[นิยายแปล] ทั้งที่ติดร่างแหไปกับการอัญเชิญผู้กล้า แต่ต่างโลกนั้นแสนสงบสุข - ตอนที่ 5
หลังจากที่พวกฉันอึ้งจนพูดไม่ออกกับการรุกรานโลกมนุษย์อันแสนน่าอนาถของจอมมารแล้ว คุณลิเลียก็ได้เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่ดูจริงจังขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ พร้อมได้ชี้นิ้วไปที่ตรงซ้ายล่างของแผนที่โลกมนุษย์……ตรงที่มีเครื่องหมายสีดำอยู่
“หากเป็นแดนมารที่มีตัวตนอันเป็นที่สุดอย่างท่าน6ราชันอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร แต่สำหรับโลกมนุษย์ในเวลานั้นแล้วเผ่ามารที่ได้ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันนั้นเป็นดั่งภัยคุกคามอันน่าหวาดหวั่นค่ะ ซึ่งกองทัพจอมมารนั้นได้ทำลายล้างนานาประเทศในละแวกใกล้เคียงไปในชั่วพริบตา แล้วผู้ที่อ้างตนว่าเป็นจอมมารก็ได้ทำการประกาศสงครามกับเผ่ามนุษย์ค่ะ หลังจากนั้นสงครามอันยาวนานของเผ่ามนุษย์และกองทัพจอมมารก็ได้เริ่มต้นขึ้นค่ะ”
“อีกทั้งท่านราชันนรกนั้น ในพิธีทำสนธิสัญญามิตรภาพก็ได้ทำการขอขมาอย่างสุดซึ้งในฐานะที่ [ตัวเองควรที่จะทำการจัดการให้มันเรียบร้อย] เกี่ยวกับเรื่องในตอนนั้นด้วยค่ะ ทั้งที่ได้รับความกรุณาของท่านราชันนรกผู้แสนใจดีไปแล้ว แต่กลับมาเริ่มกระทำการตามแต่ใจอย่างถึงที่สุด ไม่พอยังมาทำให้ท่านราชันนรกต้องมาก้มหัวอีก……การก่อความไม่สงบของจอมมารนั้นต่อให้เป็นตอนนี้ที่ผ่านเวลามาเป็น1000ปีก็ตามก็ยังไม่ควรแก่การให้อภัยค่ะ”
“อะ เอ่อ คุณลูน่ามาเรีย?”
คุณลูน่ามาเรียที่ได้เพิ่มเรื่องเสริมเข้าไปในคำพูดของคุณลิเลียนั้น ไม่ได้อยู่ในสภาพอันสงบเรียบร้อยจนถึงเมื่อครู่แต่ได้เผยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเกลียดชัง……ราวกับจะระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ออกมา จนทำเอารู้สึกกลัวขึ้นมาโดยไม่ทันคิดเลย
“แรกเริ่มเดิมที การที่ท่านราชันนรกผู้สูงส่งกลับต้องมาขอขมาเพื่อพวกที่เหมือนแมลงขยะนั่นมัน……แต่เรื่องนั้นก็สมกับที่เป็นท่านราชันนรก! ทั้งความกว้างขวางของจิตใจที่ยอมก้มหัวให้แม้แต่กับเผ่ามนุษย์ที่ต่ำต้อยกว่า ทั้งความสง่าผ่าเผยที่ยอมรับในความผิด……ว่าแล้วเชียวว่าท่านผู้นั้นนี่แหละ ที่เป็นราชันในหมู่……”
“ลูน่า ลูน่า!”
