[นิยายแปล]ติดร่างแหไปต่างโลก แต่ต่างโลกดันสงบสุขซะงั้น - ตอนที่ 10
ในระหว่างที่ปล่อยให้ลิเลียซังกับลูน่ามาเรียซังได้คุยกัน(ทางกายภาพ)พวกเราก็ได้ออกจากห้องมา และนี่เป็นครั้งแรกที่เหลือแค่พวกเรา3คนที่จะได้เดินชมรอบๆคฤหาสน์หลังนี้
พอมาลองคิดดูดีๆแล้ว เราไม่เคยได้คุยกับคุสึโนะกิซังและยูซึกิซังแบบจริงๆจังๆเลยสักครั้งนี่หว่า ถึงเมื่อคืนจะมีโอกาสได้คุยกับคุสึโนะกิซังไปนิดหน่อยก็เหอะ แต่เนื้อหาที่คุยกันมันก็ยังไงๆอยู่เลยทำให้คุยกันได้ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร ก่อนอื่นเราควรขอโทษเธอเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานดีไหมนะ
「เอ่อ คือว่านะ คุสึโนะกิซัง เรื่องเมื่อวานผม――「ขอโทษด้วยคะ」――เอ๊ะ?
ในขณะที่คิดว่าจะขอโทษเธอเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจนั้น อยู่ๆอีกฝ่ายก็ขอโทษกลับมาก่อน
「ทั้งที่ๆฝั่งมิยามะซังน่าจะลำบากมากกว่าแท้ๆ แต่เมื่อวานกลับถามคำถามแปลกๆแบบนั้นไป……」
「ไม่เป็นไรหรอกครับ ฝั่งนี้ตั้งหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ ที่ตอบกลับไปแบบนั้น ถ้ามองจากมุมของคุสึโนะกิซังแล้ว อาจจะเห็นว่าผมนั้นยังใจเย็นอยู่ แต่ที่จริงแล้วค่อนข้างที่จะสับสนเลยละ……แต่แค่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้นะ」
「ไม่หรอกคะ、ก็คงช่วยไม่ได้จริงๆนั้นแหละคะ」
「……เอ่อ แบบว่า เหมือนตัวเองถูกทิ้งไว้คนเดียวเลยอะ รุ่นพี่อาโอยกับรุ่นพี่มิยามะมีโอกาสได้ไปคุยกันตอนไหนกันอะ?」
สงสัยเป็นเพราะเราทั้งคู่นั้นขอโทษซึ่งกันและกันละมั้ง บรรยากาศที่ดูอึดอัดเพราะบทสนทนาเมื่อคืนนั้นค่อยๆจางลง และทำให้คุซึกิซังที่เหมือนจะตามเรื่องราวไม่ทันนั้นถามกลับมาด้วยท่าทีสงสัย แต่กลับกันผมกับสงสัยอีกเรื่องนึงมากกว่าแทน เอาจริงๆก็สงสัยมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วละ
「พอดีเมื่อคืนบังเอิญเจอกันตรงโถงทางเดินนะ ก็เลยได้มีโอกาสคุยกันนิดหน่อย แต่ว่านะ มีเรื่องที่ติดใจอยู่นิดนึง……ทำไมคุซึกิซัง ถึงเรียกผมว่ารุ่นพี่ละ?」
「เอ๊ะ? ก็รุ่นพี่มิยามะเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเราไม่ใช่หรอคะ?」
「หะ?」
