[นิยายแปล] ทั้งที่ติดร่างแหไปกับการอัญเชิญผู้กล้า แต่ต่างโลกนั้นแสนสงบสุข - ตอนที่ 4
ห้องอันแสนงดงามที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างละเอียดรอบคอบถึงแม้จะมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับมาตรฐานโดยทั่วไปนี่ คงจะเป็นห้องรับรองแขกล่ะมั้งนะ? พวกฉันที่ได้ถูกขัดจังหวะด้วยการกินข้าวได้เคลื่อนย้ายกันมายังที่แห่งนั้นแล้วเริ่มให้คำอธิบายกันอีกครั้ง
“เช่นนั้น เกี่ยวกับโลกใบนี้……ถึงจะเป็นหัวข้อที่ได้เอ่ยถึงไปแล้วนิดหน่อย แต่มาให้คำอธิบายกันโดยเอามารวมกับเรื่องของท่านผู้กล้ารุ่นแรกกันเถอะนะคะ”
พอคุณลิเลียเอ่ยเช่นนั้นออกมา คุณลูน่ามาเรียก็ได้วางสิ่งที่เหมือนกับแผนที่ลงบนโต๊ะ
ก่อนอื่นจากความรู้สึกที่ได้เห็นโดยรวมแล้วมันคือรูปร่างของแผนที่ทวีปยุโรปที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าถูกขยายขนาดให้กว้างออกไป ซึ่งทางซ้ายล่าง——ตรงบริเวณแถวๆสเปนของโลกเราได้มีเครื่องหมายสีขาวกับดำติดอยู่ อีกทั้งกับตรงนั้นที่บริเวณใกล้เคียงศูนย์กลางของทวีปซึ่งห่างออกไปเล็กน้อยก็ได้ถูกล้อมรอบด้วยวงกลมสีแดงอีกด้วย
“ที่ถูกล้อมรอบด้วยสีแดงนั้น คือราชอาณาจักรซิมโฟเนียที่พวกเราอยู่กันในปัจจุบันค่ะ ส่วนที่อยู่ตรงทางเหนือก็คือ [จักรวรรดิอัลเครเซีย] แล้วตรงทางใต้ที่มีทะเลคั่นอยู่ก็คือ [ราชอาณาจักรไฮดรา] ……ซึ่งทั้ง3แห่งนั้นเป็นประเทศแม่ที่ถูกเรียกว่าเป็นประเทศมหาอำนาจ [จนถึงเมื่อราวๆ1000ปีก่อนนั้น] คือทุกสิ่งอย่างของโลกที่พวกเรารู้กันค่ะ”
“……ในตอนนี้มันต่างออกไปงั้นเหรอคะ?”
“ค่ะ ตามที่ว่ามาเลยค่ะคุณอาโออิ แผนที่โลกอันนี้ที่หลักๆจะมีมนุษย์ เอลฟ์ ดวอร์ฟ——หรือก็คือโลกที่โดยรวมแล้วมี [เผ่ามนุษย์] อาศัยอยู่มากนั้นจะถูกเรียกว่า [โลกมนุษย์] ค่ะ นอกจากนี้ก็ยังมีตัวตนของ [แดนมาร] ที่ [เผ่ามาร] อาศัยอยู่ แล้วก็ [แดนเทพ] ที่ [เผ่าเทพ] อาศัยอยู่อยู่ด้วยค่ะ”
แผนที่อันใหม่2แผ่นได้ถูกวางลงมาบนโต๊ะพร้อมๆกับคำพูดนั้น ซึ่งอันหนึ่งนั้นมีความใหญ่ที่มากเป็นเท่าตัวของแผนที่ที่ได้เห็นมาเมื่อกี้นี้และมีรูปร่างที่คล้ายกับทวีปออสเตรเลีย อีกทั้งยังเป็นความใหญ่ของทวีปที่ถึงแม้จะได้ดูเพียงแค่แผนที่ก็ยังรู้ได้เลยว่ามันนั้นกว้างใหญ่เป็นอย่างมาก ส่วนอีกอันหนึ่งนั้นควรจะบอกว่ารูปร่างเหมือนโดนัทดีไหมนะ แผนที่ทวีปขนาดเล็กที่เป็นรูปวงแหวนนี่น่ะ
