[นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru - ตอนที่ 10 บทที่ 1 ตอนที่ 10 การเจรจาล้มเหลว
- Home
- All Mangas
- [นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru
- ตอนที่ 10 บทที่ 1 ตอนที่ 10 การเจรจาล้มเหลว
ตอนที่ 10 การเจรจาล้มเหลว
แม้ว่านี่จะเป็นแค่ครั้งที่สอง แต่ห้องของกิลด์มาสเตอร์กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับผมแล้ว ที่นั่งอยู่ภายในนั้นมีหัวหน้ากิลด์คอนราด และชายนักผจญภัยสวมเกราะหนัง ดูอายุราวๆ 25 ปีนั่งอยู่ด้วย
สีหน้าของคอนราดเคร่งเครียดมาก แต่พอเขาเห็นผมเข้าห้องมาพร้อมกับกัลด์ เขาก็ดูผ่อนคลายลงนิดหน่อย
“–เยี่ยมเลย ทุกคนมาครบแล้วสินะ”
ครั้งนี้ผมไม่เห็นคนเฝ้าประตูเลย คงคิดว่าครั้งนี้ไม่จำเป็นละมั้ง แล้วก็ ถึงจะพูดว่า “ทุกคน” ก็เถอะ แต่ก็มีแค่ 4 คนเองนะ? ถึงดูบรรยากาศแล้วคงไม่ใช่การชวนมาเล่นไพ่นกกระจอกแน่ๆ
“เชิญนั่งลงก่อนเถอะครับ เรื่องราวมันค่อนข้างยุ่งยากนะ–”
ขณะที่พูดอยู่ คอนราดก็ลุกขึ้นยืนแล้วก็ชงชากลิ่นหอมใส่แก้ว สำหรับกัลด์คงจะทำเรื่องละเอียดอ่อนพวกนี้ไม่ไหว หรือว่านี่คือการใช้คนให้ถูกงานงั้นสินะ? –คอนราดวางแก้วไว้ตรงหน้าผม ก่อนจะกางกระดาษแผ่นใหญ่บนโต๊ะทำงานออกกว้าง (ไม่เหมือนกับในเกม กระดาษที่นี่เป็นเรื่องธรรมดา ส่วนพวกกระดาษหนังนับเป็นของเก่าแก่ไปแล้ว)
กระดาษที่เขากางออกนั้นเป็นแผนที่ของเมืองและพื้นที่รอบๆ
มันเป็นแผนที่ที่ทำมาง่ายสุดๆ ทั้งระยะ สถานที่ และจุดสังเกตต่างเพี้ยนไปค่อนข้างมาก ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะเทคโนโลยีการสำรวจที่ย้งล้าหลังอยู่ หรือเป็นเพราะความลับทางการทหาร แต่อย่างน้อยจุดสำคัญต่างๆก็ยังถูกต้อง
สำหรับผมแล้ว ผมมีสกิล [ออโต้แมพปิ้ง] ที่เป็นหัวใจของเพลย์เยอร์อยู่(สกิลนี้จะวาดแผนที่ในรัศมี 500 เมตรจากเพลย์เยอร์เป็นศูนย์กลาง แต่ว่าบางทีก็ไม่สามารถใช้ในดันเจี้ยนได้ หรือที่พิเศษอื่นๆได้) ก่อนที่ผมจะมาเมืองอาระ ผมก็ให้เทนไกบินรอบเมืองไปครั้งนึง เพราะงั้นตอนนี้ผมก็เลยมีแผนที่ที่เป็นเหมือน GPS อยู่ในหัวของผมเรียบร้อย
ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยความลับออกไป ผมจึงทำเป็นดูแผนที่ด้วยความสนใจ
“ขอแนะนำตัวเขาคนนี้ก่อนแล้วกัน นี่คือแฟรงค์ นักผจญภัยแรงค์ C ที่สังกัดอยู่กับกิลด์ เขาเป็นหัวหน้าของกลุ่มนักผจญภัย ‘แอสตร้า’…ไม่สิ เคยเป็นนะ”
เมื่อได้รับการแนะนำตัวจากหัวหน้ากิลด์ ใบหน้าของชายผู้มีนามว่า แฟรงค์ ก็บิดเบี้ยวด้วยความเศร้าโศก
เมื่อมองดูชุดเกราะของเขาดีๆ ก็จะเห็นรอยกรงเล็บสดใหม่บนนั้นเต็มไปหมด ผิวหนังของเขาที่เผยออกมาผ่านรูพวกนั้นมีสีสันที่ต่างออกไป ดูเหมือนรอยแผลจะพึ่งถูกรักษาไปโดยเวทย์รักษาสินะ
“แฟรงค์ คุณหนูน้อยผู้นี้คือ.. ท่านหญิงสูงศักดิ์ที่กำลังพักอยู่ในเมืองของเรา และในเมื่อนี่เป็นเรื่องเร่งด่วน ข้าจึงขอให้ท่านมาอยู่ตรงนี้ด้วย”
แฟรงค์มองผมอย่างข้องใจในการแนะนำตัวที่ดูไร้พิษภัยนั่น ก่อนจะก้มหัวลงให้ผมอย่างเงียบๆเพราะคิดว่าเป็นหน้าที่ ผมจึงทำเป็นไม่เห็นและมองข้ามเขาไป
คำทักทายและความสุภาพจะไร้ประโยชน์หากใจไม่คิดอยากจะทำด้วย และการทำเรื่องไร้ประโยชน์มันไม่ได้อะไรนะ
บรรยากาศไม่เป็นมิตรเล็กๆก่อตัวขึ้นระหว่างเราสองคน หัวหน้ากิลด์คอนราดหันความสนใจมาทางผม
“ท่านหญิง ท่านรู้จักปรากฏการ์ณ ‘สแตมพีด(การแตกตื่น)’หรือเปล่า?”
ผมไม่รู้จักสแตมพีดอื่นนอกเหนือจากรายการสแตมพีดเวสลิงของนักมวยปล้ำอาชีพหรอกนะ
ผมเอียงคอ คอนราวจึงอธิบายต่อราวกับคาดการ์ณไว้แล้ว
“มันคือการอพยพครั้งใหญ่ของมอนสเตอร์ที่เกิดเป็นระยะในมหาพงไพร โดยประมาณแล้วก็ 1 ครั้งในทุก 15 ปี แต่ทว่าในบันทึกที่มีอยู่ บางครั้งก็เกิดขึ้นซ้ำภายในไม่กี่เดือนด้วย”
เขาชี้ไปยังจุดนึงในแผนที่ ตรงจุดนั้นมีสัญลักษณ์รูปต้นไม้อยู่ ค่อนข้างห่างจากเมืองอาระไปทางเหนือ-เหนือเฉียงตะวันออก ตรงเกือบสุดขอบของแผนที่ อันที่จริง ทิศนั่นนะอยู่ค่อนไปทางตะวันออกประมาณ 7 องศา แล้วระยะจากเมืองไปถึงขอบป่าก็ราวๆ 30 กิโล ที่ใกล้กว่าในแผนที่มาก
“หืม รู้สาเหตุรึเปล่า?”