「เอ๊ะ? เรื่องจริงหรอ ฮินะจัง!?」
「คะ、 คิดว่าน่าจะใช่……」
เอาจริงๆก็ตกใจกับท่าทีของคุซึกิซังที่พูดเรื่องนั้นออกมาได้แบบปกติอยู่เหมือนกัน ก็จริงอยู่ว่าเรานั้นจบมาจากโรงเรียนเดียวกับที่ทั้งคู่เรียนอยู่ แต่นั้นก็เป็นเรื่องเมื่อ3ปีก่อน เพราะงั้นก็เลยไม่คิดว่ายังจะมีนักเรียนรุ่นปัจจุบันแบบทั้งคู่ที่ยังรู้จักเราอยู่
「ก็จริงอยู่ที่ผมนั้นเรียนที่เดียวกับทั้งคู่……แต่นั้นก็เป็นเรื่องเมื่อ3ปีก่อนนะ……」
「เอ่อ เอาจริงๆตอนแรกหนูก็ไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไรหรอกคะ แต่ว่ามันมีลักษณะเด่นตรงกับสิ่งที่พี่ชายเคยเล่าให้ฟังก็เลยคิดว่าน่าจะใช่นะคะ」
ตรงนี้ก็มีจุดที่แปลกเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องนึง ถึงจะไม่ได้อยากอวดก็เหอะ แต่ตัวเองสมัย.ปลายกล้าพูดได้เต็มปากเลยนะว่าเป็นนักเรียนที่ไม่ได้มีอะไรเด่นเป็นพิเศษ ชมรมก็ไม่ได้เข้า ผลการเรียนก็ระดับกลางๆขึ้นๆลงๆ วีรกรรมดังๆที่น่าจดจำก็ไม่มี พูดแล้วก็เศร้าขนาดเพื่อนแม่งยังไม่มีเลย
ซึ่งตอนนี้ก็ลองพยายามนึกถึงคนที่น่าจะใกล้เคียงกับพี่ชายของคุซึกิซังดูอยู่ แต่เอาจริงๆก็นึกไม่ออกเลย
「เคยได้ยินมาว่า เป็นคนที่มีรอยแผลเป็นตรงหูขวาลากยาวไปถึงคอนะคะ พอเห็นสิ่งนั้นก็เลยคิดว่าใช่ละมั้ง」
「……ก็จริงแหะ เป็นลักษณะเด่นที่เข้าใจง่ายเลยละ แต่กลับกันผมกับนึกถึงคนน่าจะเป็นพี่ชายของคุซึกิซังไม่ออก……」
ในอดีตผมเคยได้รับอุบัติเหตุใหญ่เลยทำให้มีรอยแผลเป็นที่หูขวาถึงลำคอ ถึงมันจะเป็นลักษณะที่ค่อนข้างเด่นก็ตาม แต่ถึงกับขนาดเอาเรื่องที่เจอไปเล่าให้คนอื่นฟังจนจำได้แบบนี้ แสดงว่าพี่ชายของคุซึกิซังจะต้องเป็นคนที่เข้ามาคุยกับผมบ่อยแน่ๆ สำหรับผมที่เวลาคาบเรียนมีการแบ่งกลุ่มนั้นมันจะเหมือนกับการโดนแกล้งยังไงยังงั้นนั้น เอาจริงๆนึกไม่ออกเลยสักคน
「พี่ชายชอบมาบ่นให้ฟังบ่อยๆว่า ชอบมานอนในคาบเรียนตลอด ตักเตือนไปเท่าไรก็ทำไม่ยอมฟังสักทีนะ……」
「……อ้อ、หัวหน้าห้องนี่เอง……」
