[นิยายแปล] ทั้งที่ติดร่างแหไปกับการอัญเชิญผู้กล้า แต่ต่างโลกนั้นแสนสงบสุข - ตอนที่ 6
หลังจากที่จบเรื่องราวของจอมมารตัวประกอบกับผู้กล้าวีรชนแล้ว ก็ได้รับคำอธิบายเกี่ยวกับราชอาณาจักรซิมโฟเนียและเมืองโดยรอบอย่างคร่าวๆ
“……ถึงจะยัดเยียดให้มากเกินไปมันก็ยังไงอยู่นะคะ เพราะทุกคนเองก็คงอยากที่จะจัดระเบียบอะไรหลายๆอย่างที่อยู่ในหัวด้วย เรื่องให้คำอธิบายหลักๆเอาไว้ประมาณนี้ก่อนก็แล้วกันค่ะ”
“นั่นสินะคะ การจัดเตรียมห้องเองก็คง——อ๊ะ……”
“ลูน่า?”
“……ต้องขออภัยด้วยนะคะคุณหนู เป็นความผิดพลาดของฉันเองที่เผลอลืมไปแบบนี้ค่ะ คือเรื่องเครื่องสวมใส่ของท่านมิยามะมัน……”
“อ๊ะ……”
เมื่อการอธิบายอะไรต่างๆจบลง ในบรรยากาศที่สงบในระดับหนึ่งคุณลูน่ามาเรียก็ได้แสดงสีหน้าที่เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกมาได้ แล้วต่อจากที่ได้รับฟังคำพูดที่ออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ ก็ทำให้สามารถเข้าใจสภาพได้ในทันที
เพราะที่คฤหาสน์ของคุณลิเลียนั้นโดยพื้นฐานแล้วมีแต่ผู้หญิงอาศัยอยู่เท่านั้น พอเป็นแบบนั้นแล้วจึงไม่มีเสื้อผ้าสำหรับผู้ชายอยู่เลยยังไงล่ะ
“ลูน่า……เรื่องเวลายังจะพอทันอยู่ไหมคะ?”
“ค่ะ แต่ว่า ถึงจะเป็นฉันแต่ถ้าให้ถึงพวกชุดชั้นในก็ไม่ค่อยจะรู้ด้วยสิคะ”
“……คุณไคโตะ ต้องขออภัยด้วยนะคะ มันเป็นความรับผิดชอบของฉันเองค่ะ เนื่องจากที่บ้านหลังนี้ไม่มีเสื้อผ้าสำหรับผู้ชายอยู่เลย จึงไม่สามารถจัดเตรียมเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนให้ได้ค่ะ”
“……ไม่หรอกฉันน่ะถ้าแค่วันเดียวถึงจะไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าก็……”
“ไม่ค่ะ โชคดีที่ยังเป็นช่วงเย็น ถ้าแค่ไปซื้อมาก็คงพอที่จะได้อยู่ค่ะ……แต่เนื่องจากพวกชุดนอนนั้นถ้าแค่เพียงพวกฉันยังไงก็คงเป็นการยากที่จะตัดสินใจได้ ถึงจะต้องขอออภัยที่ทำให้เหนื่อยยาก แต่ช่วยออกไปที่เมืองกับลูน่าเพื่อเลือกเสื้อผ้าด้วยจะได้ไหมคะ?”
“อ๊ะ ครับ”
บอกตามตรงสำหรับฉันถ้าแค่วันเดียวถึงจะไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าไปก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก……แต่จากการที่ได้ประกาศออกมาแล้วว่าจะขอรับประกันเรื่องอาหารเครื่องนุ่มห่มที่พักอาศัย ก็เลยอาจจะเป็นส่วนที่ไม่สามารถยอมโอนอ่อนให้ได้สำหรับคุณลิเลียเองด้วยล่ะมั้ง
“คุณหนู เรื่องงบประมาณเอาสักเท่าไรดีคะ?”
“ก่อนอื่นก็สัก100000R รวมกับไว้สำรองด้วยแล้วช่วยซื้อมาสัก5ชุดด้วยค่ะ”
“พรวด!?”
