นิยามแห่งราตรี (Night’s Nomenclature ) - ตอนที่ 187 ประเพณีของอัศวิน
ตอนที่ 187 – ประเพณีของอัศวิน
นอกห้องเปลี่ยนชุดเป็นเสียงเชียร์ เสียงโห่ร้อง ยังมีเสียงแตรอันเป็นเอกลักษณ์ในสนามมวยนี้
ข้างเวทีมวยมีมือแตรตั้งอยู่สองแถว ข้างหน้าทุกคนล้วนยกแตรขนาดยักษ์เอาไว้ ตอนที่การแข่งมวยเริ่มต้น พวกเขาจะเป่าแตรช้า ๆ
เสียงอันไพเราะผันแปรจากทุ้มลึกเป็นแหลมสูง พร้อมกับออกซิเจนที่ถูกลำเลียงไปในท่อระบายอากาศ ดึงอารมณ์ของผู้ชมทุกคนจากหุบเหวไปสู่ท้องนภา
พิธีกรที่สวมชุดทางการคนหนึ่งถือไมโครโฟนยืนอยู่ในกรงแปดเหลี่ยม มองรอบด้านอย่างเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านสุภาพบุรุษ ท่านสุภาพสตรี!”
“ผ่านไป 10 วัน ในกรงแปดเหลี่ยมของเขตที่สี่เมืองหมายเลย 18 กำลังจะได้ต้อนรับนักมวยใหม่คนหนึ่ง คืนนี้ เขาจะปีนป่ายบันไดสวรรค์จากรุ่นแบนตั้มเวท”
“ทุกท่านจำได้หรือไม่ว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน ราชามวยอาฝานก็ต่อสู้เลือดสาดที่กรงแปดเหลี่ยมอย่างนี้ในคืนหนึ่ง?”
“ตอนที่คนใหม่ปรากฏขึ้นทุกครั้ง การแสดงออกของพวกเขาล้วนมีค่าให้พวกเราคาดหวัง……”
ในห้องเปลี่ยนชุดอันคับแคบ ชิ่งเฉินมองไปทางหลี่ซูถง “ท่านอาจารย์ครับ ท่านแค่บอกว่าจะพาผมมาดู ๆ ก่อนจะมาก็ไม่ได้บอกว่าอยากให้ผมขึ้นไปถูกทุบตีนะ นี่มันเหลวไหลไปหน่อยรึเปล่าครับ?”
นักมวยธรรมดาได้แต่ใช้ห้องเปลี่ยนชุดพื้น ๆ มีเพียงรุ่นพยัคฆ์ขึ้นไปจึงสามารถครอบครองห้องเปลี่ยนชุดโดยเฉพาะของตนเอง
แต่ในความเป็นจริง ห้องเปลี่ยนชุดไม่ได้มีความหมายสำหรับชิ่งเฉินมากเลย เพราะว่าจริง ๆ เขาแม้แต่ชุดที่สามารถเปลี่ยนได้ยังไม่ได้เอามา……
เหลวไหลเกินไปแล้วนะ
หลี่ซูถงกล่าวอย่างเนิ่บนาบว่า “ตอนที่ฉันขึ้นเวทีมวยครั้งแรกก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไร แถมฉันกับอาจารย์ลุงของเธอก็ล้วนผ่านกระบวนการถูกทุบนี้อย่างนี้ ปกติมาก! อัศวินจะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคอันใดล้วนไม่หวั่นเกรง!”
ชิ่งเฉินมองหลี่ซูถงอย่างระแวง “ท่านอาจารย์ ท่านลงมือเองไม่ได้ ดังนั้นอยากเห็นคนอื่นตีผมปะครับเนี่ย?”
หลี่ซูถงคิดดู “คิดอย่างนี้มันผิดอะไรล่ะ ตอนที่อาจารย์ปู่รองของเธอพาฉันขึ้นเวทีมวย เขาก็คิดอย่างนี้แหละ!”
“ผมเข้าใจแล้ว ที่แท้นี่ก็คือประเพณีของอัศวิน” ชิ่งเฉินกล่าว
ดูท่า คนที่ส่งหลี่ซูถงขึ้นเวทีมวยก็คือคนที่เพิ่งจะได้พักยาวในสถานที่ต้องห้ามหมายเลข 002 และยังไม่ได้ก่อตัวเป็นกฎคนนั้น
อีกฝ่ายน่าจะรำคาญหลี่ซูถงและเฉินเจียจางจนทนไม่ไหว จึงส่งสองคนนี้ขึ้นไปถูกทุบตี
ชิ่งเฉินทราบชัดมากว่าตนเองมีน้ำหนักกี่ชั่งกี่ตำลึง อย่าว่าแต่ตนเองไม่มีประสบการณ์ต่อสู้จริงมากนักเลย พูดถึงความสามารถของผู้เหนือมนุษย์โดด ๆ เชื้อสายอัศวินอยู่บนเวทีมวยก็เสียเปรียบเป็นพิเศษ
ใช้มีดใบไม้สารทไม่ได้อะ!