ประมาณช่วงม.5รึเปล่านะ ที่เราเริ่มติดเกมออนไลน์แนว――MMO จนขนาดที่ใช้ชีวิตสลับกลางวัน-กลางคืนเลย กลางคืนเอาแต่เล่นเกม ส่วนตอนเช้าก็ไปนอนที่โรงเรียน พอลองนึกดูดีๆช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราไม่ได้ตั้งใจทำอะไรสักอย่างแบบจริงๆจัง ถ้ามองจากมุมคนอื่นก็คงเป็นช่วงวัยต่อต้านละมั้ง ต่อให้อาจารย์มาตักเตือนเราแค่ไหน เราก็ไม่สนใจจนอาจารย์ต้องเลิกพูดไปเอง
แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังมีคนที่มีนิสัยจริงจังสุดๆอยู่ มีแค่หัวหน้าห้องคนเดียวเท่านั้นที่ยังคอยมาตักเตือนเราตลอดทุกวัน……ถึงแม้ตอนนั้นจะรู้สึกรำคาญสุดๆก็เหอะ แต่สำหรับตอนนี้ที่เริ่มคิดได้แล้วชักรู้สึกอยากจะกลับไปขอโทษจริงๆแหะ พอลองนึกชื่อของหัวหน้าห้องดู ก็รู้สึกจะชื่อ คุซึกิ เหมือนกัน เพราะปกติเรียกแต่หัวหน้าห้องตลอด แถมยังไม่เคยได้มีโอกาสคุยกันแบบจริงๆจังๆ ก็เลยลืมไปสนิทเลย
「มิยามะซัง……ปกติไปโรงเรียนนี่ไปทำอะไรกันแน่คะ……」
「ก็แหม ตอนนั้นมันมีหลายๆเรื่องเกิดขึ้น……คุซึกิซัง พอกลับไปโลกเดิมแล้วฝากไปขอโทษพี่ชายแทนหน่อยนะ」
「รับทราบคะ!」
ถ้าดูจากท่าทีแล้วคุสึโนะกิซังน่าจะเป็นคนที่มีนิสัยจริงจังแน่ๆ ก็เล่นจ้องซะเขม็งแบบนั้น ส่วนคุซึกิซังนั้นถึงแม้จะยิ้มเจื่อนให้ แต่เธอก็ตอบรับแบบเล่นใหญ่กลับมา
ถึงจะน่าเสียดายที่ไม่สามารถทำตัวเป็นที่พึ่งให้สมกับเป็นคนที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่มได้ แต่พอได้ลองคุยกับทั้งคู่ดูแล้วก็รู้สึกเหมือนระยะห่างของพวกเรานั้นกระชับขึ้นมาอีก
หลังจากที่เดินเล่นรอบๆคฤหาสน์เสร็จพวกเราก็กลับมาที่ห้องเดิม ซึ่งลิเลียซังก็รอต้อนรับพวกเราด้วยร้อยยิ้มที่อ่อนโยนเหมือนทุกที ต้องบอกเลยว่าสมกับเป็นขุนนางจริงๆ รอยยิ้มของเธอช่างน่ารักและดูมีเสน่ห์ถึงขนาดอยากเอาไปวาดเป็นรูปแล้วเก็บไว้เลย……ส่วนตรงมุมห้องรู้สึกเหมือนจะมีกองซากอะไรสักอย่างอยู่ แต่ทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกัน
พอพวกเราทั้ง3คนเริ่มนั่งที่เก้าอี้แล้ว ลิเลียซังก็เริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง
「เดียววันนี้ เราจะมาพูดถึงเรื่องที่ทุกคนน่าจะสนใจกัน……เกี่ยวกับเวทมนต์นะคะ」
「โอ้!!!……」