“อ๊ะ!? ขะ ขออภัยด้วยค่ะ”
คุณลิเลียได้เข้ามาห้ามปรามคุณลูน่ามาเรียที่ได้เริ่มเล่าเรื่องต่างๆออกมาราวกับไปกดถูกสวิตช์อะไรเข้าอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็ได้มองมาทางพวกฉันที่กำลังตกใจกันอยู่ แล้วก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับอธิบายให้ฟัง
“ลูน่าน่ะเมื่อสมัยก่อนเหมือนจะเคยพบกับท่านราชันนรกมาครั้งหนึ่งน่ะค่ะ นับแต่นั้นมาก็เลยรู้สึกเคารพรักด้วยความคลั่งไคล้เลยค่ะ ทุกคนเองก็โปรดระวังกันไว้ด้วยนะคะ ถ้าไปแตะเรื่องของท่านราชันนรกกับลูน่าโดยไม่ทันระวัง คงได้มีเสียเวลากันเป็นชั่วโมงแน่ค่ะ”
“……ถ้าหากเป็นจริงได้ ก็อยากที่จะไปรับใช้ท่านราชันนรกไม่ใช่มาพลาดจนสายไปแบบนี้เลย……”
“……ลูน่า เธอน่ะหลังจากนี้ได้โดยต่อยสัก2~3หมัดแน่ค่ะ”
อย่าได้ไปชวนคุยเรื่องราชันนรกกับคุณลูน่ามาเรียสินะ เอาล่ะ จำได้แล้ว แต่จะว่าไปสายตาของคุณลูน่ามาเรียเมื่อกี้นี้มันก็ไม่ได้การแล้วจริงๆนั่นแหละนะ หรือจะบอกว่าสติหลุดจนหลอนไปอย่างสมบูรณ์ดีล่ะ ให้ความรู้สึกแบบที่เหมาะกับคำว่าผู้คลั่งไคล้ได้อย่างสุดๆไปเลย
คุณลิเลียเนี่ย ท่าทางคงกำลังรู้สึกลำบากใจอยู่จริงๆล่ะมั้งเนี่ย……
“อ๊ะ มากลับเข้าเรื่องกันดีกว่านะคะ การรุกรานโลกมนุษย์ของกองทัพจอมมารนั้น……ความจริงแล้วท่าน6ราชันก็ได้เป็นกังวลกับเรื่องนี้ด้วยค่ะ”
“ “ “เอ๊ะ?” ” ”
แล้วอยู่ๆก็ไม่สามารถทำความเข้าใจในความหมายของคำพูดของคุณลิเลียได้ขึ้นมาซะเฉยๆ ส่วนที่ว่าทำไมนั้นก็เพราะจากเรื่อง6ราชันที่เพิ่งจะได้ยินมาจากที่เล่าเมื่อกี้นั้นทั้งที่มีพลังที่สามารถจัดการกองทัพจอมมารได้อย่างง่ายดายแท้ๆ ทั้งที่เป็นแบบนั้นกลับมาบอกว่าเป็นกังวลเนี่ย……เดี๋ยวก่อนสิ จะว่าไปมีเรื่องที่คาใจหน่อยๆอยู่นะ ทำไมทั้งที่มี6ราชันอยู่แล้วแท้ๆ ตัวตนที่เรียกว่าผู้กล้าถึงยังจำเป็นอยู่อีกล่ะเนี่ย?
“……ก็อย่างที่ได้กล่าวไปเมื่อครู่ ในแดนมารนั้นกองทัพจอมมารในตอนแรกไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรถึงขนาดนั้นจึงไม่ได้เป็นที่หวาดกลัวแต่อย่างใดค่ะ ดังนั้นแล้ว ข่าวสารที่ว่ากองทัพจอมมารมารุกรานโลกมนุษย์นั้น กว่าจะเข้ามาถึงหูของท่าน6ราชันได้ก็ค่อนข้างที่จะสายไปแล้ว นั่นก็เลยทำให้ในเวลานั้น ท่าน6ราชันจึงไม่ทันระวังจนทำให้ไม่สามารถที่จะจัดการกองทัพจอมมารได้ค่ะ”
“……แบบนี้นี่เอง หนี้เรื่องที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกลับมาเข้าตัวสินะคะ”
“รุ่นพี่ นั่นน่ะหมายความว่ายังไงเหรอคะ?”
ดูเหมือนว่าคุณคุสุโนกิจะเข้าใจเรื่องที่คุณลิเลียพยายามที่จะพูดออกมาแล้วน่ะนะ แต่ฉันกับคุณยูซุกินั้นยังไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไรเลย ก็ถ้าหาก6ราชันมาจัดการเก็บกวาดกองทัพจอมมารให้เรียบร้อยไปซะแบบนั้นมันก็คงจะจบไปแล้วอย่างแน่นอน แต่ด้วยวิธีการพูดของคุณลิเลียนั้นเหมือนมันจะกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ไม่สามารถยื่นมือเข้ามายุ่งได้ด้วยสาเหตุอะไรบางอย่างเข้าแทน
เมื่อได้ฟังข้อสงสัยของคุณยูซุกิ คุณคุสุโนกิก็ได้หันหน้าไปทางคุณยูซุกิพร้อมเอ่ยปากพูด
“ก็ตอนนั้นแดนมารไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกมนุษย์ไงล่ะ หรือก็คือยังไม่มีทางเชื่อมที่จะสื่อเรื่องที่สามารถเจรจากับเผ่ามนุษย์……เรื่องที่ [พวกตนนั้นไม่ได้มีความเป็นศัตรู] ออกไปได้น่ะ”
“อ๊ะ อ๋อ แบบนั้นเองสินะ!”