“ซึ่งแผนที่อันใหญ่คือแดนมาร ส่วนแผนที่อันเล็กก็คือแดนเทพค่ะ ถ้าจะให้จินตนาการว่ามีรูปร่างเหมือนกับแซนวิชแล้วจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นรึเปล่าคะ? เพราะถึงแดนเทพ โลกมนุษย์ และแดนมารทั้ง3โลกนั้นจะถูกกั้นไว้ด้วยกำแพงมิติที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่ก็มีตัวตนอยู่เคียงข้างกัน นั่นคือทั้งหมดทั้งมวลของ [ทริเนีย] แห่งนี้ โลกใบนี้ในความหมายที่แท้จริงค่ะ”
“……จะว่ายังไงดี ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สุดๆไปแล้วสินะครับ”
“หุหุหุ ค่ะ สำหรับผู้ที่มาจากต่างโลกแล้วนั้นคงจะเหมือนถูกทำให้รู้สึกราวกับว่ามีต่างโลกอยู่3แห่งก็เถอะค่ะ แต่สำหรับพวกเราแล้วโลกทั้ง3แห่งนี้นั้นสามารถไปมาหาสู่กันได้อย่างอิสระโดยการใช้เกทที่มีอยู่ในแต่ละท้องที่ค่ะ ซึ่งกับต่างโลกที่ไม่สามารถแทรกแซงกันได้นอกเสียจากจะใช้วงเวทย์อัญเชิญอย่างสถานที่ที่ท่านผู้กล้าหรือทุกคนอาศัยอยู่นั้นการรับรู้คงจะต่างกันเล็กน้อยล่ะนะคะ”
“แบบนี้นี่เอง”
ถ้าโลกเปลี่ยนไปสามัญสำนึกก็จะเปลี่ยนตามล่ะสินะ ถึงสำหรับพวกฉันมันจะเป็นกำแพงมิติที่รู้สึกว่ามีคุณสมบัติต่างกันอะไรแบบนั้นก็ตาม แต่สำหรับผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้โดยแท้จริงแล้วก็คงเหมือนสิ่งที่ไม่ต่างไปจากพวกภูเขาหรือว่าทะเลล่ะมั้ง
อืม ที่ว่าของแค่นี้ก็คือเรื่องแบบนั้นเนี่ยรู้สึกว่ามีแต่จะต้องรับรู้มันให้ได้เท่านั้นเลยแฮะ
“ส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องระบบรัฐในโลกมนุษย์ จากเรื่องเล่าของทางท่านผู้กล้ารุ่นแรกในอดีตนั้นเห็นได้ยินได้ฟังว่าเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับโลกที่ทุกคนอาศัยอยู่กันน่ะค่ะ……ว่าอย่างไรบ้างคะ? พอจะจินตนาการกันออกไหมคะ?”
“……อื~ม ความรู้สึกประมาณมีพระราชาแล้วก็ขุนนางที่มีดินแดนของแต่ละคนอยู่ใช่รึเปล่าคะ?”
“ค่ะ ไม่ผิดไปจากที่รู้สึกได้นั้นเลยค่ะ”
คุณยูซุกิได้ตอบกลับคำพูดของคุณลิเลียไปอย่างไม่ค่อยจะมั่นใจสักเท่าไร ฉันเองก็รู้สึกว่ามีอิมเมจแบบนั้นด้วย ซึ่งก็เหมือนจะไม่ได้มีอะไรผิด เพียงแต่สิ่งที่ยังติดใจอยู่ก็คือ การที่เมื่อกี้คุณลิเลียจงใจพูดว่า [ส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องระบบรัฐในโลกมนุษย์] ออกมานั้น หมายความว่าในแดนเทพกับแดนมารนั้นต่างออกไปล่ะมั้ง?