“ทราบแล้วค่ะ”
เดี๋ยวสิรอก่อน!? 100000Rเนี่ยเทียบเป็นเงินเยนแล้วมันก็ราวๆ10ล้านเลยไม่ใช่รึไง!? มันไม่ใช่เงินที่จะเตรียมไว้สำหรับซื้อเสื้อผ้าแล้วไม่ใช่เหรอ!? เอ๊ะ? นี่หรือว่าสำหรับท่านขุนนางแล้วเค้ามีความรู้สึกกันว่าเสื้อผ้า1ชุดราคา1ล้านเป็นเรื่องปกติกันงั้นเหรอ?
ตรงหน้าฉันที่กำลังอึ้งอยู่นั้น คุณลิเลียกับคุณลูน่ามาเรียก็ได้ทำการเตรียมเงินกันอย่างรวดเร็ว
“อ๊ะ เกือบลืมไปเลยค่ะ คุณไคโตะ คุณอาโออิ คุณฮินะ ถ้าหากมีอุปกรณ์ที่เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ล่ะก็ จะขอรวบรวมแล้วรับฝากไว้นะคะ เนื่องจากเป็นกลุ่มก้อนของวิทยาการจากต่างโลก จึงต้องให้นำไปฝากไว้กับท่านเทพธิดาแห่งกฎเกณฑ์ค่ะ”
“ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า……พวกสมาร์ทโฟนสินะครับ”
“ถึงจะไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าสมาร์ทโฟนนั่นก็เถอะค่ะ แต่เมื่อสมัยก่อนเคยมีเรื่องที่ท่านผู้กล้าถูกเพ่งเล็งสิ่งที่เรียกว่าเครื่องจักรที่ถือครองอยู่ ในตอนนี้จึงกลายเป็นว่าต้องให้รับฝากไว้ที่ท่านเทพธิดาเพื่อเก็บรักษาไว้เป็นเวลา1ปีแทนน่ะค่ะ”
แบบนี้นี่เอง ก็ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นเป็นกลุ่มก้อนของวิทยาการที่ไม่มีในโลกนี้นี่นะ……เพราะงั้นก็อาจจะมีคนที่ต้องการมันอยู่ก็ได้ ถ้าจะบอกว่าสมเหตุสมผลไหมมันก็เป็นมาตรการที่สมเหตุสมผลล่ะนะ เอาเถอะ จะอย่างไหนก็ได้น่ะนะเพราะยังไงก็คงชาร์จแบตสมาร์ทโฟนไม่ได้อยู่แล้ว แถมการจะถ่ายรูปเองก็ดูจะไม่เหมาะในหลายๆอย่างด้วย
พวกฉันจึงได้แยกกันเก็บพวกสมาร์ทโฟนหรือนาฬิกาข้อมือที่เป็นระบบดิจิตอล โดยเก็บไว้ในกล่องอันงดงามที่คุณลูน่ามาเรียได้เตรียมไว้ให้สำหรับแต่ละคน แล้วถึงจะมีคิดว่าจะทำยังไงกับเรื่องนาฬิกาดีก็เถอะ กลับกันก็ได้มีการให้ยืมสิ่งที่เหมือนกับนาฬิกาพกมาแทน แต่แค่เห็นด้วยตาก็รู้เลยน่ะนะ ว่านาฬิกาพกนี่น่ะเป็นของที่โคตรแพงเลย……ให้มาพกของแบบนี้ยังจะรู้สึกหวาดเสียวกว่าอีก
พอได้ลงจากรถม้ามาไม่กี่นาที หลังจากที่ได้อยู่บนรถม้าที่สั่นไหวไปมาราวๆ10นาที และได้เดินไปในตัวเมืองที่เปี่ยมด้วยอิมเมจที่เหมือนกับยุโรปยุคกลางจนมาถึงที่ร้านขายเสื้อผ้า ก็ได้ซื้อเสื้อผ้าอย่างชุดชั้นในแล้วก็ชุดนอนมา5ชุด
ควรจะพูดว่าสมกับเป็นร้านที่ตระกูลดยุกให้การรับรองดีไหมนะ เพราะไม่ว่าจะเป็นชุดไหนก็ถูกทำมาเป็นอย่างดีเพียงแค่ใช้มือสัมผัสก็รู้สึกได้เลยว่าเป็นของชั้นสูงจนน่าสะพรึงในระดับที่ค่อนข้างจะทำเอาใจฝ่อขึ้นมาเลย
ถึงตั้งใจที่จะพยายามหาซื้อเสื้อผ้าที่ดูจืดๆมาแล้วก็เถอะนะ แต่ราคารวมทั้งหมดก็อยู่ที่25000R……อยู่ที่2ล้าน5แสนเยน 2ล้าน5แสนเยนไงล่ะ……เชื่อกันลงไหมล่ะ? นี่แค่ซื้อเสื้อผ้าเองนะ?