“ดูเหมือนคุณมิยามะเองก็รู้สึกตัวแล้วสินะคะ คิดว่าคงจะเป็นแบบนั้นไม่ผิดอย่างแน่นอนค่ะ เพราะเผ่ามารนั้นแม้ส่วนใหญ่จะรู้ว่ามีตัวตนของเผ่ามนุษย์อยู่แต่ก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน……แล้วในเรื่องนั้นหากลองมองในมุมกลับดูสำหรับเผ่ามนุษย์เองก็คงจะเหมือนกัน หรือก็คือสำหรับเผ่ามนุษย์ในตอนนั้นเผ่ามารคงจะถูกรับรู้กันว่าเป็นกองทัพจอมมารไปแล้ว”
ใช่แล้ว ในที่สุดส่วนที่ยังคาใจอยู่ก็ได้รับการคลี่คลายแล้ว เพราะถึงแม้6ราชันนั้นจะมีพลังที่จะกำราบจอมมารอยู่ก็ตาม แต่กลับไม่มีหนทางที่จะทำการเจรจาเพื่อแสดงให้เห็นได้ว่าไม่ได้มีความเป็นศัตรูต่อเผ่ามนุษย์หลังจากจัดการจอมมารได้ยังไงล่ะ
หากในสถานการณ์แบบนั้น6ราชันได้ทำการกวาดล้างกองทัพจอมมารไปในชั่วพริบตาเข้า เผ่ามนุษย์ที่ได้เห็นสิ่งนั้นจะคิดยังไงกันล่ะ? คำตอบนั้นก็ง่ายมากคงเห็นเป็น [มีเผ่ามารที่แข็งแกร่งเหนือล้ำกว่าจอมมารลิบลับมาจู่โจม] แทนน่ะสิ
“——การบุกจู่โจมของภัยคุกคามที่เหนือล้ำยิ่งกว่าจอมมาร เผ่ามนุษย์ก็คงจะกวัดแกว่งดาบอย่างไม่กลัวตายกันล่ะนะคะ หากเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็ เรื่องราวการรุกรานโลกมนุษย์ของจอมมารก็คงจะไม่ได้จบลงค่ะ คงได้กลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบของโลกมนุษย์กับแดนมาร……ไม่สิ ในทางกลับกันหาก6ราชันผู้อยู่บนจุดสูงสุดของแดนมารมีความเกี่ยวข้องกับการรุกรานโลกมนุษย์แล้วล่ะก็ แดนเทพที่อยู่ในท่าทีเฝ้าดูอยู่โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเองก็คงจะออกมาเคลื่อนไหวด้วย แล้วในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็อาจจะเกิดมหาสงครามที่เกี่ยวพันกับโลกทั้ง3แห่งขึ้นก็ได้ค่ะ เพราะแบบนั้น ท่าน6ราชันเลยไม่สามารถจัดการกับจอมมารได้ด้วยตนเอง”
ระหว่างที่รับฟังคำอธิบายต่อจากคุณคุสุโนกิ คุณลิเลียก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันหนักอึ้ง ใช่แล้ว สิ่งที่6ราชันกลัวอยู่คงเป็นเรื่องนั้นล่ะมั้ง เพราะถ้าแค่โลกมนุษย์ก็คงยังไม่เป็นไร แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือหาก6ราชันเลือกที่จะตัดสินใจอย่างไร้ความรู้สึก เพื่อที่จะไม่ให้ไฟสงครามลามมาถึงแดนมารก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะเข้าควบคุมโลกมนุษย์ด้วยกำลังก็ได้
แต่ว่าในกรณีที่แดนเทพเคลื่อนไหวแบบนั้นแล้วเรื่องก็คงจะไม่จบล่ะมั้ง อีกทั้งยังเคยเกิดสงครามกันระหว่างแดนมารกับแดนเทพครั้งหนึ่งเมื่ออดีตกาลนานมาแล้วด้วย ถ้าหากเรื่องที่เล่าสืบต่อกับมาเป็นความจริงล่ะก็ หมายความว่าพลังของแดนเทพและแดนมารนั้นคงมีความทัดเทียมในระดับหนึ่ง แล้วถ้าหากเป็นแบบนั้นเข้าแม้แต่แดนมารก็คงจะมีไฟสงครามลามมาถึงอย่างแน่นอน 6ราชันอยากที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นสินะ
