[นิยายแปล] ทั้งที่ติดร่างแหไปกับการอัญเชิญผู้กล้า แต่ต่างโลกนั้นแสนสงบสุข - ตอนที่ 7
พอไปรวมตัวกับคุณลูน่ามาเรียได้อย่างปลอดภัย เวลาที่ได้กลับไปยังคฤหาสน์ของคุณลิเลียก็กลายเป็นช่วงเวลาสำหรับทานข้าวเย็นไปเรียบร้อย แม้ทั้งหมดมันจะเป็นเพราะความประมาทของฉันเองก็เถอะ แต่ดูเหมือนคุณลิเลียจะเป็นห่วงเรื่องที่ฉันพลัดหลงอยู่ในเมืองเป็นอย่างมากและแม้จะคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรก็ยังถูกถามในอะไรหลายๆอย่าง เลยได้ทำการอธิบายถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นให้ฟังไปทั้งๆแบบนั้นว่าเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากสาวน้อยเผ่ามารก็เลยทำให้รอดพ้นมาได้
แต่ว่าคุณลิเลียนั้นก็ยังมีเรื่องที่กังวลอยู่นิดหน่อย หรือก็คือเรื่องที่อยากจะขอตรวจสอบเกี่ยวกับสร้อยคอที่ได้รับมาจากคุโระว่าได้ถูกลงเวทมนตร์อะไรแปลกๆไว้อยู่รึเปล่าจึงบอกมาว่าอยากจะขอให้รับฝากไว้ก่อนสักพัก เนื่องจากไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปฏิเสธเป็นพิเศษด้วยก็เลยมอบให้ไป
ถึงจะรู้สึกกลัวอยู่หน่อยๆว่าข้าวเย็น——-ว่าอาหารค่ำของตระกูลดยุกที่จะได้เจอหลังจากนั้นจะเป็นของแบบไหนก็เถอะ แต่คงเป็นเพราะคุณลิเลียได้คิดไว้ให้อยู่ก่อนแล้วล่ะมั้งที่ถูกเสิร์ฟออกมาจึงไม่ใช่รูปแบบที่เป็นเหมือนอาหารคอร์ส แต่เป็นรูปแบบอาหารในภัตตาคารก็เลยสามารถกินกันได้อย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากนั้นก็ถูกแนะนำเรื่องภายในคฤหาสน์อย่างคร่าวๆ รวมถึงได้รับมอบห้องที่ดูจะกว้างเกินกว่าที่จะใช้แค่คนเดียวอีกทั้งยังได้รับคำอธิบายเกี่ยวกับเวลาในการอาบน้ำด้วย แล้วถ้าจะบอกว่าสมเหตุสมผลไหมมันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลล่ะนะ เพราะในคฤหาสน์แห่งนี้ในปัจจุบันก็ไม่มีผู้ชายคนอื่นอีกนอกจากฉัน เวลาในการอาบน้ำที่ควรจะตายตัวจึงจำเป็นต้องเลื่อนออกไป แล้วกลายเป็นการที่ถูกระบุช่วงเวลาเอาไว้อย่างชัดเจนแทน
ถึงถ้าในนิยายแล้วที่นี่มันจะเป็นสถานที่แห่งคำมั่นสัญญาที่จะเกิดอีเวนต์ลามกโชคดีก็ตามเถอะ แต่ก็ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่ฉันไม่ใช่พวกตัวเอกที่ต้องมาแก้ไขเรื่องราวต่างๆ จึงเข้ามาแช่ในอ่างที่กว้างเกินไปแค่คนเดียวจากนั้นก็อาบน้ำจนเสร็จโดยที่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแล้วก็กลับห้องไปตามปกติ
มันเป็นการเดินผ่านทางเดินที่ถูกส่องด้วยดวงแสงลึกลับที่ราวกับลูกบอลแสงที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า โดยที่ไม่มีทั้งไฟหรือแม้กระทั่งหลอดไฟ แถมยังสมกับที่บอกว่าเป็นตระกูลดยุกจริงๆเพราะเป็นบ้านที่กว้างเอามากๆ แล้วถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่ได้เป็นความกว้างถึงขนาดที่จะไร้ซึ่งสามัญสำนึกจนไม่รู้กระทั่งเส้นทางจากห้องที่ตัวเองได้รับมาจนไปถึงห้องน้ำน่ะนะ แต่ว่า ทางเดินที่เงียบสุดๆเนี่ยทำเอาขนลุกขึ้นมานิดหน่อยเลย จะให้พูดว่ายังไงดีเป็นบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับพวกเรียวกังตอนกลางคืนน่ะ
“……คุณ……อ……”
คงเพราะอยู่ในค่ำคืนอันแสนเงียบสงัด หรือก็คือเพราะเป็นคืนแรกที่ได้มายังต่างโลกประสาทสัมผัสก็เลยเฉียบคมขึ้นจากความรู้สึกที่ต้องระแวดระวังล่ะมั้ง ถึงได้ยินเสียงร้องไห้สะอื้นออกมาจากประตูบานใหญ่ที่ดูแล้วน่าจะสามารถกันเสียงได้
แล้วทันใดนั้นเท้าก็หยุดเดินโดยที่ไม่รู้ตัว จะว่าไปที่นี่มัน ใช่ห้องที่ถูกจัดไว้ให้กับคุณยูซุกิรึเปล่านะ? คงจะกำลังร้องไห้อยู่ล่ะมั้ง? คิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรด้วย ก็จู่ๆถูกพัดพามายังต่างโลก แล้วยังถูกบอกว่าไม่สามารถกลับไปได้จนกว่าจะครบ1ปีอีก ตามปกติแล้วหากความสับสนได้ถูกบรรเทาลงการที่ความกังวลและความเหงาจะถาโถมเข้ามามันก็เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วด้วย
……แต่ถึงจะพูดแบบนั้นไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำอะไรได้อยู่ดี เพราะฉันน่ะนะสำหรับเธอแล้วก็เป็นเพียงตัวตนในระดับแค่คนที่มีบ้านเกิดเดียวกันธรรมดาๆ จะให้พูดอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็คงไม่ได้ สิ่งที่ฉันจะสามารถทำได้นั้น มีเพียงแค่การทำเป็นไม่ได้ยินอะไรแล้วเดินจากไปเท่านั้น
พอสูดหายใจเข้าไปครั้งหนึ่งเพื่อสงบสติ ก็ได้ออกเดินไปอีกครั้งราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แล้วเมื่อผ่านไปได้เพียง10ก้าวก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก จนกลับเข้ามาสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง
แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่เรียกว่าความโชคร้ายก็ยังคงดำเนินต่อไป——และครั้งนี้คือการได้เห็นคุณคุสุโนกิที่เดินมาจากด้านหน้า อย่างไรก็ตามถ้าพูดถึงชุดนอนของผู้หญิงในยุคกลางแล้วจะมีอคติว่าเป็นเหมือนพวกชุดคลุมนอนบางๆก็เถอะ แต่ที่คุณคุสุโนกิสวมอยู่นั้นเป็นเพียงชุดนอนสีขาวธรรมดาๆที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกว่ามันเก่านิดหน่อย
“……”
“……”
ถึงจะรู้สึกอึดอัดก็เถอะ แต่ฉันน่ะทั้งกับคุณคุสุโนกิหรือกับคุณยูซุกิก็ไม่ได้มีความรู้จักมักคุ้นหรือความสนิทสนมอะไรกันทั้งนั้น เป็นแค่เพียงคนนอกที่ได้มาอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเดียวกัน จึงได้แต่โค้งตัวอย่างง่ายๆให้โดยที่ไม่มีคำพูดอะไรเป็นพิเศษไป และสวนทางกันเฉยๆ
“……คุณมิยามะ”
“หืม?”
เพราะแบบนั้น พอจู่ๆก็ถูกส่งเสียงเรียกก็เลยรู้สึกตกใจขึ้นมานิดหน่อย แล้วพอลองหันกลับเพื่อตามไปยังต้นเสียงดู ก็เป็นสถานการณ์ที่คุณคุสุโนกิกำลังจ้องไปยังสุดปลายทางเดินอยู่แบบเดิม ซึ่งเผยให้เห็นถึงผมสีดำอันแสนงดงามกับแผ่นหลังที่เห็นแล้วดูบอบบางยิ่งกว่าตอนที่ยังสวมชุดนักเรียนอยู่
“……คุณมิยามะเนี่ย ดูจะใจเย็นมากเลยนะคะ”
“เห็นเป็นงั้นเหรอ?”
“……นี่เชื่อในเรื่องของพวกคุณลิเลีย อยู่งั้นเหรอคะ?”
คุณคุสุโนกินั้นได้พูดต่อไป โดยไม่ได้มีการตอบสนองต่อการตอบกลับของทางนี้เลย แล้วถึงแม้จะมีแสงอยู่บ้างก็ยังคงมืดสลัวๆอยู่ดีจึงไม่รู้แน่ชัดสักเท่าไร แต่ก็เห็นเหมือนกับว่าไหล่เล็กๆนั่นกำลังสั่นไหวอยู่
แต่ที่ว่าเชื่อในเรื่องของพวกคุณลิเลียอยู่งั้นเหรอเนี่ย? นั่นน่ะหมายถึงเรื่องที่ว่าจะรับรองความปลอดภัยส่วนบุคคล ไม่ก็เรื่องที่จะคอยดูแลพวกฉันให้อะไรพวกนั้นล่ะมั้ง? ถ้าเป็นแบบนั้น คำตอบของฉันก็คือ——
“ไม่นะ ไม่รู้หรอก อย่างน้อย ก็ยังน่ะนะ”
“……เอ๊ะ?”
“ก็ยอมให้ความช่วยเหลือด้วยสิเลยคิดว่าคงเป็นคนใจดีอยู่นะ แต่ถ้าหากถูกถามมาว่าเชื่ออยู่ไหมเนี่ย กับเรื่องนั้นแล้วจะให้ตอบกลับไปว่าเยสเลยคงไม่ไหวล่ะนะ กับอีกฝ่ายที่พบกันได้ไม่ถึงครึ่งวันจะให้เชื่อใจไปทั้งหมดไม่ได้หรอก……ก็แค่ ในตอนนี้ คิดว่าคงไม่มีใครอื่นที่จะสามารถพึ่งพาได้แล้วเท่านั้นน่ะนะ”
“……นั่นสิ……นะคะ”
ใช่แล้ว แต่ก็ไม่ได้กำลังจะบอกว่าคุณลิเลียกับคุณลูน่ามาเรียเป็นคนไม่ดี หรือกำลังโกหกพวกฉันอยู่อะไรแบบนั้นหรอกนะ เพราะเรื่องที่ได้รับการดูแลเนี่ยก็ทั้งรู้สำนึกแล้วก็รู้สึกขอบคุณอยู่ด้วย แต่ว่าถ้าหากถูกถามมาว่าเชื่อใจอยู่ไหม ก็คงจะตอบไปได้แค่ว่าไม่รู้น่ะนะ
อีกทั้งพวกฉันยังไม่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับใครอื่นในต่างโลกแห่งนี้นอกเหนือจากพวกคุณลิเลียแบบเป็นชิ้นเป็นอันเลย หรือก็คือเป็นสถานภาพที่ยังไม่มีข้อมูลในการที่จะตัดสินใจอะไรได้ทั้งนั้น ด้วยเรื่องนั้นแล้วยังไงก็จะให้ทำเป็นมองโลกในแง่ดี ในระดับที่สามารถทำตัวสบายใจได้อย่างไม่มีเงื่อนไขไม่ได้หรอก
“……”
“……”
เป็นความเงียบที่ทำเอารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเลย คุณคุสุโนกิกำลังอยากที่จะพูดอะไรอยู่กันแน่นะ?
“……แล้วทำไม ถึงได้ยอมที่จะออกไปซื้อของกับคุณลูน่ามาเรียกัน2คนง่ายๆเลยล่ะคะ?”
“เพราะมันเป็นการไปซื้อของที่จำเป็น ล่ะมั้ง?”
“……ฉันน่ะ กลัวค่ะ กับความใจดีที่ได้ถูกมอบมาให้โดยไม่คิดที่จะเรียกร้องค่าตอบแทนใดๆจากอีกฝ่ายที่ไม่แม้แต่จะเคยได้พูดคุยอะไรกันแบบเป็นชิ้นเป็นอันมาก่อน ในสถานที่ที่ไม่รู้จักเนี่ย กลัวจนไม่รู้จะทำยังไงเลยค่ะ”
“ที่ว่าไม่มีอะไรแพงไปกว่าของฟรีใช่ไหม? ก็คิดว่าเป็นวิธีการยึดถือในความรู้สึกระแวดระวังที่ถูกต้องอยู่นะ?”
“……ถ้างั้น ทำไมคุณถึงดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนเลยล่ะคะ? ถึงฉันน่ะจะมีคนที่รู้จักกันอย่างฮินะจังหรือมิทสึนากะคุงอยู่ด้วย ยังรู้สึกกังวลขนาดที่ว่าถ้าไม่ทำตัวให้ตึงเครียดเข้าไว้คงได้มีเผลอร้องไห้ออกมาแท้ๆ……ก็ไม่ได้จะบอกว่าพวกคุณลิเลียจะทำอันตรายอะไรกับพวกเราหรอกนะคะ แต่ได้ไปพลัดหลงในเมืองมาสินะคะ? จู่ๆก็ได้อยู่คนเดียวโดดเดี่ยวในต่างโลกเลยนะคะ? แล้วทำไม ถึงยังทำเป็นไม่สะทกสะท้านขนาดนั้นได้อยู่อีกล่ะคะ?”
“เปล่านะ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกกังวลอะไรสักหน่อย……”
“……นี่ไม่คิดว่าดีไม่ดีก็อาจจะได้รับบาดเจ็บขึ้นมา หรือไม่ก็อาจจะตายไปแล้วเลยก็ได้……บ้างเลยเหรอคะ?”
หืม เห็นได้ชัดเลยว่าเหมือนคุณคุสุโนกิจะกำลังรู้สึกไม่พอใจในเรื่องที่ฉันที่จู่ๆก็ได้มีประสบการณ์อย่างอีเวนต์พลัดหลงตั้งแต่ในวันแรก แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะสนใจในเรื่องนั้นเป็นพิเศษ คือว่านะ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สะทกสะท้านอะไรสักหน่อย……แต่ถ้าดูจากคนอื่นแล้วก็คงเห็นเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง?
ความจริงฉันก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าเป็นพวกที่ขี้ขลาดโดยพื้นฐานเลยด้วย ถึงในตอนที่พลัดหลงจะรู้สึกกังวลจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปหมดก็เถอะ……แต่เรื่องนั้นก็ได้รับการคลี่คลายไปเรียบร้อยแล้ว เลยคิดว่าถึงจะสาวความให้ยืดเยื้อต่อไปมันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกน่ะนะ……
แต่ว่าพอได้ลองถูกพูดถึงอีกครั้งแล้วมันก็อาจจะจริงน่ะนะ เพราะในบางกรณีก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับบาดเจ็บขึ้นมาและเลวร้ายที่สุดก็อาจจะตายไปแล้วเลยก็ได้
“ก็นะ แถมเรื่องมันก็จบไปแล้วด้วยสิ……อีกทั้ง ถ้าหากเกิดบาดเจ็บหรือตายขึ้นมาล่ะก็——นั่นคงเป็นเพราะแค่ [ดวงไม่ดี] ล่ะมั้งนะ”
“……ดะ ดวง?”
พอถึงตรงนั้นคุณคุสุโนกิก็ได้หันกลับมาในที่สุด ซึ่งภายในดวงตาที่สั่นไหวอยู่นั้นก็ได้เห็นเหมือนมีความรู้สึกหวาดหวั่นอันแสนเบาบางปะปนอยู่ด้วย
“ไม่ใช่แค่ในต่างโลกเท่านั้นหรอกนะ เพราะถ้าเป็นเวลาที่คนเราจะตายก็ตายได้ง่ายๆเลย ไม่ว่าจะดูแลร่างกายมาแบบไหนหรือจะรักษาสุขภาพมายังไง จะเป็นคนดีหรือว่าจะเป็นคนเลวถ้าหากดวงไม่ดีแล้วล่ะก็ยังไงก็ได้ตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีนั่นแหละ อ๊ะ ไม่ได้จะบอกว่าอยากตายอะไรแบบนั้นหรอกนะ ฉันเองก็กลัวตายเหมือนกัน ถึงจะคิดว่าไม่อยากตายก็เถอะ……แต่ก็นะ ในตอนที่มันจะไม่เกิดอะไรยังไงมันก็ไม่เกิดอะไรอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?”
“……”
“อ๊ะ คือว่า……โทษที วิธีพูดอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไรล่ะมั้ง คือไม่ได้จะพยายามยัดเยียดความคิดของฉันให้อะไรแบบนั้นหรอกนะ แค่จะบอกว่าไม่ต้องไปคิดมากในเรื่องที่มันแล้วไปแล้วขนาดนั้นก็ได้อะไรทำนองนั้นน่ะ……”
“……ไม่ค่ะ ทางฉันเอง ก็ขอโทษที่ถามอะไรแปลกๆไปค่ะ”
อื~มไม่ไหวแฮะ คงเป็นเพราะใช้ชีวิตโดดเดี่ยวมานานความสามารถในการสื่อสารของฉันเลยต่ำเตี้ยเรี่ยดินเกินไป จนไม่สามารถพูดฟอลโลว์แบบดีๆให้ได้เลย แย่จริงๆเลย ถึงยังไงก็เถอะแต่จากนี้ไป1ปีก็ต้องอยู่ในสถานภาพเดียวกันด้วย เลยไม่อยากที่จะทำให้เกิดพวกเรื่องทะเลาะเบาะแว้งแปลกๆขึ้นมาน่ะนะ……
“……ขอถามอะไร อีกสักเรื่องได้ไหมคะ?”
“หืม?”
“……คุณไคโตะน่ะ ตลอด1ปีในโลกแห่งนี้ อยากที่จะใช้ชีวิตแบบไหนเหรอคะ?”
“……”
ตรงหน้าโต๊ะขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นไว้สำหรับการทำงาน ลิเลียที่เป็นเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ก็ได้กำลังเอามือมากอดอกพร้อมทำหน้าบูดบึ้งเล็กน้อยอยู่
“……ถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนั้นจะมีความวิตกไว้อยู่แล้วก็เถอะค่ะ แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ไวเกินไปสินะคะ”
“……ต้องขออภัยด้วยค่ะ เป็นความผิดพลาดของฉันเองค่ะ”
“ไม่ค่ะ มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของลูน่าหรอกค่ะ ขอบอกตามตรงเลยว่าแม้แต่ฉันเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเป็นถึงขนาดที่ทั้ง [เงา] และเธอจะ [คลาดสายตา] ไปจากคุณไคโตะในเวลาเดียวกันได้ ไม่สิ คงเผลอประมาทไปค่ะ……ถึงผลการตรวจสอบโดยละเอียดจะยังไม่ปรากฏออกมาก็ตาม แต่ดูแล้วคงจะมีการใช้ [เวทมนตร์ปิดกั้นการรับรู้] กับคุณไคโตะไม่ผิดแน่นอนสินะคะ”
เรื่องที่พวกเธอกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น คือเรื่องเกี่ยวกับการที่ได้คลาดสายตาไปจากมิยามะ ไคโตะในเมืองเมื่อตอนเย็นของวันนี้ ถึงเจ้าตัวจะไม่ได้ใส่ใจอะไรขนาดนั้น——ไม่สิ ถึงจะรับรู้ว่าเป็นเพียงแค่การพลัดหลงในฝูงชนก็ตาม แต่สำหรับพวกเธอแล้วมันคือเหตุการณ์ที่ร้ายแรงเป็นอย่างมาก
“ทั้งเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และวัฒนธรรมทางอาหาร……จนถึงตอนนี้สิ่งที่ได้รับเข้ามาจากผู้ที่อยู่ในต่างโลกที่ถูกเรียกมาในฐานะผู้กล้านั้น ก็ได้ทำให้เกิดการปฏิวัติต่างๆนาๆมากมายค่ะ ถึงผู้ที่จะสามารถเชื่อมถึงองค์ความรู้ของต่างโลกอันเป็นสิทธิประโยชน์จะมีตัวตนในจำนวนที่ได้จำกัดไว้ก็เถอะนะคะ แถมการคุ้มกันของท่านผู้กล้าก็มีความเข้มงวดเป็นอย่างมากฉะนั้นการที่จะเอามาใช้งานเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนจึงเป็นเรื่องยาก”
“……แต่ว่า ในครั้งนี้ก็ได้มี [ชาวต่างโลกนอกเหนือจากผู้กล้า] ปรากฏตัวขึ้นจนได้ค่ะ เพราะแบบนั้นคุณหนู จึงได้รีบทำการคุ้มครองสถานภาพของทั้ง3ท่านเป็นการด่วน”
“ใช่ค่ะ ก็ถ้าหากมันได้เผยแพร่ออกไปคงได้มีผู้ที่คิดใช้กลอุบายอันแข็งกร้าวออกมาแน่ล่ะนะคะ แต่ก็ ไม่คิดเลยว่าแค่ในวันแรกจะถึงขนาดที่จู่ๆก็มีการใช้เวทมนตร์ใส่เลยแบบนี้……เห็นเป็นได้แค่ว่าในผู้ที่ไปพบปะกันในการอัญเชิญคงจะมี [หนอน] อยู่สินะคะ”
ในตอนที่ไคโตะได้ออกไปข้างนอกลิเลียนั้น ไม่ใช่แค่เพียงลูน่ามาเรียแต่ก็ได้ให้คนอีกหลายคนที่เชี่ยวชาญในด้านการคุ้มกันแอบติดตามไปด้วยอย่างลับๆ เพื่อไม่ให้องค์ความรู้ของต่างโลก ไม่ให้เหล่าผู้ที่ปรารถนาในสิ่งนั้นได้กระทำการอันอุกอาจขึ้นมา……แต่ทว่า สถานการณ์ที่ทุกคนในตอนนั้นได้คลาดสายตาไปจากไคโตะในเวลาเดียวกัน คงไม่อาจบอกเป็นอย่างอื่นได้นอกเสียจากเป็นสิ่งที่เกินกว่าจะคาดคิดเท่านั้น
“……แล้วกับทั้ง3ท่าน?”
“จะพูดให้ฟังได้ที่ไหนกันล่ะคะ แค่ที่เป็นอยู่ก็คงจะกำลังรู้สึกกังวลกับการที่ถูกอัญเชิญมายังต่างโลกอยู่แล้วแท้ๆ แล้วนี่จะให้ไปบอกแบบไหนกันล่ะคะว่าพวกตัวเองอาจจะกำลังถูกเพ่งเล็งอยู่ก็ได้น่ะ……ในเรื่องนี้ คงต้องมาทำการคลี่คลายกันแค่ตรงนี้เท่านั้นแหละค่ะ ยังไงก็ช่วยรีบไปรายงานเรื่องที่ต้องการอุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับใช้ต่อต้านเวทมนตร์ปิดกั้นการรับรู้แล้วก็เงาอีกจำนวนหนึ่งกับท่านพี่——กับฝ่าบาทโดยเร็วด้วยนะคะ”
“ทราบแล้วค่ะ แต่ว่า ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะคะ ทั้งที่เมื่อเทียบกับการยอมข้ามสะพานอันตรายถึงขนาดที่ยังเหลือร่องรอยเวทมนตร์ปิดกั้นการรับรู้ทิ้งไว้ แต่กลับไม่มีการดำเนินการอะไรเลยเนี่ย……”
“……คงเป็นเพราะถูกทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้น่าจะถูกกว่านะคะ แล้วเรื่องที่เกี่ยวกับเผ่ามารที่คุณไคโตะไปพบเจอโดยบังเอิญล่ะ?”
“ก็อย่างที่รู้กันว่า [จำชื่อไม่ได้แล้ว] น่ะค่ะ คงเพราะเวทมนตร์ที่ใช้ในการปกปิดข้อมูลที่เผ่ามารชั้นสูงชอบใช้กันด้วย ถ้ามาคิดกันในจุดที่ว่าเวทมนตร์ปิดกั้นการรับรู้ที่ควรจะถูกใช้ใส่ท่านมิยามะได้ถูก [บังคับปลดออก] ก็พอที่จะสามารถคาดเดากันได้ว่าเป็นเผ่ามารที่มีระดับสูงเลยไม่ใช่เหรอคะ อีกทั้งยังสิ่งนี้อีก……”
ขณะที่กำลังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น ลูน่ามาเรียก็ได้ทำการวางสร้อยคอที่ได้รับฝากมาจากไคโตะไว้บนโต๊ะ
“……ผลการตรวจสอบล่ะ?”
“ความบริสุทธิ์ของผลึกเวทนั้นต่อให้ประเมินยังไงอย่างต่ำก็อยู่ที่มากกว่า90% ส่วนศาสตร์เวทที่ได้ถูกใส่ไว้นั้น……น่าเสียดายที่แม้จะเป็นจอมเวทประจำตระกูลเองก็ไม่สามารถถอดความได้ค่ะ แต่ในขั้นต่ำสุดก็มีมากกว่า10อย่างค่ะ”
“…… [ระดับสมบัติชาติ] งั้นเหรอคะ……ถึงเรื่องเป้าหมายในขั้นปัจจุบันนั้นจะยังไม่ชัดเจนก็ตาม แต่ขอบอกตามตรงเลยว่าการที่จะให้ไปปะทะกับเผ่ามารระดับนี้เนี่ยมัน ไม่อยากจะจินตนาการถึงเลยนะคะ”
“ค่ะ ในขั้นต่ำสุดถ้าไม่ใช่ระดับจอมเวทแห่งราชสำนักล่ะก็ คงไม่พอที่จะไปเป็นคู่ปรับให้ได้เลยล่ะค่ะ……”
“ถึงยังไง ในตอนนี้ก็มาเตรียมรับมือให้มากขึ้นกันเถอะค่ะ แล้วที่คฤหาสน์?”
“ทั้งศาสตร์เวทตรวจจับรวมถึงเขตแดนรับรู้ก็ได้ทำการขยายการใช้งานไปอย่างซับซ้อน รวมถึงให้จัดวางพวกเงาเอาไว้ด้วยเผื่อเวลาฉุกเฉินพร้อมสั่งไปแล้วว่าอย่าให้มีหนูเล็ดลอดผ่านไปได้แม้แต่ตัวเดียวค่ะ”
“……ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากที่จะคลี่คลายให้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆล่ะนะคะ”
ช่วงเวลาที่ทั้งหมดเต็มเปี่ยมไปด้วยความเงียบสงัดของค่ำคืน ฉันก็ได้ออกมาข้างนอกห้องที่ตรงดาดฟ้า——หรือควรจะเรียกว่าระเบียงของห้องน่าจะถูกกว่า เพื่อที่จะมามองดูพระจันทร์และดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
ถึงจะเป็นท้องฟ้าของต่างโลก ก็เห็นว่ามันไม่ได้ต่างไปจากที่เคยเห็นที่โลกเลย แม้พวกดวงดาวหรือกลุ่มดาวนั้นอาจจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างก็ตาม แต่กับฉันที่ไม่ได้รู้เรื่องดาราศาสตร์ก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี
แล้วในขณะที่เส้นผมได้ปลิวไหวไปกับสายลมที่ได้พัดมาเป็นครั้งครา ก็ได้หวนกลับไปนึกถึงคำถามของคุณคุสุโนกิเมื่อสักครู่นี้
——อยากที่จะใช้ชีวิตแบบไหนเหรอคะ?
ทั้งที่ว่าอยากจะทำอะไร อนาคตอยากเป็นอะไร หรือมีเป้าหมายอะไรเนี่ย……ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ยังไงก็ไม่ถนัดกับการถูกถามคำถามอะไรแบบนั้นที่สุดเลยแฮะ ถึงจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่าเรื่องของตัวเองก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะเข้าใจได้ดีที่สุดก็เถอะ แต่ฉันน่ะกับเรื่องของตัวเองเป็นอะไรที่ไม่เข้าใจที่สุดแล้วล่ะ
ถึงจะลองกลับมาคิดดูอีกครั้ง ก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจอยู่ดี ฉันน่ะกับการที่ได้ถูกอัญเชิญมายังต่างโลกแห่งนี้เนี่ย กำลังคาดหวังอะไรอยู่งั้นเหรอ? หรือว่าแค่กำลังหมดหวังอยู่กันแน่? เพราะไม่ว่าอย่างไหนก็รู้สึกว่ามันเป็นคำตอบที่ถูกต้องทั้งคู่ อีกทั้งไม่ว่าอย่างไหนก็รู้สึกว่ามันผิดทั้งคู่ด้วยเหมือนกัน
ทั้งการเลือกเข้าโรงเรียนม.ปลายด้วยเหตุผลที่ว่าเพราะแค่มันอยู่ใกล้บ้าน ทั้งการที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายในสายอาชีพที่เฉพาะเจาะจงเพียงเพราะแค่ยังไม่อยากที่จะทำงานในฐานะคนของสังคมในทันทีก็เลยเลือกที่จะเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ซึ่งบางทีหลังจากนี้เองก็คงได้สนุกสนานไปกับชีวิตนักศึกษาแบบพอประมาณ แล้วไปเป็นมนุษย์เงินเดือนก็คงจะเหมาะสมดีไม่ใช่เหรอ ก็ได้แต่คิดลอยชายอะไรแบบนั้นอยู่เรื่อยไป
ชอบทั้งการเล่นเกม โดยเฉพาะแนวRPG……เพราะถึงแม้จะไม่ได้คิดด้วยตัวเอง อย่างการที่พวกศัตรูที่ควรกำจัดหรือพวกอุปกรณ์ที่เป็นเป้าหมายนั้นได้มีการถูกจัดเตรียมไว้ให้แล้วก็ตาม แต่ถ้าทำการเคลียได้ก็พอที่จะสามารถรับรู้ได้ถึงความสำเร็จอยู่พอตัว
ชอบทั้งการอ่านไลท์โนเวล โดยเฉพาะที่เป็นเรื่องราวตามแบบแผนที่ให้ความรู้สึกสบายใจ แล้วถ้าหากทำการใส่ความรู้สึกเข้าไปกับตัวเอกก็จะคิดได้ว่าตัวเอกได้เข้าไปเผชิญหน้ากับความยากลำบาก จนทำให้ข้ามผ่านความทุกข์ยากไปได้
การเข้าเผชิญหน้ากับความยากลำบาก แล้วประสบความสำเร็จในเป้าหมายได้แม้จะต้องทุกข์ทนนั้นคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก อีกทั้งการมีเป้าหมายหรือความฝัน แล้วพยายามมุ่งหน้าไปยังสิ่งนั้นก็คิดว่าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิเหมือนกัน ถ้างั้น ฉันที่ไม่มีสิ่งพวกนั้นอยู่ก็เป็นได้แค่คนที่ผิดเพี้ยนและไม่ได้ความงั้นเหรอ? หรือแค่กำลังหนีจากความเป็นจริงอยู่กันล่ะ? แล้วฉันมีแต่ต้องทำแบบนั้นงั้นเหรอ? มันทั้งไม่เข้าใจแล้วก็ไม่เคยมีคำตอบออกมาเลย
ในทางตรงข้ามถึงจะคิดว่าหากพยายามก็น่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ไม่ใช่เหรอขึ้นมา ก็จะคิดว่าเรื่องนั้นไม่เห็นจำเป็นที่ต้องเป็นตอนนี้เลยก็ได้อยู่ดี และต่อให้มีความรู้สึกที่คิดว่าอยากจะเปลี่ยนอยู่ก็ตาม ก็ยังมีความรู้สึกที่คิดว่าอยากจะใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายไม่จบไม่สิ้นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
ตั้งแต่ที่ได้ถูกอัญเชิญมายังโลกแห่งนี้ก็ยังคงเป็นแบบนั้น ในทางตรงข้ามถึงแม้จะโล่งใจกับการที่เป็นโลกอันสงบสุขแถมผู้กล้าเองก็ไม่ใช่ตัวตนที่ยุ่งยากอะไร แต่ก็ผิดหวังที่ตัวเองนั้นไม่ใช่ผู้กล้า——ไม่ใช่ตัวเอกของเรื่องราว จนทำเอาคิดว่าฉันเนี่ย มีแต่ความย้อนแย้งเต็มไปหมด
ทั้งที่คิดว่าอยากจะเปลี่ยนแต่ทั้งความพยายามที่จะเปลี่ยน ทั้งความกล้าที่คิดจะเปลี่ยนตัวเองดูก็ไม่มี ก็เลยมามองดูท้องฟ้าที่ไม่มีอะไรพร้อมกับอ้าปากกว้างๆ แล้วคาดหวังไปว่าจะมีเรื่องดีๆอย่างมีโมจินำโชคตกลงมาจากที่ไหนสักแห่ง
เป็นเรื่องที่บ้าบอสิ้นดีเลย ถึงจะทำแบบนี้ไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนแล้วอ้าปากกว้างๆไป——ยังไงก็คงไม่มีโมจินำโชคตกลงมา……
“งั้น เอาเป็นเบบี้คาสเทลล่าละกัน!”
“อุ๊บอ๊อก!?!?”
พอทำตัวเหม่อลอยพร้อมกับอ้าปากกว้างไปด้วย ก็ได้มีเบบี้คาสเทลล่ากองเท่าภูเขาถูกยัดเข้ามา จนเหมือนกับว่ามีดอกไม้ไฟสีน้ำตาลที่พุ่งออกมาจากปาก
เด็กดีทั้งหลายห้ามทำตามเด็ดขาดเลยนะ แต่ก็ไม่คิดเลย ว่าวิกฤตการณ์แห่งชีวิตที่ได้ลิ้มลองเป็นครั้งแรกเมื่อได้มายังต่างโลก จะเป็นสิ่งที่มาจากเบบี้คาสเทลล่าได้เนี่ย——ถึงจะเป็นเรื่องเกิดคาดยังไงมันก็มีขอบเขตนะ!?
กราบเรียนด้วยความเคารพ ท่านแม่ ท่านพ่อ——ไม่ได้มีโมจินำโชคตกลงมาจากท้องฟ้าหรอกครับ แต่ว่า——มีเบบี้คาสเทลล่าตกลงมาแทนล่ะครับ