“……คือว่าเอาเป็นเสื้อผ้าที่ถูกกว่านี้ก็ได้นะครับ……”
“เพราะท่านมิยามะน่ะเป็นแขกของคุณหนู——เป็นแขกของตระกูลดยุกล่ะนะคะ หากเป็นเสื้อผ้าที่ค่อนข้างราคาถูกแล้วล่ะก็ ความสูงศักดิ์ของคุณหนูจะถูกเคลือบแคลงเอาได้ค่ะ”
“แค่เรื่องแบบนั้นเองเหรอครับ?”
“……หากเป็นขุนนาง ยังไงก็ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าการสร้างภาพลักษณ์อยู่ค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้เลือกร้านที่จัดเตรียมเสื้อผ้าอันเรียบง่ายไว้เมื่อเทียบกับปกติให้แล้วนะคะ”
“นั่นน่ะนะ เรียบง่าย……”
บนถนนยามเย็นที่มีผู้คนพลุกพล่านมากมายนั้น ก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนพร้อมกับเดินไปด้วยกันกับคุณลูน่ามาเรีย แม้จะได้เจอชุดที่แบบว่าเปล่งประกายระยิบระยับสุดๆเลยก็ตาม แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นสำหรับขุนนางแล้วก็ดูเหมือนจะเป็นชุดที่สำรวมอยู่น่ะนะ
“ถึงงั้นก็เถอะ แต่จำนวนคนนี่สุดยอดเลยนะครับ”
“ก็ช่วงเวลาไม่ค่อยจะดีด้วยล่ะนะคะ โดยเฉพาะวันพรุ่งนี้ที่เป็นวันปีใหม่อีก”
อ๋อนั่นสินะ ถึงความรู้สึกของฉันมันจะเป็นช่วงก่อนหยุดฤดูร้อนก็เถอะ……แต่ในโลกฝั่งนี้คือช่วงสิ้นปีนี่นะ แม้จะไม่รู้ว่าปีใหม่ของโลกฝั่งนี้เป็นแบบไหน ก็ยังมีเรื่องที่ว่าที่นี่เป็นเมืองหลวงด้วยสิยังไงก็คงจะคึกคักกันล่ะนะ
จากนั้นพอได้เดินผ่านลานกว้างที่มีน้ำพุขนาดใหญ่อยู่พร้อมกับที่คิดเรื่องนั้นไปด้วย สายตาก็ได้ไปหยุดอยู่กับสิ่งที่เหมือนรถม้าขนส่งที่กำลังลอยอยู่
โห หรือว่านั่นน่ะจะเป็นเวทมนตร์รึเปล่านะ? ถึงตอนที่ได้คำว่าเวทมนตร์รักษาสภาพอะไรนั่นจะคาดหวังไว้อยู่แล้วก็เถอะ แต่สมกับที่เป็นต่างโลกเลยแฮะ! การที่เวทมนตร์ถูกเอามาประสานเข้ากับชีวิตประจำวันเนี่ยทำเอารู้สึกประทับใจขึ้นมานิดหน่อยเลย
“คุณลูน่ามาเรีย ที่ลอยอยู่นั่นน่ะ——อ้าว?”