“มหาสงครามที่เกี่ยวพันกับโลกทั้ง3แห่ง เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องนั้นยังไงก็จำเป็นล่ะนะคะ……ตัวตนที่จะสามารถแบกรับความหวังของเผ่ามนุษย์——ที่ถือครองพลังพอที่จัดการจอมมารลงได้ ในโลกมนุษย์ที่มีพลังอ่อนด้อยที่สุด วีรชนที่สามารถร่วมนั่งโต๊ะเจรจากับแดนมารได้……”
“นั่นก็คือ……ผู้กล้ารุ่นแรก……”
“ตามที่ว่ามาเลยค่ะ แถมยังมีทฤษฎีต่างๆเกี่ยวกับการอัญเชิญท่านผู้กล้ารุ่นแรกด้วยค่ะ อย่างท่านเทพรังสรรค์ที่เป็นกังวลเรื่องมหาสงครามได้ส่งมอบวงเวทย์อัญเชิญให้แก่เผ่ามนุษย์ในรูปแบบของเทพยากรณ์บ้าง ไม่ก็ท่าน6ราชันนั้นได้ร้องขอความร่วมมือไปยังแดนเทพอย่างลับๆบ้าง แต่แรกเริ่มแล้วการที่มีธรรมเนียมสืบทอดเรื่องเอาวงเวทย์อัญเชิญมาใช้ทั้งที่ไม่รู้ที่มาชัดเจนในโลกมนุษย์นั้น……คงเป็นเพราะโลกมนุษย์ในเวลานั้นยังคงสับสนวุ่นวายกันอยู่จึงไม่ได้มีเหลือการบันทึกที่มีความถูกต้องชัดเจนเอาไว้ค่ะ แต่ก็ได้ทำการอัญเชิญผู้กล้าขึ้นที่ราชอาณาจักรซิมโฟเนียล่ะนะคะ”
แล้วตรงนี้ก็เป็นการปรากฏตัวของผู้กล้ารุ่นแรกสินะ อื~มจะว่าไปผู้กล้ารุ่นแรกน่ะเป็นคนแบบไหนล่ะเนี่ย? ถึงจะแน่ใจได้ว่ามาจากโลกเดียวกันกับพวกฉันก็เถอะนะ แต่เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันล่ะ เป็นคนญี่ปุ่นรึเปล่ารึว่า……
“ซึ่งการเดินทางของท่านผู้กล้ารุ่นแรกนั้นได้ยินมาว่าเป็นสิ่งที่โหดหินมากเลยล่ะค่ะ ท่านผู้กล้ารุ่นแรกได้เดินทางสู่โลกมนุษย์ที่ในเวลานั้นเป็นดั่งวังวนของความสับสนวุ่นวาย พร้อมช่วยเหลือเหล่าผู้คนมากมาย รวบรวมพวกพ้องที่จะต่อสู้ไปด้วยกัน แล้วหลังจากการต่อสู้อันดุเดือดกับจอมมารก็ได้ทำการจัดการลงได้ค่ะ”
นั่นน่ะก็คงพูดได้ว่าเป็นเรื่องราวตามแบบแผนล่ะนะ แต่ความจริงแล้วคิดว่าคงจะลำบากจริงๆนั่นแหละนะ ถึงช่วงแรกจะเอาเป็นเอาตายไปกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แบบเดียวกับพวกฉันในตอนนี้ก็เถอะ แต่ในตอนนั้นคงไม่สามารถที่จะมาสอนถึงความต่างระหว่างโลกให้เข้าใจง่ายๆได้อย่างตอนนี้ด้วยล่ะนะ
การที่ถูกพัดพามายังสถานที่ที่ไม่เคยพบเห็นเพียงแค่คนเดียว ไม่พอยังต้องรวบรวมข้อมูลโดยการคลำหาพร้อมเข้าท้าทายกับศัตรูผู้ยิ่งใหญ่เพื่อผู้คนที่อยู่ในโลกนี้อีก……กับฉันแล้วคิดว่ายังไงก็คงไม่ไหวแน่ๆ
“……หลังการขับไล่จอมมารโดยท่านผู้กล้ารุ่นแรก จากตรงนั้นการกระทำของท่าน6ราชันนั้นก็ดูเหมือนจะรวดเร็วเป็นอย่างมากเลยค่ะ ทั้งการอธิบายเหตุการณ์กับท่านผู้กล้ารุ่นแรกในตอนนั้นโดยทันที และการขับไล่ผู้ที่ยังเหลือรอดอยู่ของกองทัพจอมมารในชั่วพริบตาโดยท่าน6ราชันทุกท่าน แล้วภายใต้ความร่วมมือของท่านผู้กล้ารุ่นแรก ด้วยการแสดงให้เห็นถึงเรื่องที่ว่าไม่ได้มีเจตนาจะทำสงครามและการขอขมาแก่เผ่ามนุษย์ การพัฒนาไปสู่สงครามนั้นจึงไม่ได้เกิดขึ้นค่ะ”
“……แต่ว่า ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่หลงเหลือความแค้นฝังใจสินะคะ?”