“ครับ พอจะรู้อยู่ มีอยู่ 3 เหตุผลหลักๆ
อย่างแรกคืออาหารไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเพราะภายในป่าไม่เพียงพอ หรือจำนวนของมอนสเตอร์ขยายพันธ์มากเกินไปจนเกิดการแออัด
อย่างที่สองคือการแย่งชิงอำนาจภายในป่า กลุ่มของผู้แพ้จะถูกขับไล่ออกมาแล้วเข้าโจมตีหมู่บ้านรอบๆ ไม่ว่าจะอย่างไหนก็เป็นมอนสเตอร์อ่อนแอ แม้จะมีจำนวนมาก แต่พวกเราก็สามารถขับไล่ไปได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
เหตุผลข้อที่สามคือปัญหาหลัก คือเมือมีตัวตนที่สามารถควบคุมและสั่งการเหล่ามอนสเตอร์ในป่าได้”
“สั่งการ? ก็คือเหมือนบอสพื้นที่สินะ”
“ไม่รู้ว่าคืออะไรหรอกนะ? แต่มันไม่ใช่แค่กลุ่มเล็กๆเลย แต่เป็นมอนสเตอร์ที่พัฒนาไปมากพอจนสามารถผูกขาดทั้งป่าได้ อีกนัยนึง พวกมันถูกเรียกว่า ‘จอมราชา’ มันมีหลากหลายประเภท แต่ทว่าแต่ละตัวนั้นแข็งแกร่งจนน่ากลัว เป็นมอนสเตอร์ที่จัดการไม่ได้ง่ายๆ
อันที่จริงสมัยข้ายังเด็ก สแตมป์พีดเมื่อครั้งนั้นเกิดขึ้นเพราะว่า ‘ราชา’ ของเผ่า ‘เทรนท์’ เจ้านั่นใช้รากจากใต้ดินดูดเลือดนักผจญภัยนับร้อยชีวิตไปรวดเดียวเลย”
รองหัวหน้ากัลด์ขมวดคิ้วพลางพูดไปด้วย และผมที่เกิดสนใจขึ้นมาหน่อยๆ
“ว้าว นายปราบมันหรอ? ทำได้ดีนี่”
“เพราะพื้นฐานแล้วมันคือมอนสเตอร์ไม้นั่นแหละ ร่างหลักมันช้าและอ่อนแอต่อไฟ พวกเราใช้ดินปืนและเวทย์ไฟจากนักเวทย์ทั้งหมด และผู้ใช้ภูตก็คอยตัดรากมันจากระยะไกล ในตอนสุดท้าย A แรงค์ทั้งหมดก็โจมตีและเผามันจนกลายเถ้าถ่าน”
“อืม มันก็เป็นอีกวิธีในหารปราบมันลงละนะ ยังไงซะมันก็อยู่ในระดับบอสประจำพื้นที่ เราว่าควรมอบหมายงานนี้ให้ใครซักคนที่ปราบมันได้ด้วยตัวคนเดียวจะดีว่า หรือไม่ก็แรงค์ S ในตำนานนั่นไง”
“เธอคิดว่าจะมีแรงค์ S บนโลกนี้ซักกี่คนกันเชียว? มันจะเสียเวลาและเงินทองไปขนาดไหนเพื่อที่จะเรียกเจ้าพวกนั้นมากัน?” แฟรงค์ตำหนิผมอย่างโกรธเคือง
โอ้ แรงค์ S มีอยู่ด้วยละ! ดูท่าจะน่าสนุกขึ้นนิดนึงแล้วนะเนี่ย
“ยังไงก็เถอะ ในครั้งนี้คู่ต่อสู้ไม่มีจุดอ่อนแบบนั้น แถมยังมีความคล่องตัวสูง เรื่องนี้ก็เลยยุ่งยากขึ้นอีก”
คอลลาร์ดเดาะลิ้นอย่างหงุดหงิด
อ๋อ~ มันเป็นแบบนั้นสินะ
จากการสนทนานี้ ‘สแตมป์พีด’ จะเกิดขึ้นเมื่อ ‘ราชา’ คนใหม่ถือกำเนิดขึ้น
“ปัญหานี้เริ่มขึ้นเมื่อ 1 สัปดาห์ที่แล้ว มันเริ่มจากการติดต่อกับหมู่บ้านบุกเบิกที่อยู่ติดกับบริเวญชายป่าหายไป”
ปกติแล้ว พื้นที่ห่างไกลจะไม่ค่อยได้รับความสนใจอยู่แล้ว แต่เมื่อพ่อค้าเร่ที่ออกจากหมู่บ้านใกล้เคียงก็ไม่กลับมาเช่นกัน ข่าวก็แพร่กระจายไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