ทั้งที่ตอนถูกช่วงชิงสายตาไปกับเกวียนขนส่งที่กำลังลอยอยู่นั้นเป็นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีแท้ๆ แต่วิสัยทัศน์ในตอนที่หันกลับมานั้นก็ไม่เห็นตัวของคุณลูน่ามาเรียเสียแล้ว พอรีบหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหา แต่จากจำนวนคนที่มากมายก็เลยทำให้ไม่สามารถหาคุณลูน่ามาเรียเจอได้
แล้วอยู่ๆก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังหน้าซีดขึ้นมาทันทีเลย นี่น่ะคือไอ้นั่นล่ะสินะ? ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจก็เถอะ แต่ก็คงเป็นแบบนั้นสินะ?
“……หลง ซะแล้ว?”
งานแล้วงานเข้าซวยสุดๆ ดันคลาดสายตาไปจากคุณลูน่ามาเรียซะแล้ว!? อีกทั้ง ถึงจะลองออกตามหาก็มีคนเยอะเกินไปแถมยังมาด้วยรถม้าจนถึงกลางทางอีก เลยทำให้ไม่รู้ทางกลับด้วย
ทะ ทำยังไงดี!? เวลาแบบนี้ไม่ควรจะเคลื่อนไหวมั่วซั่วจะดีกว่ารึเปล่านะ? ไม่สิ ถึงจะอยู่ที่นี่ทั้งๆแบบนี้ไปก็ดูจะถูกพัดไปกับคลื่นฝูงชนด้วย……อ๊ะ จริงสิ! ถ้าเป็นหน้าน้ำพุขนาดใหญ่นั่นล่ะก็!
ขณะที่กำลังรู้สึกสับสนกับสถานการณ์ที่ได้หลงอยู่ตัวคนเดียวในสถานที่ที่ไม่รู้จัก ก็ได้เคลื่อนตัวไปยังหน้าน้ำพุที่ดูจะเป็นจุดสังเกตอะไรให้ได้
ทำลงไปจนได้……ถึงจะบอกว่าไม่รู้จักพื้นที่ แต่กลับมาพลัดหลงในทันทีเนี่ยขำไม่ออกเลยสักนิด ถึงคิดว่าบางทีในตอนนี้คุณลูน่ามาเรียก็คงจะรู้สึกตัวแล้วกำลังออกตามหาอยู่ก็เถอะ แต่จากในฝูงชนอันเหลือเชื่อนี่จะสามารถหากันจนเจอได้ไหมเนี่ย? อุหวา ชักจะรู้สึกไม่สบายใจสุดๆขึ้นมาเลย!? เอาจริงๆนะควรจะทำยังไงดีเนี่ย……
“เป็นอะไรไปเหรอ? ดูเหมือนกำลังมีปัญหาอะไรอยู่เลยนะ?”
“……เอ๊ะ?”
ในขณะที่กำลังกุมหัวอยู่ตรงหน้าน้ำพุ ทั้งที่น่าจะกำลังอยู่ในความอึกทึกแท้ๆแต่กลับได้ยินเสียงอย่างชัดเจน พอตอบสนองโดยการหันกลับไปยังทางที่ได้ยินเสียงเข้า ก็ทำเอาแข็งทื่อไปในทันที ไม่สิ บอกว่าเป็นสีหน้าถูกช่วงชิงสายตาไปน่าจะถูกต้องกว่า
ซึ่งที่อยู่สุดปลายสายตานั้นเป็นเพียงเด็กที่ดูๆแล้วเตี้ยกว่า140ซม. แต่บรรยากาศที่ครอบคลุมอยู่นั้นควรบอกว่าต่างจากภาพที่เห็นจะดีกว่า อีกทั้งยังมีผมกึ่งสั้นสีเงินที่มองเห็นราวกับกำลังเปล่งประกายอยู่ พร้อมนัยน์ตาสีทองอันแสนงดงามในระดับที่แม้จะเป็นอัญมณีก็ยังจืดจาง และใบหน้าแสนน่ารักน่าเอ็นดูที่เห็นเป็นได้ทั้งหนุ่มน้อยและสาวน้อย……เด็กที่ได้ห่อหุ้มร่างกายด้วยเสื้อโคทสีดำขนาดใหญ่——ด้วยชุดที่มองเห็นราวกับว่าเป็นชุดโรปด้วยแขนเสื้อที่มีเหลืออยู่มากพอนั้น กำลังส่องประกายออกมาต่างจากภาพที่เห็นราวกับเป็นงานศิลปะที่ได้ถูกพระอาทิตย์ยามเย็นสาดแสงใส่ จนเพลอมองเพลินไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลย
“คือว่า? เป็นอะไรไหม?”