“ค่ะ ตามที่คุณอาโออิได้กล่าวมาเลย ในเวลานั้นที่ได้ถูกเชื่อมโยงระหว่างโลกมนุษย์กับแดนมารนั้นถ้าจะให้พูดก็คือบัญญัติที่จะไม่รุกรานกับการพักรบชั่วคราวค่ะ แม้จะบอกว่าจัดการจอมมารได้แล้วก็ตาม แต่ความเหนื่อยล้าของโลกมนุษย์นั้นก็ดูจะหนักหนาอยู่ล่ะนะคะ”
นั่นน่ะจะบอกว่าสมเหตุสมผลไหม มันก็สมเหตุสมผลล่ะนะ ถึงแม้จะบอกว่าจัดการจอมมารได้แล้ว แต่นั่นไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะหวนคืนกลับมาเป็นแบบเดิม แถมความประทับใจต่อเผ่ามารของเผ่ามนุษย์นั้นก็คงจะอยู่ในสถาพอันแสนเลวร้ายไปทั้งๆแบบนั้นอีก……
“แต่ทว่า ท่านผู้กล้ารุ่นแรกนั้นไม่ได้หยุดก้าวไปแต่เพียงเท่านั้นค่ะ ท่านผู้กล้ารุ่นแรกที่ได้รับฟังสถานการณ์มาจากท่าน6ราชันนั้นได้รู้ว่าสาเหตุที่ใหญ่ที่สุดในเรื่องที่เกี่ยวกับกรณีของจอมมารก็คือการที่โลกทั้ง3แห่งนั้นจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกัน จึงได้มีแรงกระตุ้นเพื่อที่จะไม่ให้เกิดเรื่องเดิมซ้ำขึ้นอีกเป็นครั้งที่2ค่ะ”
“……”
“ก่อนอื่นท่านผู้กล้ารุ่นแรกนั้นได้ทำการเกลี้ยกล่อมท่าน6ราชัน โดยขอให้มอบความร่วมมืออย่างพวกสิ่งดำรงชีพหรือทรัพยากรอาหารอันอุดมสมบูรณ์ของแดนมารให้แก่โลกมนุษย์ที่เหนื่อยล้า อีกทั้งยังได้มุ่งหน้าไปยังแดนเทพเพื่อทำการเจรจากับเผ่าเทพด้วยค่ะ แน่นอนว่านั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ทั้งมีปัญหาที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์หรือการกระทบกระทั่งกันเล็กๆน้อยๆจากหลายๆแห่ง แต่ถึงอย่างนั้น ท่านผู้กล้ารุ่นแรกก็ไม่ได้ยอมแพ้แต่อย่างใดค่ะ แม้ต้องเดินเหินไปยังแต่ละท้องที่ คอยเรียบเรียงเอ่ยคำพูดอยู่ร่ำไปจนคอแทบแตก……แต่ก็เหมือนจะยังคงร้องขอต่อไปอย่างเอาเป็นเอาตายยิ่งกว่าผู้ใดว่า [เพราะตนเองนั้นมาจากต่างโลกที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิงจึงเข้าใจได้เป็นอย่างดี แถมยังได้รู้สึกชอบโลกแห่งนี้ขึ้นมาแล้วจากใจจริง] ด้วยค่ะ”
ผู้กล้ารุ่นแรกเนี่ย จริงๆแล้วเป็นคนที่เข้มแข็งขนาดไหนกันล่ะเนี่ย? ถึงในตอนแรกจะแน่ใจได้อยู่แล้วว่าคงไม่ได้รับการสนับสนุนอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยแท้ๆ แต่การทำการเจรจาต่อไปโดยไม่ยอมหักโค่นและไม่ยอมแพ้ นั่นน่ะคงจะเป็นเส้นทางที่ลาดชันและหนักหนาสาหัสสุดๆยิ่งกว่าการต่อสู้กับจอมมารอย่างแน่นอน