พอได้ยินคำนี้แล้วมันรู้สึกตื่นเต้นไปเลยแหะ เอาจริงๆ ครึ่งวันที่ได้อยู่ที่คฤหาสน์แห่งนี้ก็มีได้สัมผัสและได้เห็นถึงสิ่งที่คล้ายกับเวทมนต์อยู่หลายอย่างเหมือนกัน ทั้งหินเวทมนต์ที่พอแตะแล้วจะกลายเป็นฝักบัวที่ห้องอาบน้ำ แสงไฟตรงโถงทางเดินที่ลอยอยู่บนอากาศ และกองซาก――ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั้นคือลูน่ามาเรียซัง นั้นก็คงเป็นเพราะเวทมนต์ด้วยละมั้ง
คุสึโนะกิซังกับคุซึกิซังเองก็ดูเหมือนว่าจะสนใจเกี่ยวกับเวทมนต์ที่เป็นจุดเด่นของต่างโลกด้วยสินะ เพราะงั้นก็เลยส่งสายคาดหวังแบบนั้นให้กับลิเลียซัง
「ก่อนอื่นเลย ทุกคนน่าจะยังสงสัยกันอยู่สินะคะว่า ตัวเองนั้นจะสามารถใช้เวทมนต์ได้รึเปล่า ซึ่งดูเหมือนว่าชาวต่างโลกเองก็จะมีพลังเวทย์ที่เป็นแหล่งกำเนิดของเวทมนต์อยู่ด้วยเหมือนกัน เพราะงั้นก็คงบอกได้ว่าทุกคนสามารถใช้เวทมนต์ได้คะ เพียงแต่ว่า การที่จะสามารถใช้เวทมนต์ได้นั้น……มันค่อนข้างขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของแต่ละกันด้วย เพราะงั้นก็เลยไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าทุกคนนั้นจะสามารถใช้มันได้ทันทีคะ」
ในระหว่างที่ลิเลียซังกำลังอธิบายอยู่นั้น ลูน่ามาเรียซังที่ไม่รู้ว่าฟื้นมาตั้งแต่ตอนไหนนั้นก็วางหนังสือไว้ด้านหน้าพวกเราคนละเล่ม อะ เหมือนเธอจะจ้องมาทางเราด้วยสายตาเคียดแค้นอยู่แวบนึงนะ แต่เรื่องนั้นมันกรรมตามสนองเองนะ……
「โดยปกติในตอนที่มีการอัญเชิญผู้กล้ามานั้นจะมีการทำให้สามารถเข้าใจภาษาของโลกนี้ได้ทันที ทุกคนเองก็น่าจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดอยู่แล้วเพราะงั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ก็ขอยืนยันอีกครั้งนะคะ」
ถึงแม้มันจะดูคลาสสิคไปหน่อย แต่เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญสุดๆไปเลย ตอนเรียนเกรดภาษาอังกฤษของเราค่อนข้างแย่ ถ้าจะให้มาเรียนเกี่ยวกับภาษาหรือศัพท์ของโลกนี้ใหม่ แปปๆก็คงครบ1ปีซะละมั้ง
ในขณะที่กำลังคิดอะไรแบบนั้น ก็มองไปยังหนังสือที่อยู่ในมือ ซึ่งมันเขียนไว้ว่า『ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเวทมนต์』โอ้ อ่านได้แหะ
「……เหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะคะ ถ้างั้น ต่อไปก็วิธีการใช้เวทมนต์……พูดตามตรง จุดนี้ความยากนั้นจะแตกต่างกันไปตามแต่ละคน แถมยังต้องใช้เวลาฝึกค่อนข้างนานอีกด้วยคะ」