“อ๊ะ คือว่า……”
“เธอ เป็นคนจากต่างโลกสินะ นี่หรือว่ากำลังพลัดหลงอยู่รึเปล่า? ถ้าไม่รังเกียจที่เป็นเราล่ะก็จะให้คำปรึกษาก็ได้น้า~”
“ห๊ะ!?”
เด็กคนนั้นได้เข้ามาชวนคุยด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน พร้อมเผยรอยยิ้มอันแสนน่ารักน่าเอ็นดูที่ราวกับบุปผาบานสะพรั่งออกมา……คนจากต่างโลก? ทำไม เรื่องนั้นถึงได้?
“ก็ความรู้สึกของพลังเวทมันคล้ายกับผู้กล้าด้วยสิ แถมเสื้อผ้าเองก็เป็นชุดที่ไม่ค่อยมีให้เห็นอีกเลยคิดไปว่าเป็นอย่างนั้นรึเปล่าน้า~น่ะนะ”
“คะ คือว่า……”
เรื่องเสื้อผ้าก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก แต่พลังเวทที่ว่าเนี่ยไอ้นั่นน่ะเหรอที่เป็นพลังงานสำหรับเอาไว้ใช้เวทมนตร์น่ะ……มันเป็นสิ่งที่ดูแล้วเข้าใจได้งั้นเหรอ?
“จะบอกว่าดูก็ยังไงอยู่ เอาเป็นรู้สึกได้น่าจะสื่อได้ถูกกว่านะ”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง……เอ๊ะ?”
เมื่อกี้ ฉันยังไม่ได้ส่งเสียงออกไปเลยนี่นา? เด็กคนนี้ เอสเปอร์เหรอ?
“อ๊ะฮะฮะ ก็เรื่องที่เธอคิดอยู่มันออกมาทางสีหน้าหมดเลยนี่นา เข้าใจง่ายสุดๆเลยล่ะ”
“อึก……”
“อ๊ะ โทษทีนะโทษที ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้ดูเป็นคนโง่อะไรหรอก เพราะเราก็ชอบเด็กที่เป็นแบบนั้นมากกว่าล่ะนะ”
เมื่อได้เห็นเด็กคนนี้หัวเราะออกมาด้วยใบหน้าที่แสนน่ารักน่าเอ็นดู พร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาก็ทำเอารู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้นิดหน่อย แต่ว่า ทั้งที่น้ำเสียงแล้วก็ที่ตาเห็นนั้นดูเยาว์วัยแท้ๆ แต่กลับเป็นเด็กแปลกๆที่ออกไปทางเหมือนเป็นผู้ใหญ่จากพวกความรู้สึกที่ได้จากเสียงไม่ก็บรรยากาศ
“แหม เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้วล่ะนะ……ก็เราน่ะถึงจะเห็นเป็นแบบนี้แต่ก็มีชีวิตอยู่มายาวนานกว่าเธอไม่รู้กี่ร้อยเท่าแล้วล่ะ เพราะงั้นถ้ามีปัญหาล่ะก็จะเป็นพลังให้ก็ได้นะ”
“……ไม่รู้กี่ร้อยเท่า”
“อืม! อ๊ะ งี้นี่เอง เพิ่งจะเคยได้เห็นเผ่ามารเป็นครั้งแรกสินะ? ชื่อของเราคือโครมเอน่า……จะเป็นโครมเป็นเอน่าหรือคุโระก็ได้เรียกในแบบที่ชอบได้เลยน้า~”
เผ่ามาร!? บอกว่าเผ่ามารสินะ? แต่ดูยังไงก็เห็นเป็นมนุษย์ชัดๆ……
“รึว่าให้มีเขาด้วยดีกว่าเหรอ? เอาล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะว่าไง!”