“……แม้จะแค่ทีล่ะน้อย แต่ผู้ที่สนับสนุนท่านผู้กล้ารุ่นแรกก็ได้ค่อยๆเพิ่มขึ้นค่ะ อีกทั้งพอมีเกทถูกสร้างขึ้นในแต่ละท้องที่ โอกาสที่ผู้คนของโลกทั้ง3แห่งจะได้ไปมาหาสู่กันก็มีเพิ่มขึ้นเช่นกัน แล้วความฝันที่จะมุ่งสู่ความสงบสุขที่ท่านผู้กล้ารุ่นแรกได้เล่าออกมานั้น ก็ได้เปลี่ยนเป็นการมุ่งสู่อนาคตอันเป็นความปรารถนาของผู้คนมากมายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ค่ะ จากนั้นหลังใช้เวลาไป9ปี ในดินแดนที่ท่านผู้กล้ารุ่นแรกได้ทำการจัดการจอมมารลง……ในสถานที่ที่มีการต่อสู้อีก1แห่งของท่านผู้กล้ารุ่นแรกได้เริ่มต้นขึ้น เหล่าราชาของโลกมนุษย์ ท่าน6ราชันของแดนมาร ท่านเทพรังสรรค์ของแดนเทพ——ผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของโลกทั้ง3แห่งก็ได้มารวมตัวกัน ภายใต้การเป็นพยานของท่านผู้กล้ารุ่นแรก สนธิสัญญามิตรภาพของโลกทั้ง3แห่งก็ได้ถูกร่างขึ้นมาค่ะ”
“……สุดยอดเลย”
มันช่างเป็นเนื้อหาที่ยิ่งใหญ่ราวกับเทพนิยาย จนคุณยูซุกิหลุดพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ว่า สำหรับโลกแห่งนี้แล้วสิ่งนั้นมันคือเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นจริงไม่ได้เป็นแค่เพียงเทพนิยาย เพราะแบบนั้นแม้จะเป็นในตอนนี้ผู้กล้ารุ่นแรก ก็ยังคงเป็นวีรชนที่ได้รับการยกย่องล่ะมั้ง
“พอเป็นเช่นนั้น การต่อสู้ของท่านผู้กล้ารุ่นแรกก็ได้จบลงค่ะ จากนั้นในดินแดนที่ได้ถูกทำสนธิสัญญามิตรภาพนั้น ก็ได้มีการสร้างเมืองขึ้นมาเมืองหนึ่งโดยการร่วมมือของโลกทั้ง3แห่ง ซึ่งชื่อของเมืองนั้นก็คือ—— [ฮิคาริ] เมืองที่ได้มีการจัดเทศกาลหลักของงานเทศกาลผู้กล้าที่ได้ตั้งชื่อตามท่านผู้กล้ารุ่นแรกค่ะ”
……หืม? ฮิคาริ? ที่ว่าตั้งชื่อตามผู้กล้ารุ่นแรกก็หมายความว่า ผู้กล้ารุ่นแรก——เป็นผู้หญิง?
“แล้วหลังจากตอนนั้น เทศกาลเพื่อยกย่องให้แก่วีรชนผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้ถูกจัดขึ้นในทุกๆ10ปีตามจำนวนปีในการเดินทางของท่านผู้กล้ารุ่นแรก ก็ได้ถูกเรียกว่างานเทศกาลผู้กล้าค่ะ เป็นเรื่องที่ยาวเหมือนกันนะคะเนี่ย ว่าแต่มีคำถามอะไรไหมคะ?”
“……หลังจากนั้น ผู้กล้ารุ่นแรกเป็นยังไงต่อเหรอครับ?”