ไม่นานจากนั้น หมู่บ้านใกล้เคียงก็ถูกตัดขาดการติดต่อตามไปด้วย กิลด์ที่พึ่งจะเริ่มขยับตัวทำงานได้ ก็ได้ส่งนักผจญภัยสามกลุ่ม โดยเริ่มจากแฟรงก์และกลุ่มแอสตร้าของเขาเพื่อทำการสืบสวนภาคสนาม
ผลลัพธ์นั่นก็คือ ทั้งกลุ่มถูกสังหารเหี้ยน เหลือเพียงแค่แฟรงค์
“..แม่งคือนรกชัดๆ ต่อให้จะวิ่งสุดแรงแค่ไหน พวกพ้องของข้าก็โดนพวกมอนสเตอร์นั่นไล่ทันทีละคนๆ พวกมันกินอย่างตะกละทั้งเป็นๆอยู่ด้วย… ปฏิหาร์ยแล้วที่ข้ายังรอดมาได้”
ภายในดวงตาของแฟรงค์มีแต่ความมืดหม่น เขาค่อยๆเล่าเรื่องราวตอนนั้นออกมาทีละเล็กละน้อย
“จำนวนของพวกมันมีเป็นพัน บางทีอาจจะใกล้ถึงหมื่นแล้วก็ได้ เห็นว่ามีออร์คอยู่ใจกลาง ข้ากล้าบอกเลยว่ามันคือ ‘ออร์คคิง’แน่”
จากคำอธิบายของกัลด์ทำให้ผมแอบคิดใจในว่านี่มันเกมไล่จับหรือไง แต่ผมไม่ได้พูดออกไปเพราะมันคงจะไม่ดีแน่ๆ(เป็นมุกของยุ่นคะ มันคือเกมยักษ์ไล่จับ แล้วออร์คคิง = ยักษ์ คะ)
แล้วก็นะ…
“ แล้วเรียกเรามาทำไม?”
บอกตามตรงเลยนะ นี่ไม่ใช่เรื่องของผมเลยซักนิด ผมตั้งใจจะออกจากเมืองวันนี้ด้วยซ้ำ
หัวหน้ากิลด์ทั้งสองส่งสายตาไม่สบายใจให้กันต่อคำพูดนั้น
“…ขอถามความเห็นท่านได้ไหมครับ ท่านคิดว่าควรทำอย่างไรในสถานการ์ณนี้ดี?”
คอนราดถามผมมาแบบนั้น “อืม–” ผมกำมือมารองคางขณะที่กำลังครุ่นคิด
“อาจจะลองคุยดูก่อนละมั้ง?”
“อย่ามาพูดเรื่องโง่ๆ! มอนสเตอร์มันคุยด้วยได้ซะที่ไหน!”
แฟรงค์ตะโกนขึ้นมาด้วยความเหลืออด
เอ๋ แต่ผมว่าน่าจะได้นะ เพราะมีตัวนึงนำฝูงใหญ่มานี่ มันจะต้องมีสติปัญญาระดับนึงเลยเพื่อที่จะสื่อสารต่อกันภายใน เพราะงั้นสิ่งแรกที่ผมคิดได้ก็คือการพูดคุยนะสิ
“ข้ายังไงก็ไม่ไหวแน่ สำหรับมอนสเตอร์พวกนั้น มนุษย์เป็นเพียงอาหาร อันที่จริง ในหมู่บ้านที่ถูกทำลายไป ไม่ว่าจะเด็กหรือคนแก่ ต่างก็ถูกกินจนไม่เหลือกระดูกด้วย”
แม้กระทั่งกัลด์ก็ยังส่ายหัวหรอเนี่ย
หืมม แต่ตรงนี้มีเจ้าหญิงแวมไพร์ที่ใช้เหตุผลด้วยได้ง่ายๆอย่างผมอยู่ด้วยนะ การยอมแพ้ก่อนจะได้ลองมันดูไม่ถูกต้องเลยนา
เอาละ มาจำลองสถานการ์ณกันหน่อย
มอนสเตอร์ของผมกำลังจะโจมตีเมืองมนุษย์
แล้วก็มีตัวแทนมาขอยกธงขาวให้
อะไรละนั่น
มนุษย์ละ
อื้ม ลองชิมกันเถอะ
….ขอโทษที คงไม่มีทางคุยกันได้แหละนะ ได้แค่เป็นของทดลองชิมเท่านั้นแหละ
“งั้นก็คงต้องเอาจำนวนเข้าสู้กับจำนวน กองกำลังทหารมีไว้เพื่อการนี้ไม่ใช่หรอ แล้วทำไมไม่เรียงกองทัพมาให้ช่วยปราบละ?”