“ไหงเขาถึงขึ้นมาทางจมูกล่ะ!?”
“หุหุหุ ถึงจะเป็นแบบนี้แต่เรื่องต่างโลกก็รู้มาเยอะแยะเลยล่ะนะ! มันมีเรื่องเล่าที่ว่าถ้าโกหกก็จะมีเขายืดออกมาด้วยใช่ไหมล่ะ? ความรู้สึกประมาณนั้นน่ะ!”
“ไม่นะ นั่นน่ะมันเรื่องที่ว่าจมูกจะยืด……”
“อะอ้าว?”
ถึงจะไม่รู้ว่าทำได้ยังไงก็เถอะ แต่เพราะงอกเขาออกมาจากจมูกอย่างมั่นใจสุดๆนั่นแหละก็เลยเผลอเข้าไปตบมุขใส่โดยไม่ทันคิด พอเป็นแบบนั้นเผ่ามารที่ประกาศว่าชื่อโครมเอน่าก็ได้ยิ้มเจื่อนออกมาพร้อมกับลบเขาออกไป แล้วกลับมาพูดต่อด้วยรอยยิ้มอันเปี่ยมสุข
“จะว่าไป ชื่อของเธอล่ะ?”
“อ่า ฉันชื่อมิยามะ ไคโตะ……”
“ไคโตะคุงสินะ! ฝากตัวด้วย~”
“ขะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ คุณโครมเอน่า”
“ไม่จำเป็นต้องใช้คำสุภาพก็ได้นี่ วิธีเรียกก็ด้วยเอาเป็นแค่คุโระก็พอแล้วล่ะ”
“งะ งั้นก็ ฝากตัวด้วย คุโระ?”
“อืม ฝากตัวด้วยนะ! งั้น เพื่อเป็นเครื่องหมายที่ได้รู้จักกัน……เชิญ1ชิ้นได้เลย~”
พอถูกทำให้ไหลไปกับการแนะนำตัวทั้งๆแบบนั้น คุโระก็ได้เอามือสอดเข้าไปที่เสื้อโคทแล้วหยิบถุงกระดาษออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดูมีความสุข เดี๋ยวสิเมื่อกี้ ไม่ใช่ว่ามันออกมาจากเนื้อผ้าของเสื้อโคทหรอกเหรอ?
ภายในถุงกระดาษที่ถูกส่งมาให้นั้น ส่งกลิ่นหวานหอมหวน……และมีขนมที่เหมือนจะเคยเห็นมาก่อนใส่ไว้อยู่
“นี่มัน รึว่าจะ”
“ใช่แล้วล่ะ เป็นขนมจากโลกของเธอสินะ? เบบี้คาสเทลล่าไง!”
“เบบี้คาสเทลล่านี่เนอะ”
“อ้าว? เอาเถอะ เอ้าๆ อร่อยนะ”
คุโระเนี่ยเหมือนจะมีความรู้ของต่างโลกแบบครึ่งๆกลางๆแฮะ เมื่อกี้ก็มีพูดถึงผู้กล้าด้วย ถึงจากที่ตาเห็นนั้นจะจินตนาการไม่ออกว่ามีชีวิตอยู่มานานก็เถอะ แต่อาจจะได้ฟังเรื่องเล่ามาจากผู้กล้าในอดีตก็ได้ล่ะมั้ง
พอถูกยัดเบบี้คาสเทลล่าเข้ามาในปากด้วยรอยยิ้มอันไร้เดียงสา ความหวานอันอ่อนโยนที่คุ้นเคยก็แพร่กระจายไปทั่วปาก ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่จิตใจก็รู้สึกสงบขึ้นมา
คุโระที่ได้มองดูฉันที่เป็นแบบนั้นหลังจากที่ได้เผยรอยยิ้มอันแสนสดใสออกมา ก็ได้พูดต่อพร้อมกับกินเบบี้คาสเทลล่าไปด้วย
“จะว่าไป ไคโตะคุงมีปัญหาอะไรอยู่เหรอ? เห็นหันไปหันมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วน่ะ……”
“อ่า พอดีหลงกับคนที่พามาน่ะ……แถมไม่รู้ทางกลับอีก จริงสิ! คุโระ รู้บ้างไหมว่าบ้านตระกูลดยุกอัลเบิร์ทเนี่ยอยู่ที่ไหน?”