คุณลิเลียได้สรุปเรื่องราว พร้อมถอดหายใจออกมาอย่างเงียบๆ หลังจากที่ปล่อยให้เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ฉันก็ได้ยกมือขึ้นแล้วถามคำถามออกไปอย่างไม่เกรงใจ
เมื่อได้ฟังเรื่องเมื่อกี้แล้ว ก็เข้าใจเหตุผลที่ผู้กล้ารุ่นแรกได้รับการยกย่องแล้ว ผู้กล้ารุ่นแรกนี่แหละคือสัญลักษณ์แห่งความสงบสุขของโลกแห่งนี้โดยแท้ เป็นวีรชนอย่างเห็นได้ชัดเลย
ผู้กล้า——ที่ได้เผชิญกับความยากลำบาก และทำสำเร็จลุล่วงได้โดยไม่หักโค่นนั้น หลังจากที่ทำสำเร็จลุล่วงได้แบบนั้นแล้วเป็นยังไงต่อกัน? ซึ่งนั่นเป็นคำถามที่แสนจะตรงไปตรงมา
“……ก็ไม่รู้รายละเอียดนักหรอกค่ะ แต่ท่านผู้กล้ารุ่นแรกนั้นหลังสนธิสัญญามิตรภาพได้ถูกร่างขึ้น อยู่ๆก็ได้หายตัวจากหน้าเวทีไปค่ะ หลังจากนั้นในสถานที่ที่ได้ร่างสนธิสัญญามิตรภาพ เหมือนจะมีการค้นพบดาบที่ท่านผู้กล้ารุ่นแรกใช้เป็นของรักกับ……ศิลาจารึกที่มีการสลักวงเวทย์อัญเชิญไว้อยู่บนเนินเขาที่อยู่ใกล้ๆในบริเวณนั้น แล้วที่ด้านหลังของศิลาจารึกนั้นเหมือนจะมีลายมือของท่านผู้กล้ารุ่นแรกเหลือไว้ดังนี้ค่ะ”
พอพูดแบบนั้นแล้วคุณลิเลียก็ได้ออกเสียงพูดถ้อยคำที่ผู้กล้ารุ่นแรกสลักไว้บนศิลาจารึก นี่กำลังท่องจำออกมาเลยงั้นเหรอ
[การต่อสู้ในฐานะผู้กล้าของฉันได้จบลงแล้วค่ะ ดีจริงๆที่ได้มายังโลกแห่งนี้ มีทั้งเหล่าคนที่คอยให้กำลังใจ ทั้งผู้คนที่คอยให้การสนับสนุน ทั้งทุกคนที่คอยให้การค้ำจุน เพราะแบบนั้น ฉันจึงพยายามมาได้ค่ะ มันไม่ได้สำเร็จลุล่วงได้เพียงเพราะฉันถูกเรียกว่าผู้กล้าแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะทุกคนที่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกแห่งนี้ แต่ละคนๆนั้นได้มีความกล้าที่จะยอมออกก้าวเดินหนึ่งก้าวไปข้างหน้า โลกทั้ง3แห่งจึงเชื่อมโยงกันได้ ผู้กล้านั้นจึงไม่ใช่แค่ฉันเพียงคนเดียว เพราะทุกคนที่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกแห่งนี้เป็นวีรชนผู้ยิ่งใหญ่——คิดว่าหลังจากนี้เองก็คงจะไม่เป็นไร โลกแห่งนี้น่ะ——ชอบที่สุดเลยค่ะ ขอวิงวอนให้เป็นโลกอันแสนสงบสุขที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตามด้วยค่ะ——คุโจ ฮิคาริ]
“……แล้วที่ดาบกับศิลาจารึกของท่านผู้กล้ารุ่นแรกนั้น มีการลงเวทมนตร์รักษาสภาพอันแข็งแกร่งเป็นพิเศษไว้ แม้จะเป็นในปัจจุบันก็ยังคงเหลืออยู่ในสภาพแบบเดียวกับในเวลานั้นค่ะ”