“แน่นอนว่าพวกเราได้ร้องขอการสนับสนุนจากประเทศแล้วครับ แต่ว่ากองทัพเคลื่อนพลมาไม่ได้ง่ายๆ หลังจากได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาแล้ว จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายสัปดาห์ในการรวบรวมกองกำลังที่กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ ตั้งแต่เริ่มจัดทัพจนถึงออกเดินทาง ไม่มีทางที่กองกำลังจะพร้อมได้ทันเวลาแน่”
อุหวา โครตยุ่งยากเลย ไม่ใช่ว่าคำสั่งของราชาก็เพียงพอที่จะเคลื่อนไหวแล้วหรอกหรอ? เป็นอาณาจักรเลยนี่นา
ในกรณีของผม ไม่ใช่แค่กองทัพเท่านั้น แต่เจ้าของร้านราเมงในย่านการค้าก็กระตือรือร้นที่จะทำสงครามก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ
“ถ้างั้น ก็มีแค่พึ่งตัวเอง ปิดล้อมเมืองและอดทนจนกว่ากองทัพจะมาถึงงั้นเหรอ?”
“นั่นก็ไม่ไหวครับ อย่างที่รู้กันว่าเมื่องนี้ชื่อว่าเป็นรัฐอิสระ เรามีแต่กำแพงขนาดเล็กเท่านั้น”
“งั้นทำไมไม่ยอมแพ้แล้วหนีไปล่ะ”
“–ไอ้สารเลว นี่แกคิดจะล้อเล่นตั้งแต่ต้นจนจบเลยใช่ไหมวะ! พวกพ้องข้าต้องเสียสละไปเท่าไหร่เพื่อปกป้องเมืองนี้!”
แฟรงค์ที่โกรธจัดลุกขึ้นยืนหมายจะคว้าตัวผมไว้ แต่หัวหน้าและรองหัวหน้ากิดล์ก็รีบร้อนเข้ามาหยุดเขา และเมื่อทั้งหมดเหลือบมองผมก็สะดุ้งจนหงายท้องลงโซฟาด้วยความเสียขวัญ
“…ถามว่าเราล้อเล่นรึเปล่าอย่างนั้นหรอ? เราต่างหากที่ต้องถามว่าพวกนายต่างหากที่กำลังล้อเล่นเราอยู่
เป็นบ้าอะไรถึงต้องไปบุกเบิกหมู่บ้านในที่ๆที่เกิดการสแตมพีดอยู่ตลอด? ต่างกับการไปสร้างบ้านบนหน้าผาที่มีหินร่วงใส่เรื่อยๆ ไม่ก็สร้างบนเกาะที่มีน้ำท่วมตลอดตรงไหนกัน
–ถึงแม้จะมีเหตุผลว่าทำไม แต่อย่างน้อยพวกนายก็ควรมีการเดินตรวจตราเป็นประจำ หรือไม่ก็สร้างกำแพงป้องกันใช่ไหมละ? แล้วได้ทำอะไรกันบ้างไหม พวกนายคงจะภูมิใจมากที่ได้ทำดีที่สุดแล้วงั้นสิ
แล้วไงต่อ หมู่บ้านเหล่านั้นก็ต้องมากลายเป็นเครื่องสังเวย แล้วมาถึงตานายที่ต้องไปสำรวจ.. ที่ในที่สุดก็ไปซะที ทำไมไม่ไปถามคนในหมู่บ้านที่ตายไปนั่นละ? การตายของพวกนายช่วยเตือนพวกเราว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามาแล้วนะ เราละสงสัยจริงๆว่าจะตอบยังไง”
บอกตามตรงเลยนะ ว่าผมโมโหมากๆ
คนพวกนี้คิดว่าชีวิตเป็นอะไรกัน?