เนื่องจากในตอนนั้นคุณลิเลียได้เคลื่อนสายตามายังทางนี้โดยทันที เลยพยักหน้าไปทีหนึ่งเพื่อสื่อออกไปว่ารู้สึกได้แบบเดียวกับคุณยูซุกิ
“เช่นนั้น พวกต้นสายปลายเหตุที่โลกทั้ง3แห่งได้ผูกสัมพันธ์ฉันมิตรกันนั้น รวมถึงในฐานะเรื่องที่จะพูดหลังจากนี้ไป……ก่อนอื่นจะต้องอธิบายเกี่ยวกับแดนเทพและแดนมารก่อนค่ะ ซึ่งแดนเทพนั้นจะมี [ท่านเทพรังสรรค์] ที่อยู่ในฐานะจุดสูงสุด……ถ้าจะให้พูดล่ะก็ในโลกที่มีดินแดนเพียงหนึ่งเดียว เผ่าเทพนั้นจะรับรู้โดยทั่วกันว่าประสงค์ของท่านเทพรังสรรค์คือสิ่งอันเป็นที่สุดโดยไม่มีข้อยกเว้นล่ะนะคะ”
“ท่านเทพรังสรรค์นั้นนอกเหนือจากเทศกาลผู้กล้าที่จะมีทุกๆ10ปีแล้วจะไม่มีการปรากฏรูปลักษณ์ต่อสาธารณชนใดๆทั้งสิ้น ก่อนอื่นเลยจึงไม่มีทางที่จะได้พบเจอล่ะนะคะ อีกทั้งแรกเริ่มเดิมทีท่านเทพรังสรรค์นั้นโดยพื้นฐานแล้วดูเหมือนจะคอยเฝ้ามองความเป็นไปโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกด้วยค่ะ ซึ่งจากเรื่องเล่าที่สืบทอดต่อกันมานั้น นอกเหนือจากในมหาสงครามของแดนมารที่ได้เกิดขึ้นเมื่ออดีตกาลนานมาแล้ว ดูเหมือนว่าพลังอันเป็นที่สุดนั้นจะไม่เคยได้ถูกใช้งานอีกเลยค่ะ”
คุณลูน่ามาเรียได้เพิ่มเรื่องเสริมเข้าไปในการอธิบายของคุณลิเลีย
ถ้าจะให้ลองพูดออกมาก็คงพอจะบอกได้ว่าแดนเทพนั้นมีระบบสังคมที่เป็นแนวดิ่งแบบสุดขั้วล่ะมั้ง แล้วก็ เทพรังสรรค์ที่อยู่บนจุดสูงสุดนั้นโดยพื้นฐานแล้วจะแค่คอยเฝ้ามองโดยไม่สูญเสียจุดยืน……ซึ่งถ้าจะบอกว่าตรงตามอิมเมจไหม มันก็ตรงตามอิมเมจแบบไม่ต้องคิดเลยน่ะนะ
“ต่อไปคือแดนมารสินะคะ ก็เป็นโลกที่มีเผ่าพันธุ์มากหน้าหลายตาอาศัยอยู่อย่างมากมาย อีกทั้งยังมีความกว้างใหญ่ที่มากที่สุดในโลกทั้ง3แห่งด้วยค่ะ แล้วถึงแม้จะมีการเรียกรวมๆกันว่าเผ่ามารก็ตาม แต่จากแค่ลักษณะที่เห็นเพียงอย่างเดียวก็มีมากมายหลากหลายจนนับแทบไม่หวาดไม่ไหวเลยล่ะค่ะ ซึ่งทางท่านผู้กล้านั้นก็ได้มีการปฏิบัติใส่โดยคิดว่าเป็นพวกเดียวกับมอนสเตอร์อยู่บ่อยๆค่ะ แต่สำหรับแดนมารนั้นต้องเป็นตัวตนที่มีสติปัญญาไม่ถึงในระดับหนึ่งจึงจะถูกกำหนดว่าเป็นมอนสเตอร์ค่ะ”
อื~มบอกตามตรงถึงฉันเองก็มีอิมเมจที่ว่าเผ่ามารกับมอนสเตอร์คือสิ่งเดียวกันอยู่ก็เถอะ แต่กับเจ้าตัวแล้วคงมีบรรทัดฐานที่ชัดเจนอยู่ล่ะมั้ง? อีกอย่างถ้ายังไม่ได้ลองเห็นของจริงก็คงยังพูดอะไรไม่ได้ด้วยสิ……