「คนที่สามารถประกอบอาชีพเป็นนักเวทย์ได้และสามารถใช้เวทมนต์เพื่อมันเลี้ยงดูตัวเองได้นั้นเอาจริงๆมีแค่หยิบมือเองคะ」
พอได้ฟังสิ่งที่ลิเลียซังอธิบายกับสิ่งที่ลูน่ามาเรียซังช่วยเสริมให้ พอลองเปิดดูหนังสือที่แจกมาให้แบบผ่านๆ ก็เข้าใจได้ทันที เพราะเนื้อหาที่อยู่ข้างในมีแต่อะไรยากๆทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรื่อง ทฤษฏีหรือคำร่าย
「ไอ้นี้น่าจะยากน่าดูเลยนะคะ」
「หวา แค่ดูก็ยอมแพ้แล้วละคะ」
คุสึโนะกิซังกับคุซึกิซังเองก็คงคิดเหมือนกันสินะ เพราะงั้นถึงได้ทำสีหน้าลำบากใจขณะที่มองหนังสือความรู้เบื้องต้นแบบนั้น อีกอย่างมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ปุบปับอะไรด้วย ซึ่งเอาจริงๆก็คงไม่ไหวนั้นแหละ
「หึหึหึ อย่างฉันเองที่กว่าจะใช้เวทมนต์แบบง่ายๆได้ก็ใช้เวลาตั้ง3เดือนเลยนะคะ」
「กรณีของคุณหนูนั้นจัดอยู่ในกลุ่มเร็วคะ คนปกติทั่วไปเขาใช้เวลากันประมาณ1ปีเลยนะคะ」
「……ถ้างั้นก็น่าจะยากอยู่นะคะนี่」
พอพูดตรงๆแบบนั้น มันก็ค่อนข้างช๊อคนิดหน่อยนะ ถึงจะไม่ได้อยากไปใช้เวทมนต์เพื่อไปสู้กับมอนสเตอร์อะไรแบบนั้นก็ตาม แต่มันก็มีความรู้สึกที่อยากจะลองใช้เองสักครั้งอยู่เหมือนกัน
「……แต่ว่านั้นมันก็หมายถึงเรื่องที่『ตัวเองจะเป็นผู้ใช้เอง』นะคะ」
「「「เอ๊ะ?」」」
「หลังจากที่ได้มีการร่างสนธิสัญญาพันธมิตรขึ้นมา นวัตกรรมที่ได้รับการพัฒนามากที่สุดหลังจากที่เราทำการติดต่อกับโลกมารนั้นก็คือ 『อุปกรณ์เวทมนต์』คะ ที่โลกใบนี้จะมีสิ่งที่เรียกว่าผนึกเวทมนต์ที่สามารถกักเก็บพลังเวทย์เอาไว้ได้ และ อัญมณีที่สามารถบันทึกบทร่ายเอาไว้ได้อยู่ เพียงแค่เตรียมบทร่ายไว้ก่อนล่วงหน้า ไม่ว่าใครก็ตามเพียงแค่แตะก็สามารถใช้เวทมนต์ได้」
「หรือว่า……อัญมณีสีฟ้าที่อยู่ในห้องอาบน้ำนั้นหรอคะ?」
「ใช่แล้วคะ ถ้าจำไม่ผิดที่โลกเดิมของทุกคน――จะมีสิ่งที่เรียกว่าไฟฟ้าอยู่สินะคะ? จะคิดว่าคล้ายๆกับสิ่งนั้นก็ได้คะ ขอแค่เติมพลังเวทย์ลงไปในผนึกเวทมนต์เอาไว้ก่อน เมื่อต้องการใช้เพียงแค่ใส่พลังเวทย์ลงไปแค่นิดเดียวเวทมนต์ก็จะทำงาน และในปัจจุบันนั้นสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ผู้ที่สามารถสร้างอุปกรณ์เวทมนต์เหล่านี้ได้นั้นจะถูกเรียกว่านักเวทย์คะ」