“…ท่านพูดถูก ทุกสิ่งมันเกินการควบคุมไปมาก แต่ทว่า ในฐานะผู้นำของกิลด์นักผจญภัยเมืองอาระ ข้ามีหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องปกป้องเมืองนี้ ข้าจะขอพูดอย่างชัดแจ้งว่าข้าอยากจะขอความช่วยเหลือจากท่าน”
หัวหน้ากิลด์ คอนราด โค้งศีรษะลงด้วยท่าทางเจ็บปวด แต่ความโกรธของผมไม่ลดลงเลย อันที่จริง ผมหัวเสียสุุดๆ
“แล้วเราจะได้อะไรคืนมาละ? เรามีเงินทอง มีทรัพย์สมบัติ เราไม่ต้องการสถานะใด ไม่ต้องการเกียรติยศที่พวกนายชอบหนักหนา แล้วพวกนายจะให้อะไรเราได้?”
“…ขอเพียงศีรษะของข้าจะทำให้ท่านพอใจได้ ก็ได้โปรดช่วยปกป้องผู้คนในแผ่นดินนี้ด้วยเถอะ!”
ไ อ้ ห ม อ นี่…!!!
เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผมถึงโกรธ การยอมสละชีวิตไปง่ายๆ แบบนี้มันมีประโยชน์ตรงไหน!!
“…นายพูดแบบนั้นไม่ใช่ในฐานะประชาชนทั่วไป แต่ในฐานะตัวแทนของเมืองอาระและหัวหน้ากิลด์นักผจญภัยสินะ?”
“ครับ”
“กิลส์ เดอ เรยส์ [กุหลาบแห่งคนบาป]!”
พร้อมกับเสียงเรียก ผมลุกพรวดพร้อมกับดาบยาวสำดำสนิท แต่ก็โปร่งแสงเอาไว้ในมือ มันคือดาบรักของผม ชื่อของมันคือ กิลส์ เดอ เรยส์ [กุหลาบแห่งคนบาป]
ผมเมินทั้งสามคนที่ตาค้าง ผมชี้ดาบไปยังหัวหน้ากิลด์คอนราด
“คอนราด เราจะแนะนำตัวกับเจ้าอีกครั้ง เรามีนามว่า ฮิยูกิ ข้าคือผู้เป็นนิรันดร์และผู้ปกครองหนึ่งเดียวแห่งอาณาจักรอิมพีเรียลคริมสัน(จักวรรดิสีชาด) ข้าผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นบรรพบุรุษของเหล่าทวยเทพ! เจ้าคิดว่าคอผอมๆของเจ้าจะสมกับข้างั้นหรือ? หรือคิดว่าข้าจะสงสารหรือเห็นใจเจ้ากัน ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ”
ปลายดาบ กิลส์ เดอ เรยส์ [กุหลาบแห่งคนบาป] ที่จ่ออยู่ตรงใบหน้าไร้สีเลือดของคอนราดเคลื่อนออกไป
“จงเลือกซะ เพราะข้าจะปกป้องเพียงผู้อยู่ใต้ตัวข้าเท่านั้น! จงมอบเมืองนี้ ผู้คน และชีวิตไว้ใต้ดาบนี้ซะ แล้วข้าจะปกป้องมันด้วยทั้งหัวใจและจิตวิญญาน แต่หากเจ้าทำไม่ได้ งั้นก็สมควรแล้วที่ดาบเล่มนี้จะชี้ใส่ เราไม่สนหรอกนะว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
“……” คอลลาร์ดแสดงสีหน้าขื่นขม แต่แล้วเขาก็ส่ายหัวอย่างอ่อนแรง “ข้าทำไม่ได้ เมืองแห่งนี้คือรัฐเสรี พวกเราไม่สามารถยอมจำนนต่อท่านได้ แม้ว่าท่านจะเป็นผู้ที่อาจเป็นพระเจ้าก็ตาม”
“อย่างนั้นหรอ?”