“แล้วแดนมารก็เป็นโลกที่นิยมความแข็งแกร่งแสนเข้าใจง่ายค่ะ ให้ความรู้สึกแบบว่าตัวตนที่แข็งแกร่งก็จะได้ยืนอยู่เบื้องบนล่ะนะคะ แต่จะขอพูดอย่างหนึ่งไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เข้าใจผิดไปค่ะ ถึงจะบอกไปว่าเป็นโลกที่นิยมความแข็งแกร่งแต่เผ่ามารก็ไม่ได้เป็นพวกโหดเหี้ยมหรอกนะคะ แทนที่จะพูดอย่างนั้นเผ่ามารส่วนใหญ่ก็เป็นพวกมีเหตุผลเรื่องการเที่ยวใช้ความรุนแรงโดยไม่มีเหตุผล หรือการดูถูกดูแคลนผู้ที่อ่อนแอนั้นไม่มีเลยค่ะ พูดได้แค่เป็นโลกที่ให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งส่วนบุคคลไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขเพียงเท่านั้นล่ะนะคะ”
“แทนที่จะพูดอย่างนั้น น่าจะบอกว่าสุภาพอ่อนโยนยิ่งกว่าเผ่ามนุษย์อีกเสียมากกว่านะคะ ทั้งฉันทั้งคุณหนูเองก็เคยได้ไปท่องเที่ยวที่แดนมารไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แถมยังได้รับความกรุณามาอย่างเต็มที่ด้วยค่ะ”
“ค่ะ แน่นอนว่าถ้าหากหาเวลาได้ก็อยากที่จะไปเยี่ยมเยือนอีกครั้งค่ะ แล้วแดนมารที่เป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้มีการแยกออกเป็นประเทศแต่อย่างใด แต่จะแบ่งออกเป็น6อาณาเขตค่ะ แล้วก็ผู้ที่ทำการปกครองอยู่บนจุดสูงสุดนั้นคือเผ่ามาร6ตน……ท่านเหล่านั้นถูกเรียกว่า [6ราชัน] อันเป็นชื่อที่เรียกกันโดยทั่วไปค่ะ โดยจะมี [ราชันนรก] [ราชันสงคราม] [ราชันมรณะ] [ราชันพิภพ] [ราชันมังกร] [ราชันมายา] ……ซึ่งแต่ละท่านก็เป็นเผ่ามารที่มีชีวิตข้ามผ่านช่วงเวลามากว่า1000ปี อีกทั้งยังถูกบอกกันมาอีกว่าพลังที่มีนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ในระดับสามารถทำลายล้างโลกได้อย่างง่ายดายด้วยค่ะ”
6ราชันอันเกินกว่าจะคาดคิด……ถึงแค่การได้ยินชื่อที่ใช้เรียก ก็เป็นความจำที่ทำให้ระลึกถึงประวัติศาสตร์มืดในช่วงวัยรุ่นเลยก็เถอะ แต่สำหรับในโลกนี้ก็คงเป็นตัวตนที่ห้ามไปเป็นศัตรูด้วยเป็นอันขาดสินะ
ถึงงั้นก็เถอะ แต่ก็ยังมีจุดที่รู้สึกติดใจในคำอธิบายเมื่อกี้อยู่อย่างหนึ่งน่ะนะ ถึงทั้งคุณลิเลียและคุณลูน่ามาเรียนั้น จะพูดว่าเผ่ามารโดยพื้นฐานแล้วเป็นตัวตนที่สุภาพอ่อนโยนก็เถอะ แต่ในอดีตเผ่ามนุษย์น่ะไม่ใช่ว่ากำลังรบรากับเผ่ามารอยู่หรอกเหรอ?
“เอ่อ ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?”
“ค่ะ เชิญเลย”
“……ถึงจะบอกว่าเผ่ามารนั้นสุภาพอ่อนโยนก็ตาม แต่เมื่อ1000ปีก่อนในพวก6ราชัน? ภายในนั้นมีจอมมารอยู่ แล้วก็มาทำการมาบุกจู่โจมโลกมนุษย์นี่ถูกรึเปล่าครับ?”
“อื~ม จะบอกว่ายังไงดีล่ะคะ……จอมมารที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยเที่ยวใช้ความรุนแรงนั้น ความจริงแล้วในแดนมารเหมือนจะถูกรับรู้แค่ในระดับพวกตัวก่อกวนเพียงเท่านั้นล่ะนะคะ”
“เฮะ?”