「ขอเสริมนิดหน่อยนะคะ สำหรับอุปกรณ์เวทมนต์ที่มีพลังการทำลายที่สูงนั้นจำเป็นจะต้องขออนุญาติการใช้ก่อน และไม่สามารถใช้ในเมืองได้คะ ซึ่งมันมีข้อจำกัดในการจัดซื้ออยู่แล้วคะ」
หืม งั้นก็หมายความว่าอุปกรณ์เวทมนต์ก็คงคล้ายๆกับไฟแช็คหรือไม่ก็ไฟฉายที่โลกเดิมละมั้ง แถมตอนที่ไปอาบน้ำหรือตอนอยู่ในเข้าห้องตัวเองก็ได้ลองใช้ดูบ้างแล้ว ข้อดีของมันก็คือไม่ต้องไปจำทฤษฎีอะไรให้ยุ่งยากก็สามารถใช้ได้
「เพราะงั้น ถ้าสรุปอย่างง่ายก็ๆคง……ถ้าไม่ได้อยากเป็นนักเวทย์หรืออะไรพวกนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องเรียนเวทมนต์ก็ได้คะ……และอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ความเร็วในการเรียนรู้เวทมนต์นั้นจะต่างกันไปตามแต่ละคน ถ้าคิดว่าสามารถใช้ได้แล้วมันอาจจะทำให้สะดวกยิ่งขึ้นละก็ จะลองเรียนไว้ก็ไม่เสียหายอะไรคะ」
ในขณะที่ลิเลียซังพูดอยู่นั้นก็มีสิ่งที่คล้ายกับวงแหวนเวทย์ปรากฎอยู่บนมือเธอ พร้อมกับสายลมอ่อนๆที่พัดภายในห้อง
「เวทมนต์นั้นจะมีอยู่ทั้งหมด8ชนิดคะ ไฟ น้ำ ลม ดิน สายฟ้า แสง มืด และไร้ธาตุ ซึ่งแต่ละคนนั้นจะมีความถนัดแตกต่างกันไป ที่ฉันถนัดคือลม ส่วนของลูน่านั้นคือน้ำคะ」
「พอได้เห็นของจริงแล้ว มันรู้สึกตื่นเต้นดีนะคะ」
ในขณะที่คุซึกิซังนั้นมีสีหน้าที่ประทับใจในเวทมนต์ที่ลิเลียซังแสดงให้ดูนั้น สิ่งที่เรานึกถึงก็คือสิ่งที่คล้ายเวทมนต์ที่คุโระใช้ บางทีไอ้เสื้อโค้ทคุม4มิตินั้นก็คงเป็นเวทมนต์ไม่ผิดแน่ แต่ว่าเป็นชนิดไหนกันละ?ถ้าพูดถึงเผ่ามารก็ต้องมืดรึเปล่านะ? ผ้าคุมนั้นก็สีดำด้วย……แต่ว่าเสื่อทาทามิที่ออกมามันสีเขียวนี่สิ? เอาไว้ค่อยถามทีหลังละกัน
「หนังสือเล่มนั้นฉันให้เลยคะ ถ้ามีเวลาก็ลองอ่านดูได้นะคะ」
หลังจากตรงนี้ลิเลียซังจะอธิบายถึงทฤษฎีที่เกี่ยวกับเวทมนต์ให้ฟังประมาณ1ชม. หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกัน
วันที่2หลังจากที่มาโลกนี้ก็ยังไม่มีอะไรเป็นพิเศษ พอตกดึกเราก็ลองอ่านหนังสือความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเวทมนต์ที่ได้รับมาดู พูดตามตรงไม่เข้าใจเลยสักนิด