อารมณ์พลุ่งพล่านของผมเย็นลง เมื่อได้สูดหายใจเข้าลึกๆ พูดให้ชัดคือ สติของผมกลับมาแล้ว
…รู้สึกเหมือนว่า ตะกี้ ผมใส่แรงทั้งร่างเพื่อพูดสุนทรพจน์จูนิเบียวที่น่าอายมากๆไป แต่นั่นคงเป็นแค่จินตนาการของผมใช่มั้ย? จริงสิ มาใส่สิ่งนี้ไว้ในกล่องประวัติศาสตร์อันดำมืดที่ผมจะไม่มีวันเปิดอีกเป็นอันขาดกันเถอะ
[ช่างโง่เขลาเหลือเกินที่ปล่อยให้ความกรุณาขององค์หญิงสูญเปล่า]
เทนไกหัวเราะเยาะอยู่ภายในร่างของผม แต่หยุดนะ อย่าขุดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกเลยนะ!
ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงเคาะประตูด้วยความเร่งรีบ และเจ้าหน้าที่กิลด์ก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา
“ยะ-แย่แล้วครับ! ฝูงมอนสเตอร์จำนวนมหาศาลอยู่ห่างจากเมืองนี้อยู่ประมาณ 2 วันครับ!”
คำพูดของเขาทำให้หัวหน้ากิลด์ คอนราด และ รองหัวหน้ากิลด์ กัลด์ กลับมามีสติอีกครั้ง
ส่วนแฟรงค์… เขาตาเหลือกไปแล้วเรียบร้อย (เขาคงเครียดและความตกใจจากการตายของพวกพ้องแหละน่า)
หลังจากเก็บ กิลส์ เดอ เรยส์ [กุหลาบแห่งคนบาป] แล้ว ผมก็เดินไปยังประตูที่เปิดคาเอาไว้
“ดูท่าว่าเวลาหนีก็ไม่มีแล้วสิ เราเองก็อยากจะเห็นพลังของมอนสเตอร์กับนักผจญภัยที่ดินแดนแห่งนี้เหมือนกัน งั้นจะคอยชมอยู่ห่างๆแล้วกันนะ”
ผมโบกมือลาก่อนจะออกจากห้องไป
-*****-*-*-*-*-*-*-*-*
ข้อความจากผู้แต่ง
จากบทส่งท้ายครั้งที่แล้ว ฉันได้รับความคิดเห็นมากมายที่บอกว่าดีแล้วที่เธอไม่ได้ลงเอยกับโจอี้ และโจอี้ก็สมควรโดนแล้ว
โจอี้ที่น่าสงสาร….
“Gilles de Rais, the Rose Sinner” เป็นหนึ่งในชุดอุปกรณ์ของ Hiyuki
มันเป็นดาบระดับสูงสุดที่เสริมพลัง(enhanced)มาจนเต็ม 10 ครั้ง ซึ่งสร้างขึ้นโดยการทำลายดาบยาวระดับสูงสุดกว่า 1,000 เล่มที่สามารถสร้างได้ด้วยทักษะการตีเหล็ก
ผู้ที่มีทักษะตีเหล็กและช่างทองได้ทำงานร่วมกันเพื่อปรับแต่งรูปลักษณ์ของดาบเล่มนี้
มันเป็นอุปกรณ์สุดเลิศหรูสวยงามที่มีด้ามจับสีทองพร้อมประดับทับทิมและกุหลาบ
Stampede Wrestling เป็นรายการทีวีมวยปล้ำอาชีพของแคนาดา
ฮิยูกิจังดูรายการมวยปล้ำเฉย ผิดคาดนะเนี่ย
ตอนนี้ใส่ความเบียวเข้าไปเต็มที่เลยคะ คำพูดตอนเบียวก็เลยละการใช้ นาย เรา แต่เป็น ข้า และ เจ้า เลย จะได้สัมผัสความเบียวอย่างสุดๆของนาง :v
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
//ไหว้ย่อ