คุณลิเลียได้ฝืนยิ้มออกมาราวกับกำลังลำบากใจพร้อมกับพูดตอบกลับมา ให้กับคำถามของฉัน แม้จนถึงตอนนี้มันก็ค่อนข้างที่จะหลุดออกไปจากในอิมเมจตามที่คิดไว้แล้วก็ตาม แต่ทฤษฎีที่จอมมารเป็นแค่พวกตัวประกอบคงไม่มีทางหรอก……ถึงจะรู้สึกติดใจสุดๆเลยก็เถอะ
“ก็อย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ เผ่ามารทั้งหลายนั้นโดยพื้นฐานแล้วจะสุภาพอ่อนโยนค่ะ แถมตัวของโลกมารเองนั้นก็ทั้งกว้างใหญ่พวกทรัพยากรอาหารเองก็อุดมสมบูรณ์ อีกทั้งทาง6ราชันผู้อยู่บนจุดสูงสุดเองก็ได้ให้ทำการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันด้วยความสนิทสนมอย่างเต็มที่เช่นกัน แม้ภายในแดนมารจะมีการปะทะกันเล็กน้อยแบบนั้นอยู่บ้างก็ตาม แต่ที่ว่ามารบรากับโลกอื่นก็มีแค่ในเรื่องเล่าเมื่ออดีตกาลนานมาแล้วที่มารบรากับแดนเทพเพียงครั้งเดียวเท่านั้นค่ะ แรกเริ่มเดิมที่จนถึงเมื่อตอนที่จอมมารและท่านผู้กล้ารุ่นแรกได้ปรากฏตัวนั้นสำหรับเผ่ามารแล้วเผ่ามนุษย์ก็คือ ตัวตนที่ถึงแม้จะรู้จักแต่ก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน อีกทั้งเหมือนจะรับรู้กันในระดับที่ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปยุ่งวุ่นวายเป็นพิเศษด้วยน่ะค่ะ”
“แหม ก็ถึงจะเป็นโลกแบบไหนก็ตามก็ยังมีพวกที่เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยาน ไม่สนว่าการใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขคือสิ่งที่ดีอยู่ยังไงล่ะคะ”
คุณลูน่ามาเรียได้เพิ่มเรื่องเสริมออกมาพลางถอนหายใจไปด้วย แม้จะผ่านไปเป็น1000ปีก็ตามหุ้นส่วนของทางจอมมารนั้นก็เหมือนจะยังคงต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ต่างกับผู้กล้ารุ่นแรกที่ได้รับความเคารพนับถือสินะ
“ค่ะ ในตอนนั้นได้มีการรวบรวมเผ่ามารเลือดร้อนจำนวนมาก ซึ่งผู้ที่พยายามจะขึ้นไปเป็นผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของแดนมารโดยการโค่นล้มท่าน6ราชันในเวลานั้นก็คือจอมมารล่ะนะคะ ถ้าให้พูดในแบบของโลกมนุษย์ก็เป็นพวกโจรภูเขา……ไม่สิ เหมือนพวกทัพกบฏมากกว่าค่ะ เพียงแต่จำนวนของเผ่ามารทั้งหมดนั้นมีมากจนน่าตกใจ ซึ่งในเชิงผลลัพธ์แล้วกองทัพจอมมารนั้นก็เหมือนได้กลายเป็นกองทัพขนาดมหึมาที่มีจำนวนมากกว่า1ล้านค่ะ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ถ้ามองดูจากแดนมารทั้งหมดทั้งมวลแล้วมันก็แค่ขนาดอันเล็กจิ๋วล่ะนะคะ……”
ประมาณว่ายิ่งมีตัวส่วนเพิ่มขึ้นเท่าไรก็ยิ่งมีผู้เห็นด้วยเพิ่มขึ้นตามเท่านั้นสินะ……บอกตามตรงถึงจะจินตนาการเรื่องที่ว่ามีกองทัพนับล้านไม่ออกในทันทีก็เถอะ แต่พอทำงั้นแล้วจอมมารก็ได้ปรากฏตัวสินะ ถ้างั้น แล้วทำไมจอมมารถึงได้มาบุกจู่โจมโลกมนุษย์โดยที่ไม่ไปเผชิญหน้ากับ6ราชันล่ะ
“……จากนั้นกองทัพจอมมารเพื่อจะได้อำนาจในการยึดครองแดนมารมา ก็เหมือนจะได้เข้าไปต่อสู้เผชิญหน้ากับท่านราชันนรกค่ะ”
“อ๊ะ ได้มีการทำสงครามที่แดนมารก่อนสินะครับ”
“……แล้วจากนั้น เป็นยังไงบ้างเหรอคะ?”