เวทมนต์แต่ละชนิดนั้นจะมีทฤษฎีที่แตกต่างกันไป พื้นฐานบทร่ายเองก็ยากจนไม่เข้าใจ สำหรับคนบนโลกนี้ถ้าอยากจะจำเวทมนต์ดูเหมือนจะต้องไปเรียนที่โรงเรียนเวทมนต์ แต่ดูเหมือนว่าลิเลียซังจะเรียนมาตอนที่ยังอยู่ในทัพอัศวิน ส่วนลูน่ามาเรียซังนั้นดูเหมือนจะเข้าเรียนที่โรงเรียนเวทมนต์ การที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะงั้นอาจารย์สอนเฉพาะทางจึงค่อนข้างจำเป็น
ถึงแม้ว่าลิเลียซังจะบอกไว้ว่าถ้าสนใจก็สามารถว่าจ้างคนให้มาสอนให้ได้ แต่เพราะรู้สึกจะเป็นการรบกวนมากเกินก็เลยปฎิเสธไป
แล้วก็อีกเรื่องนึงก็อย่างที่คิดไว้ ถ้าพูดถึงเรื่องเวทมนต์แล้วละก็เผ่ามารนั้นจะเก่งกว่าเผ่ามนุษย์ เผ่ามารนั้นยิ่งฝึกมากเท่าไรไม่ว่าจะเป็นเวทย์อะไรก็สามารถใช้ได้ แต่เผ่ามารส่วนใหญ่นั้นมักจะใช้สัญชาตญาณในการใช้เวทมนต์ซะมากกว่า เพราะงั้นก็เลยมีเพียงแค่เผ่ามารระดับสูงเท่านั้นที่จะมีความรู้ที่พอจะสอนคนอื่นได้ แต่ดูเหมือนว่าไม่ค่อยมีเผ่ามารที่เป็นอาจารย์สอนสักเท่าไร
การที่จะหาเผ่ามารที่มีระดับสูง ถึงขนาดที่ไม่ต้องมีบทร่ายหรือวงแหวนเวทย์ก็สามารถใช้ได้แบบนั้――เดียวนะ? เหมือนเคยเห็นมาแล้วรึเปล่าหว่า? จะว่าไป คุโระไม่ใช่หรอฟะ? ถ้างั้นลองถามคุโระดูก็……ไม่สิ เราไม่รู้ว่ายัยนั้นจะโผล่มาหาตอนไหนด้วย――
「รู้สึกเหมือนกำลังถูกเรียกยังไงยังงั้น!」
「พรุด!?」
ในขณะที่กำลังคิดอยู่ในหัวนั้น อยู่ๆสาวน้อยเผ่ามาร――ก็บุกรุกเข้ามาในห้องด้วยความร่าเริง เสื้อโค้ทสีดำพริ้วไหวจนทำให้เห็นขาขาวๆของเธอจากช่องว่างของเสื้อ ถึงแม้ว่าเสื้อโค้ทนั้นจะใหญ่จนดูไม่ค่อยชัด แต่ข้างล่างนั้นน่าจะใส่ขาสั่นสินะ……เดียวๆ ไม่ใช่เรื่องนั้นดิ!?มาเร็วไปแล้วเฟ้ย!? ทำไมพอคิดถึงปุบแล้วมาหาปับแบบนั้นได้ละ!? อย่างที่คิด ยัยนี่ต้องเป็นผู้มีพลังจิตแน่ๆ!?
「คืนนี้ก็ยังคงสวยเหมือนเดิมเลยเนอะ~」
「……อ เอ๊ะ……ตั้งแต่เมื่อไรกัน!?」
「เอาน่าๆ เรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนั้นช่างมันเหอะ อะนี่ เบบี้คาสเทลล่า วันนี้ลองใส่แยมเข้าไปข้างในดูด้วยละ! 」
แบบนั้นมันก็ไม่ใช่เบบี้คาสเทลล่าแต่เป็นมินิแยมปังธรรมดาแล้วไม่ใช่รึไง? ยังจำเป็นต้องทำเป็นเบบี้คาสเทลล่าอยู่อีกหรอ?
แต่ถึงอย่างงั้นก็กินเบบี้คาสเทลล่าเธอยื่นมาให้เหมือนทุกที ซึ่งคุโระเองก็นั่งบนเก้าอี้ที่ไม่รู้เอามาจากไหนอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกับวางถ้วยชาที่ใส่กาแฟไว้บนโต๊ะ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมชินกับรอยยิ้มที่ดูน่ารักไร้เดียงสาของเธอแล้วรึเปล่า ผมถึงไม่มีอารมณ์ไปตบมุกกับการกระทำของเธอ และหันไปดื่มกาแฟที่ได้รับมาแทน แล้วก็นึกถึงเรื่องนึงขึ้นมาได้
「เอ๊ะ? จะว่าไป……ไม่ใช่ว่าวันนี้เผ่ามารจะไม่กินอาหารอย่างอื่นนอกจากสิ่งที่กำหนดไว้ไม่ใช่หรอ?」
「นั้นสินะ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอกเพราะนี่ไงสิ่งนั้น」
「อ๋อหรอ」
พอลองถามถึงการใช้เวลาในช่วงปีใหม่ของเผ่ามารที่ได้ยินมาตอนเช้าดู ดูเหมือนว่าเบบี้คาสเทลล่ากับกาแฟเองก็เป็นอาหารที่ถูกกำหนดเอาไว้ด้วย หกราชันตนไหนกันนะที่กำหนดให้เบบี้คาสเทลล่ากับกาแฟเป็นสิ่งที่ทานได้นะ ไม่สิ บางทีที่โลกมารมันอาจจะเป็นอาหารขึ้นชื่อก็ได้ เพราะงั้นก็เลยเอาสองอย่างนี้มาคู่กันซะเลย
ในขณะที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยนั้น คุโระก็สนใจหนังสือที่เรากำลังถืออยู่ แล้วก็เอียงคอถามด้วยความสงสัย
「อืมม?นั้นมันหนังสืออะไรหรอ?」
「อ่อ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเวทมนต์นะ」
「เห๋~อยากจะเรียนเกี่ยวกับเวทมนต์สินะ อ๋อ เพราะงั้นก็เลยอยากจะเจอกับผมหรอ?」
「อือ ก็ประมานนั้นแหละ? ถึงจะลองอ่านไปแล้วนิดหน่อยก็เหอะ แต่พอมีเวทย์ถึง8ชนิดแล้วก็เลยไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดีนะ……」
「8ชนิด? เวทมนต์มันมีแค่『2ชนิด』เท่านั้นนะ?」
「……เอ๊ะ?」
ทั้งๆที่คิดว่าเวทมนต์นั้นมีหลายชนิดและไม่ว่าจะชนิดไหนก็ล้วนแต่มีทฤษฎีที่เข้าใจได้ยากแท้ๆ แต่สิ่งที่คุโระตอบกลับมานั้นเหมือนกับว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไปจนทำให้ติดสตั้นไปชั่วขณะ
มีแค่2ชนิด? ไม่ใช่ว่ามันมีทั้งหมด8ชนิด ไฟ น้ำ ลม ดิน สายฟ้า แสง มืด และไร้ธาตุหรอ……
「มีแค่2ชนิดหรอ?」
「อืม ใช่แล้วละ ชนิดแรกคือ『เวทย์แปลงสภาพ』จะเป็นการเปลี่ยนพลังเวทย์ให้กลายเป็นไฟ น้ำ หรือไม่ก็สิ่งของต่างๆแทน กับอีกชนิดนึงก็คือ『เวทย์ไม่แปลงสภาพ』 จะเป็นการใช้พลังเวทย์ทั้งอย่างงั้นเลยนะ มีแค่2อย่างนี้นะ?」
「……เอ่อ……นี่คุโระ ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม……ปกติกว่าจะใช้เวทมนต์แบบง่ายๆได้นี่ เขาใช้เวลาประมาณเท่าไรกันหรอ?」
「อื~ม มันก็ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของคนๆนั้นด้วยนะ แต่ว่า『อย่างเร็วก็1วัน、ช้าหน่อยก็1เดือน』ละมั้ง?」
「……หะ?」
ถึงคุณพ่อ คุณแม่ที่รัก――ผมได้เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนต์แล้ว แต่ว่าสิ่งที่เผ่ามนุษย์พูดกับสิ่งที่เผ่ามารพูด――มันไม่เห็นเหมือนกันเลย
———————————————–
ในที่สุดก็แปลเสร็จจจจ
ขอบอกก่อนนะครับผมไม่ได้ดรอป แต่แค่มันแปลยากกกกก(เอาจริงๆก็นั่งคิดว่าทำไรดี รู้สึกตัวอีกทีก็หมดวันแล้ว)
ช่วยผมหน่อยครับ 術式 จะแปลว่าอะไรดี ในตอนนี้ผมใช้คำว่า คำร่าย แต่รู้สึกเหมือนมันไม่ใช่