“อื~ม……โทษทีนะ คือเราเองก็ไม่ได้อาศัยอยู่ที่ประเทศนี้ด้วยน่ะ ถ้าจะให้ถึงขนาดที่ตั้งของบ้านเนี่ยไม่รู้หรอก”
“งั้นเหรอ……”
“อ่า แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก ถ้ากับคนที่พลัดหลงกันยังพอตามหาให้ได้อยู่นะ”
“เอ๊ะ!?”
หลังจากที่ได้เผยรอยยิ้มออกมาราวกับจะทำเพื่อให้ฉันที่กำลังจิตตกรู้สึกดีขึ้น คุโระก็ได้เอามือสอดเข้าไปที่เสื้อโคทอีกครั้งแล้วหยิบสร้อยคอที่มีอัญมณีสีดำติดอยู่ออกมา
“เอ้า จะให้นี่นะ! ถือนี่ไว้ แล้วลองนึกถึงคนที่พลัดหลงกันดูสิ~”
“เอ๊ะ? อ๊ะ อืม”
พอวางสร้อยคอไว้บนฝ่ามือ แล้วนึกถึงคุณลูน่ามาเรียตามที่ถูกบอกมาดู……ก็ได้มีแสงที่เหมือนกับเส้นสีดำพุ่งออกมาจากอัญมณี
“โอ๊ะ โอ้!?”
“ถ้าเดินตามนั่นไปก็จะเจอเองล่ะ ก็สร้อยคอนั่นน่ะได้มีการลงเวทมนตร์ค้นหาไว้อยู่นี่นา~”
“ขะ ขอบคุณนะ! วะ ว่าแต่ นี่น่ะ……ให้รับไว้จะดีเหรอ?”
“อ๊ะฮะฮะ ก็ยังเด็กอยู่นี่นาเรื่องเกรงใจอะไรนั่นไม่ต้องก็ได้นะ แถมตอนที่มีปัญหามันก็เหมือนกันทั้งคู่นั่นแหละ!”
“เด็กเหรอ……ถ้าจากที่ตาเห็นล่ะก็ ทางคุโระน่ะดูยังไงก็เด็กกว่าแท้ๆ……”
“อ๊ะ จะว่างั้นมันก็ถูกเนอะ”
แม้จะได้รับการเยียวยาจากคุโระที่เข้ามาชวนคุยด้วยรอยยิ้มอันเปี่ยมสุข จนต้องพูดคำขอบคุณซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง แต่เรื่องนี้ก็ช่วยได้มากจริงๆ เพราะแบบนั้นก็เลยเหมือนว่าจะสามารถกลับไปได้แล้ว
“……จะว่าไปคุโระเนี่ยเป็น เด็กผู้ชาย? หรือ เด็กผู้หญิง?”
“เราหรอก? [จะแบบไหนก็เป็นได้] ล่ะ ถึงตอนนี้จะเป็นเด็กผู้หญิงก็เถอะนะ”
“……เผ่ามารเนี่ยเปลี่ยนเพศได้ตามใจเป็นเรื่องปกติเหรอ?”