ถึงหลังจากนั้นจะได้เข้ามาบุกจู่โจมโลกมนุษย์แล้วพ่ายแพ้ไปก็เถอะ แต่จะว่ายังไงดีมันดันรู้สึกติดใจนิดๆขึ้นมาฉันกับคุณยูซุกิก็เลยอยากที่จะได้ฟังต่ออีกหน่อย
“ถึงจะเป็น1ต่อ1ล้าน แต่ก็ถูกซัดเรียบภายในเวลาไม่กี่นาทีโดยท่านราชันนรกค่ะ”
“……คือว่า……”
“นั่นมัน จะพูดว่ายังไงดี……”
“……เป็นผลลัพธ์ที่ทำเอารู้สึกสงสารขึ้นมาเลยนะคะ”
ทางคุณคุสุโนกิเองกับความจริงของการพ่ายแพ้อย่างขาดลอยนั้นก็เหมือนจะเผลอรู้สึกเห็นใจจอมมารขึ้นมาโดยไม่ทันคิด นี่กองทัพจอมมารอ่อนแอไป หรือราชันนรกแข็งแกร่งเกินไปกันแน่เนี่ย……แต่ก็ตามที่คุณยูซุกิพูด ไม่รู้ทำไมทำเอารู้สึกสงสารจอมมารขึ้นมาเลย แล้วก็ที่ว่าเวลาทำสงครามแค่ไม่กี่นาทีเนี่ย แทบจะย่อยยับกับการซัดแค่ที2ทีเลยนี่……
“แต่ว่าท่านราชันนรกนั้นเป็นผู้ที่ใจดีมากๆ จึงไม่ได้มีการสังหารใคร ทำเพียงเตือนไปว่า [จะร่าเริงสดใสกันก็ได้อยู่ แต่จะไปสร้างความเดือนร้อนแก่รอบข้างไม่ได้นะ] แล้วก็เหมือนจะปล่อยกองทัพจอมมารไปค่ะ”
แค่ถูกออมมือให้ยังไม่พอ ยังถูกทำเหมือนเป็นแค่ระดับพวกเด็กไม่ดีแถวบ้านอีกกกกก!? พอเถอะพอได้แล้ว! หุ้นส่วนของจอมมารในตัวฉันมันตกฮวบลงไปอย่างหนักแล้วนะ!?
“แล้วก็จากเรื่องที่ว่านั้น จอมมารที่ตระหนักได้แล้วว่าไม่อาจทัดเทียมกับท่าน6ราชันได้นั้น……ก็ได้ทำการรุกรานโลกมนุษย์ที่ท่าน6ราชันได้ตั้งข้อกำหนดไว้ว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเวลานั้นแทนล่ะนะคะ”
“ “ “……” ” ”
หนีไปแล้ววววว!? จอมมาร หนีออกจากแดนมารเนี่ยนะ!? แต่จอมมารเนี่ยจะว่ารู้สึกผูกพันดีไหมนะ ถึงจะเป็นในระดับความรู้สึกคุ้นเคยของพวกขี้ขลาดอะไรนั่นก็เถอะ!? ก็ดันมากลายเป็นว่าให้ความรู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกดุแล้วหนีออกจากบ้านไปนี่นะ……
แบบนี้มัน จริงๆเลย……ควรจะทำรีแอคชั่นแบบไหนถึงจะดีกันล่ะเนี่ย?
กราบเรียนด้วยความเคารพ ท่านแม่ ท่านพ่อ——เผ่ามารนั้นเหมือนจะเป็นพวกมีเหตุผลแล้วก็สุภาพอ่อนโยนด้วยล่ะครับ ส่วนจอมมาร——เป็นแค่พวกตัวประกอบครับ