“……ผู้กล้ารุ่นแรกนั้นได้กลับไปยังโลกเดิมรึเปล่าครับ?”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ มีทั้งทฤษฎีที่ว่าท่านผู้กล้ารุ่นแรกนั้นได้กลับไปยังโลกเดิมทั้งๆแบบนั้น แล้วก็ทฤษฎีที่ว่ายังคงอยู่ที่โลกแห่งนี้ด้วยค่ะ เพียงแต่ จากข้อมูลที่ค้นพบในช่วงหลายปีมานี้……เลยมีพูดถึงกันว่าคงมีเพียงแค่ท่านราชันนรกเท่านั้น ที่รู้ความจริงไม่ใช่เหรอน่ะค่ะ”
แม้จะประสบความสำเร็จในผลงานอันยิ่งใหญ่ แต่ผู้กล้ารุ่นแรกก็ได้หายตัวไปทั้งๆแบบนั้น เลยเป็นดั่งตำนานที่ราวกับเทพนิยายไปจริงๆ ถึงแม้ว่า จะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเวทมนตร์รักษาสภาพก็เถอะ แต่ด้วยวิธีการพูดของคุณลิเลียเหมือนจะพบข้อมูลเพิ่มเติมบางอย่างขึ้นมาด้วย
“เพราะเมื่อราวๆ200ปีก่อน ได้มีการพบทางเดินลับในส่วนลึกของถ้ำที่พูดกันว่าท่านผู้กล้ารุ่นแรกเคยแวะเวียนมาก่อน ซึ่งที่นั่นก็ได้มีการค้นพบจดหมาย1ฉบับกับบันทึกที่เหมือนจะเป็นของท่านผู้กล้ารุ่นแรกค่ะ แถมไม่ว่าจะอันไหนก็ไม่ได้ลงเวทมนตร์รักษาสภาพที่แข็งแกร่งนักไว้ แม้ทางบันทึกจะผ่านลมผ่านฝนจนไม่สามารถอ่านได้แล้วก็ตาม แต่ส่วนหนึ่งของจดหมายที่ถูกเขียนด้วยตัวอักษรของต่างโลกนั้นก็ถูกถอดรหัสได้โดยท่านผู้กล้าที่ถูกเชิญมายังงานเทศกาลผู้กล้าค่ะ”
พอพูดแบบนั้นแล้วคุณลิเลียก็ได้วางกระดาษแผ่นหนึ่งไว้บนโต๊ะ สิ่งที่คิดว่าคงเป็นสำเนาของจดหมายนั้น แม้อักษรบางจุดจะเลือนหายไปแล้วบ้างก็ตาม……แต่ก็เป็นคำขอบคุณและคำอำลาที่ถูกเขียนขึ้นให้แก่ราชันนรกเป็นภาษาญี่ปุ่น
“ท่านราชันนรกนั้นแม้จะมีการปฏิเสธที่จะให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องหลังจากนั้นของท่านผู้กล้ารุ่นแรกด้วยที่ว่ามีสัญญากับเจ้าตัวเลยไม่สามารถพูดได้ก็ตาม แต่ก็มีข้อมูลที่ว่าท่านราชันนรกนั้นเป็นผู้ที่เห็นด้วยกับความคิดของท่านผู้กล้ารุ่นแรกอย่างรวดเร็ว ช่วงที่ท่านผู้กล้ารุ่นแรกมุ่งหน้าไปยังแต่ละท้องที่เองก็ได้ให้ความช่วยเหลือมากมายอย่างถึงที่สุดด้วย……เลยมีพูดถึงกันว่าในตอนที่ท่านผู้กล้ารุ่นแรกเหลือดาบกับศิลาจารึกไว้นั้น ผู้ที่ลงเวทมนตร์รักษาสภาพคือท่านราชันนรกไม่ใช่เหรอน่ะค่ะ”
“……แบบนี้นี่เอง”
แม้ที่เกี่ยวกับเรื่องหลังจากนั้นของผู้กล้ารุ่นแรก ท้ายที่สุดแล้วจะยังเปี่ยมไปด้วยปริศนามากมายก็ตาม……แต่ในที่สุดก็รู้แล้วว่าทำไมในโลกแห่งนี้ผู้กล้ารุ่นแรกถึงได้ถูกยกย่องกันขนาดนี้ แถมยังเป็นผู้ที่มีจิตใจอันเข้มแข็ง ถึงขนาดทำเอาเข้าใจในเรื่องความต่างในการปฏิบัติต่อจอมมารได้เลยล่ะนะ
กราบเรียนด้วยความเคารพ ท่านแม่ ท่านพ่อ——ถึงที่เกี่ยวกับต่างโลกนั้นจะยังมีแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมดก็เถอะครับ แต่ว่า——ผู้กล้านั้นเป็นวีรชนผู้ยิ่งใหญ่จริงๆนั่นแหละครับ