“ไม่หรอก ก็มีหลายๆอย่างน่ะนะ มีทั้งแบบที่มีทั้งชายหญิงเหมือนเผ่ามนุษย์ ทั้งแบบที่ไม่มีเพศเป็นของตัวเองจนไม่ต้องมีการสืบพันธุ์ รวมถึงมีพวกที่เปลี่ยนได้ตามใจชอบแบบเราอยู่ด้วยล่ะน้า~”
“เฮ้อ แปลกดีแฮะ”
ว่าแล้วเชียวว่าที่โลกนี้พวกสามัญสำนึกทั่วไปของฉันเหมือนจะเป็นสิ่งที่เอามาใช้การไม่ได้แฮะ โอ๊ะ คงจะเอาแต่ตกใจไม่ได้แล้ว เพราะคุณลูน่ามาเรียเองก็คงจะกำลังตามหาฉันอยู่เหมือนกันต้องรีบไปรวมตัวกันก่อน
“ยังไงก็ขอบคุณจริงๆนะ”
“ไม่ต้องใส่ใจก็ได้น่า~แล้วถ้ามีโอกาสก็มาคุยกันอีกนะ”
“อ่า”
“ไว้เจอกันน้า~ไคโตะคุง”
พอบอกขอบคุณอีกครั้งกับคุโระที่โบกมือให้พร้อมรอยยิ้มอันไร้เดียงสา ก็ได้ออกมาจากลานกว้างแล้วเดินตามเส้นสีดำที่พุ่งออกมาจากอัญมณี
กราบเรียนด้วยความเคารพ ท่านแม่ ท่านพ่อ——ได้กลายมาเป็นเด็กหลงที่ต่างโลก แล้วก็ได้รับการช่วยเหลือมาครับ ทั้งดูเหมือนเด็กแต่ก็ดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งดูเหมือนไม่รู้อะไรแต่ก็มีความรู้กว้างขวาง ทั้งที่ดูเข้าใจยากแต่กลับทำให้จิตใจรู้สึกโล่งสบายมากๆ ได้พบกับ——เผ่ามารแปลกๆแบบนั้นด้วยล่ะครับ
ตรงน้ำพุลานกว้างที่พระอาทิตย์ยามเย็นค่อยๆคล้อยลงต่ำ หลังจากที่ยืนเฝ้าส่งจนหลังของชายหนุ่มลับสายตาไปก็ได้ยินเสียงอันเงียบงันดังขึ้น ออกมาจากด้านหลังของเผ่ามารร่างเล็ก
“มารับแล้วค่ะท่านโครม”
“หือ? เตรียมการเสร็จแล้วเหรอ?”
“ค่ะ [ราชาซิมโฟเนีย] กำลังคอยอยู่ค่ะ”
“เข้าใจแล้ว งั้นก็ ไปกันเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดที่อัศวินชุดเกราะสีดำสนิทที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวออกมาจากไหนได้เอ่ยออกมา เผ่ามารก็ได้ก้าวเดินออกไปอย่างเงียบๆ
“……ดูเหมือน จะอารมณ์ดีมากเลยนะคะ?”
“อืม ได้เจอ [คนญี่ปุ่น] ที่น่าสนใจมาล่ะ~”
“……แต่ได้ยินมาว่าผู้ที่เป็นผู้กล้าอยู่ที่ปราสาทนี่คะ……”
“คงอัญเชิญผิดพลาดล่ะมั้งนะ? บางทีที่มาบอกว่าถ้าหากครั้งนี้พอที่จะมีเวลาก็อยากให้ช่วยมาพบที่ปราสาทหน่อยเนี่ย คิดว่าสาเหตุก็คงเป็นนั่นแหละนะ”
“แบบนี้นี่เอง”
“แหม ถึงสำหรับเราจะเป็นการพบกันที่น่ายินดีและมีความสุขก็เถอะน้า~”
เงาเล็กๆได้เดินไปด้วยรอยยิ้มอันไร้เดียงสาตามหลังอัศวินไป แม้รูปลักษณ์ที่กำลังหยิบเบบี้คาสเทลล่าเข้าไปในปากอย่างเอร็ดอร่อยนั้นจะดูเหมือนเป็นแค่เด็ก แต่กับนัยน์ตาสีทองที่ได้จ้องมองไปยังอนาคตอย่างเงียบงัน——ก็ได้มีความน่าเกรงขามสถิตอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว