป็นศุนย์กลางของเมืองค้าขาย แต่ทว่าก็ไม่มีอุปสรรคหรือทางเลี่ยงใดๆเช่นกัน วัสัยที่โล่งกว้างเอื้อต่อการรบเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีตรงไหนให้ใช้กลอุบายได้เลย มีเพียงเข้าปะทะกันตรงๆเท่านั้น
“คูน้ำคงเป็นอย่างเดียวที่เราทำได้สินะ หวังว่าอย่างน้อยเราจะมีเวลาพอให้ขุดนะ..”
กัลด์ รองหัวหน้ากิลด์บ่นพึมพัมกับตัวเองด้วยสีหน้าขมๆ ในขณะที่เขากำลังมองไปยังกองกำลังของศัตรูที่กำลังขี่สัตว์ประหลาดอยู่
แม้ว่าจะถูกนำโดยออรค์คิงก็ตาม พวกมันก็ยังคงเป็นมอนสเตอร์อยู่ดี เขานึกว่ามันจะพุ่งเข้ามาแบบไร้หัวคิด พึ่งพาเพียงแต่สัญชาติณานอย่างเดียวเสียอีก แต่ว่าการเคลื่อนไหวที่ประสานกันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อนั่น ได้ขัดขวางแผนการเดิมของเขา
แผนเดิมคือการสร้างสนามเพลาะเพื่อซ่อนกองกำลังไว้ จากนั้นก็โจมตีศัตรูเป็นกลุ่มจากระยะไกลด้วยธนูและเครื่องยิงหิน เมื่อศัตรูเกิดความสับสน นักเวทย์และผู้ใช้ภูตที่ซ่อนอยู่ก็ให้โจมตีเวทย์มนต์จากระยะกลาง
และจังหวะนั้น นักผจญภัยหลายคนที่ซ่อนอยู่ด้วยกันเพื่อปกป้องเหล่านักเวทย์ก็จะโจมตีเข้าใส่ศัตรู ที่กระจัดกระจายกันไปเป็นกลุ่มๆ
และเมื่อสถานการ์ณวุ่นวายจนถึงขีดสุด แผนคือส่งกองกำลังทหารหลักเข้าไปตัดหัวของออร์คคิง แต่ดูเหมือนว่าพวกมอนสเตอร์ตั้งใจจะใช้ทหารม้าเพื่อเข้าถึงแนวป้องกันให้ไวที่สุด และปิดผนึกเวทมนและพลธนูของพวกเราซะ จากนั้นกองกำลังหลักของพวกมันก็จะพุ่งเข้ามาเพื่อต่อสู้ระยะประชิดที่มันได้เปรียบกว่ามาก
“–คงจะดีกว่าถ้าพวกเราจัดการมันด้วยธนูและเวทย์มนต์ได้ก่อนที่พวกมันจะประชิดเข้ามา”
“ข้าไม่มีประสบการ์ณภาคสนามนะ” กัลด์กลืนน้ำลายขมๆลงคอ ขณะที่คิดถึงหัวหน้ากิลด์ที่ฝากฝังการออกคำสั่งให้เขา และตัวเองก้าวลงไปร่วมอยู่แนวหน้าในฐานะนักเวทย์
แล้ว สายตาของเขาก็พลันเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยท่ามกลางนักผจญภัยติดอาวุธที่จับกลุ่มกันอยู่หน้าศูนย์บัญชาการ – เต้นท์ที่กระจายอยู่ตามที่ราบนี้– เขาตะโกนเรียกคนๆนั้นออกไปตามสัญชาติญาน
“เฮ้ย ไอ้หนู!”
“คะ-ครับ!”
โจอี้ที่ถูกเรียกก็หยุดยืนนิ่งในทันที
“แกทำอะไรอยู่ห๊ะ?!”
กัลด์ รองหัวหน้ากิลด์พูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆขณะที่เขาเดินกระทืบเท้าไปหาโจอี้
“ขะ-ข้ามาเข้าร่วมแนวหน้าเพื่อสกัดมอนสเตอร์ครับ!”
“ห๋า? แกยังเป็นแรงค์ F อยู่ไม่ใช่เรอะไง? คำสั่งรวมพลไม่ได้เรียกรวมแรงค์ E และแรงค์ต่ำกว่านั้นไม่ใช่เรอะ?”
“…มันก็จริง แต่ผมอดทนให้ตัวเองอยู่เฉยๆในเวลาแบบนี้ไม่ได้ อย่างน้อยผมก็แกว่งดาบได้ครับ!”
“แกเป็นได้แค่ตัวถ่วงต่างหาก เด็กเวรแบบแกนะต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเซ่!”
เขาที่เห็นว่านี่คือความเห็นแก่ตัวแบบเด็กๆ จึงพูดใส่ด้วยความหงุดหงิด
“แล้วจะให้ผมไปที่ไหนได้? ศูนย์อพยพในเมืองก็เต็มไปด้วย ผู้หญิง เด็ก คนชรา และคนที่สู้ไม่ได้แล้วนี่? ถ้าเราแพ้ที่นี่ คนพวกนั้นก็โดนมอสเตอร์กินเหมือนกันไม่ใช่หรอไง?”
“อึก…!”
รองกัวหน้ากิลด์ กัลด์ ถูกคำพูดแทงใจจนต้องเงียบไป
เป็นเรื่องจริงที่ส่วนใหญ่ของนักผจญภัยที่เป็นมืออาชีพแล้ว หรือแรงค์ D ขึ้นไป รับคำสั่งระดมพลของกิลด์และเข้าร่วมปฏิบัติการนี้ แต่จำนวนทั้งหมดมีอยู่แค่ราวๆ 7,000 คน ทหารรักษาการณ์อีก 500 นายเพิ่มเติมเข้ามา และอาสาสมัครพลเมืองอีก 2,500 นาย รวมๆแล้วกองกำลังทั้งหมดจึงมีถึง 10,000 นาย ขณะทีมอนสเตอร์ที่มีอยู่ประมาณ 7,000 ตัว ทำให้มีกองกำลังมากกว่าถึง 3,000 นาย แต่ทว่า ตามทฤษฎีแล้ว จะต้องใช้คนถึง 3 คนในการล้มมอนสเตอร์ 1 ตัว
ทำให้ในเวลานี้ จำนวนคนไม่พออย่างสิ้นเชิง
และความเป็นจริงอีกอย่างคือพวกเราต้องการคนเพิ่มขึ้นอีกซักคนก็ยังดี
“..แต่ว่า แกยังเด็กอยู่นะเจ้าหนู ถ้าแกจะวิ่งหนีก็ไม่มีใครว่าแกหรอกนะ”
พอพูดแบบนั้นออกไป โจอี้ก็ทำสีหน้าเหมือนจะหัวเราะก็ไม่ใช่ ร้องไห้ก็ไม่เชิงออกมา
“ก่อนหน้านี้มีอาซังก็พูดกับผมแบบนี้เหมือนกันเลย แล้วก็โกรธด้วย”
“มีอางั้นหรอ..”
รองหัวหน้ากิลด์ที่ปัจจุบันนี้ก็ยังโสด มีอาก็เป็นเหมือนลูกสาวสำหรับเขา และเขาเองก็พยายามย้ำมีอาไปหลายครั้งว่าให้อพยพก่อนสงครามจะเริ่ม แต่เธอก็ดื้อดึงไม่ยอมฟัง และบางที เธออาจจะอยู่แถวนี้ตรงไหนซักแห่ง คอยตรวจดูอุปกรณ์และประสานงานกับทีมพยาบาล
“–แล้วก็นะ” โจอี้ยิ้มอย่างเขินๆ “ฮิยูกิมาหาผมเมื่อเช้าละ”
“อุ..”
กัลด์ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินชื่อนั้น สุดท้ายแล้วฮิยูกิก็หายตัวไป และ จากที่เธอประกาศออกมา ดูท่าทางเธอคงไม่คิดจะช่วยพวกเขาแน่นอน
“เธอพูดมาว่า [โจอี้ นายนะอ่อนแอ พามีอาซังหนีไปด้วยกันดีกว่านะ] นั่นนะไม่เห็นจะเกี่ยวกันซักนิด นี่ผมดูไม่ได้เรื่องขนาดนั้นเลยหรือไงนะ?”
“ฮึ่ม.. ถึงข้าจะไม่ชอบ แต่ก็เห็นด้วย”
“ผมทำไม่ลงหรอกนะ– ไม่สิ ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ เธอยังไม่ยอมหนีเลย แถมยังพูดเรื่องแปลกๆอย่าง [ในเมื่อมานี่แล้ว ก็ว่าจะนั่งดูในที่นั่งพิเศษซะหน่อยนะ] เพราะงั้นผมถึงต้องออกมาตรงนี้เพื่อไม่ให้มอนสเตอร์ไปเจอเธอเข้า!”
เมื่อเห็นโจอี้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น กัลด์ที่กำลังจะพูดว่า “เธอคนนั้นที่นายตกหลุมรักเข้านะ อันตรายกว่าอีก” ก็ได้แต่กลืนคำพูดของตัวเองลงคอ แต่ดวงตากับมุมปากของเขาดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย
–เจ้าหนูนี่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ
“เจ้าหนู..ไม่สิ โจอี้ เราคือนักผจญภัย เพราะงั้นนายแค่ต้องคิดเรื่องเอาชีวิดรอดกลับมาให้ได้เท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อมีคนอีกสองคนที่เป็นห่วงแกขนาดนั้นอยู่!”
“เข้าใจแล้วครับ!”
โจอี้ตอบกลับด้วยความมุ่งมั่นเต็มที ก่อนจะกลับเข้าไปรวมกลุ่มกับนักผจญภัยอื่นๆอีกครั้งนึง
◆◇◆◇
“..นี่หรือเปล่านะ ที่เขาว่าเป็นความสุขที่สุดของผู้หญิงนะ”
ผมที่ใช้อีวิลอายมอง และได้ยินบทสนทนาระหว่างโจอี้และรองหัวหน้ากัลด์ บ่นอย่างมาอย่างช่วยไม่ได้
ก็ดูเป็นประสบการ์ณที่หายากอยู่ละนะ..?
“มีอะไรรึเปล่าครับ องค์หญิง?”
เทนไกที่กลับร่างเป็นนาคราช(มังกรทอง)และกำลังบินอยู่เหนือสนามรบ และผมที่อยู่บนหลังเขา ถามขึ้นมา ผมตอบเขาไปว่าไม่มีอะไร และมองลงไปข้างล่าง
ถ้าเป็นสายตาของมนุษย์ ก็คงเห็นเป็นแค่เม็ดงานั่นแหละ แต่ตัวผมในตอนนี้เห็นใบหน้าของพวกเขาได้ชัดเจนเลยแหละ
“นายคิดว่าใครจะชนะละ เทนไก?”
“มอนสเตอร์ครับ” เทนไกกล่าวออกมาสั้นๆ “ด้วยอาวุธแบบนั้น และจำนวนเพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยครับ เห็นได้ชัดเลยว่าไม่มีทางเอาชนะได้”
“นั่นสินะ..เราก็คิดเหมือนกัน ถ้ามนุษย์อยากจะชนะละก็ ก็ต้องระดมนักผจญภัยที่สามารถต่อสู้ได้ทั้ง 2หมื่นคนมาให้หมด ไม่ต้องสนว่าแรงค์ E หรือ G หรือแม้กระทั่งเด็กหรือผู้หญิงที่อยากจะสู้ด้วยทั้งหมด และดันมอนสเตอร์ออกไปด้วยจำนวนที่มากกว่า และเมื่อหยุดการเคลื่อนไหวของศัตรูได้ ตอนนั้นก็ค่อยถล่มยิงเอา”
แม้ว่านั่นจะก่อให้เกิดการสุญเสียนับไม่ถ้วนก็ตาม
“แต่เจ้าหัวหน้ากิลด์นั่นติดสินใจแบบนั้นไม่ได้นี่ครับ”
“นั่นสินะ ในช่วงเวลาที่จำเป็นจะต้องเสียสละคน 50 คนเพื่อช่วยชีวิตคน 100 คน เขาคือคนที่ต้องการช่วยชีวิตคน 99 คนจาก 100 คน และสุดท้ายก็ทำให้ทุกคนต้องตาย”
ผมพอใจเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่งนะ แต่ในฐานะผู้นำนะไม่ไหวเลย
ผมให้คำใบ้กับเขาไปตั้งเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังคงทำตัวน่าเวทนาให้ผมเห็นใจอยู่ท่าเดียว ตัวอย่างนะ ก็แค่ให้สิทธิในการเข้าถึงและรวบรวมข้อมูลของ[ยุคที่สุญหาย]กับผมก่อนเป็นคนแรก หรือ การสาบานว่าจะจงภักดีกับประเทศแค่ฉากหน้า แต่ก็จับมือกับพวกผมที่ฉากหลัง – และในเมื่อเขาทำอะไรไม่ได้เลย งั้นผมเองก็ไม่มีทางเลือกนอกจากมองเขาเป็นแค่คู่เจรจาที่ล้มเหลว
“มนุษย์นี่ช่างโง่เขลาจริงๆนะครับ”
เมื่อเห็นเทนไกแสดงความดูถูกอย่างเห็นได้ชัด ผมก็สงสัยตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน ว่าภายในตัวผมยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า ผมไม่ค่อยได้คิดเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่บางที ร่างกายแบบนี้และสภาพแวดล้อมคงส่งผลกับตัวผม
“เพราะมีมนุษย์อยู่ทุกประเภท ก็เลยน่าสนใจไงละ”
เมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยอยู่ในกลุ่มผู้คนที่เดินไปมา ผมพูดเบาๆให้กับเขา
“เตือนแล้วนะโจอี้ แต่ว่านี่คงเป็นทางที่นายเลือกสินะ”
◆◇◆◇
ข้านึกไม่ออกแล้วว่าได้สังหารมอนสเตอร์ไปกี่ตน
ตอนแรกแนวหน้ายังพอยื้อได้อยู่ แต่เมื่อแรงของพวกเขาเริ่มหมด ทหารม้าฝั่งศัตรูก็ทะลวงเข้ามาจนได้ แม้พวกเขาจะพยายามถอยแนวหน้าลงมาเพื่อสกัดไว้ แต่พอรู้ตัวอีกที ทุกคนถูกทำให้กระจายออกไป แล้วสู้มอนสเตอร์กันเองแล้ว
ไม่รู้เลยว่าสถานการ์ณของสนามรบ หรือของเพื่อนร่วมรบเป็นอย่างไรบ้าง โจอี้ยืนหยัดอยู่กับพรรคพวกของเขา แต่ทว่าเมื่อเขารู้สึกตัว คนหนึ่งก็ล้มลงไปแล้ว สองคนถูกกิน และอีกคนหนึ่ง…และในที่สุด เขาก็ตัวคนเดียว
เขาวิ่งตัดผ่านสนามรบ กำดาบยาวเปื้อนเลือดในมือไว้แน่น และฟันศัตรูที่พุ่งเข้ามาหาเป็นครั้งคราว
[รักษาระยะห่าง แล้วก็ทำให้ทั้งสองตัวอยู่ในสายตาตลอดด้วย!]
[การเคลื่อนไหวของนายมันซื่อตรงเกินไป แล้วก็เหวี่ยงดาบซะกว้างมันก็เลยหลบง่ายๆ แถมหลังจากเหวี่ยงดาบนายยังเสียสมดุลอีก ก็เลยเปิดช่องโหว่งเต็มไปหมด]
[แต่เทียบกับการตอบสนองของมอนสเตอร์มีชีวิต แค่การโจมตีแบบนั้นไม่มีทางโดนหรอก]
[จับตาดูความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามซะ อย่าแกว่งดาบไปเรื่อยยกเว้นเพื่อหลอกล่อ]
แม้ว่าสิ่งที่ทำคือการเคลื่อนไหวตามคำแนะนำเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่โจอี้ก็สามารถต่อสู้ได้เป็นอย่างดีจนแม้แต่ตัวเองก็ต้องแปลกใจ
อย่างไรก็ตาม การโจมตีของศัตรูค่อยๆสร้างบาดแผลให้แก่โจอี้อย่างช้าๆ และในการต่อสู้แต่ละครั้ง เรี่ยวแรงของเขาก็ลดลงอย่างมาก
ทันใดนั้น ออร์คตัวใหญ่ก็โผล่มาเบื้องหน้าเขา
“–ชิ เข้ามาเลย!”
เขาอ่านวิถีของกระบองยักษ์ที่ฟาดฟันลงมาพร้อมเสียคำราม ถอยกลับเพื่อหลบ เล็งดาบยาวไปยังแขนที่ยื่นมาด้านหน้า และฟันมันซะ
แต่ทว่า เรี่ยวแรงของเขาคงถึงขีดจำกัดแล้ว เพราะดาบนั้นเฉือนเนื้อออกไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และออร์คที่เกรี้ยวกราดก็ฟาดกระบองไปด้านข้าง จังหวะเดียวกันกับที่โจอี้แทงดาบออกไป
ร่างของเด็กหนุ่มปลิวออกไปเหมือนผ้าขี้ริ้วและกลิ้งไปตามพื้น โจอี้ที่กำลังจะหมดสติก็ มองหาดาบยาวที่หลุดมือไปด้วยดวงตาอันพร่ามัว และเห็นออร์คล้มลงไปพร้อมดาบที่คอ
“ข้าทำได้… แต่ข้า ถึงขีดจำกัดแล้ว”
แรงกระแทกคงทำกระดูกหักไปซักห้าหรือหกชิ้น
เขาใช้แรงที่เหลืออยู่ไปหมดแล้ว
ถ้ามีศัตรูตัวอื่นปรากฏตัวขึ้นอีก เขาคงต่อสู้ไม่ไหวอีกต่อไป
“…มีอาซัง ฮิยูกิ พวกเธอหนีไปได้อย่างปลอดภัยไหมนะ…”
โจอี้พึมพำในขณะที่เปลือกตาของเขาค่อยๆทิ้งตัวลงมา
*——-
ข้อความจากผู้แต่ง
อันดับภายในใจของฮิยูกิเป็นประมาณนี้
มีอา >>> กำแพงที่ไม่อาจข้ามได้ >> หัวหน้ากิลด์
นี่เป็นตอนไฮไลต์ของโจอี้ด้วย เพราะทุกคนคิดว่าเขาจะไม่ได้ปรากฏตัวอีกแล้ว (ฮ่าๆ)
ทุกคนเห็นชื่อตอนน่าต่อยนั่นสินะคะ เหตุเพราะหมั่นไส้โจอี้คะ จะเมื่อก่อนที่อ่านเรื่องนี้ครั้งแรก หรือตอนนี้ที่อ่านจากยุ่นก็ตาม โจอี้ยังคงน่าหมั่นไส้เสมอมา
เจ้าตัวทำหล่อที่ทำเป็นเท่ ชิชะ น่าหมั่นไส้จริงๆ!
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนเป็นค่าชานมไข่มุก ,บราวชูการ์ หรือแบบ Zero fat ก็ได้ทั้งนั้นเลยคะ เทเฮะ~
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