แถมชิ่งเฉินรู้กฎ คืนแรกของการแข่งจัดอันดับนี้เขาต้องสู้ไปตั้งแต่รุ่นแบนตั้มเวทถึงรุ่นพยัคฆ์ เหน็ดเหนื่อยแทบตายสู้ไปถึงรุ่นพยัคฆ์ แล้วยังต้องไปเผชิญหน้ากับยอดฝีมือแรงก์ E ที่แท้จริง
นี่จะไม่ถูกทุบตีได้ยังไงล่ะ?
หลี่ซูถงถามว่า “บนโลกนี้นอกจากเวทีมวย ยังมีที่ที่สามารถให้เธอสั่งสมประสบการณ์ต่อสู้จริงอย่างไร้กังวลอีกเหรอ? แม้แต่การฝึกซ้อมในกองทัพสหพันธรัฐความเข้มข้นยังไม่สู้ที่นี่เลย”
ชิ่งเฉินก็กำลังครุ่นคิด สัมผัสระยะทาง สัมผัสด้านจังหวะ ล้วนเป็นสัญชาตญาณที่ฝึกซ้อมอย่างยาวนานจึงจะสามารถเกาะกุมได้
เขาเห็นลูกศิษย์หวั่นไหวอยู่บ้าง จึงกล่าวต่อว่า “ถ้าหากหาคู่ซ้อมระดับเดียวกัน เธอเต็มใจสู้กับคนเขา คนเขาไม่จำเป็นว่าจะเต็มใจสู้กับเธอ เธอเชิญคนอื่นมาซ้อมข้างนอกยังจะเสียเงิน ซ้อมที่นี่ยังสามารถหาเงินนะ! ถึงรุ่นมิดเดิลเวทขึ้นไป การสู้ทุก ๆ นัดไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ล้วนมีส่วนแบ่งกองเงินเดิมพัน! ยังมีค่าลงสนาม!”
“ค่าลงสนามมันยังไงครับ?” ชิ่งเฉินถาม
“ถ้าเธอสามารถสู้ถึงรุ่นพยัคฆ์ สูงมาก”
“ได้ ผมสู้” ชิ่งเฉินกล่าว
หลี่ซูถงทอดถอนใจ “ถ้าฉันรู้แต่แรกว่าเอ่ยถึงเงินก็พอ ก็ไม่ต้องพูดไร้สาระกับเธอแล้ว”
“จริงสิครับ” ชิ่งเฉินเอ่ยอย่างอยากรู้ “ท่านอาจารย์ คุณไม่ไปซื้อตั๋วพนันว่าผมชนะสักหน่อยเหรอ?”
“ไม่ซื้อ” หลี่ซูถงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
ชิ่งเฉินไม่สบายไปทั้งเนื้อทั้งตัว “ท่านอาจารย์ท่านมั่นใจว่าคืนนี้ผมชนะไม่ได้ ดังนั้นไม่เต็มใจจะเสียเงินปะครับ? ท่านส่งผมขึ้นไปถูกทุบตีปะครับ!”
หลี่ซูถงเอ่ยอย่างอดทนว่า “ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น ฉันแค่รู้สึกว่าการพนันมันไม่ดี”
ว่าแล้ว หลี่ซูถงถอดเสื้อคลุมของตนเองออกมาสวมกลับด้าน เสื้อตัวนี้ถึงกับเป็นหนึ่งชิ้นสองด้าน ข้างในไม่ใช่สีขาวล้วนอีก ทว่าเป็นสีเทาล้วน
“ท่านอาจารย์ ทำไมคุณต้องสวมเสื้อกลับด้านล่ะครับ” ชิ่งเฉินไม่เข้าใจ
“รอเดี๋ยวเธอก็รู้แล้วล่ะ”
“งั้นท่านอาจารย์คุณรู้สึกว่าคืนนี้ผมชนะได้ไหมครับ?” ชิ่งเฉินถาม
หลี่ซูถงคิด “อันที่จริงพอถึงรุ่นพยัคฆ์ คู่ต่อสู้ของเธอก็เป็นนักรบพันธุกรรมแรงก์ E ที่แท้จริงแล้ว ดังนั้นหลังต่อสู้หลายนัด อยากจะชนะก็ไม่ง่าย ถ้าอยากชนะ เธอยังขาดโอกาสอย่างหนึ่ง”
ชิ่งเฉินหน้าดำ เป็นขาดโอกาสอย่างหนึ่งอีกแล้ว
ครั้งก่อนตอนที่ท่านอาจารย์พูดว่าตนเองขาดโอกาสอย่างหนึ่งก็จงใจสร้างเงื่อนไขให้ยอดฝีมือแรงก์ C หนึ่งคนไปไล่ฆ่าตนเอง
“แต่ว่าท่านอาจารย์ครับ ผมไม่ควรใช้ฟันยางป้องกันอะไรเหรอครับ? ยังมี นวมของผมล่ะครับ?” ชิ่งเฉินถาม
“ตอนนี้กฎของมวยมืดเปลี่ยนไปตั้งนานแล้ว ไม่ใช้ฟันยาง ไม่ใช้นวม อย่างนี้ยิ่งเพิ่มความตื่นเต้น” หลี่ซูถงกล่าว
เสียงเชียร์ข้างนอกห้องเปลี่ยนชุดยิ่งมายิ่งดัง นอกประตูเลื่อนอัลลอยด์มีคนตบประตู “นักมวยเชิญขึ้นเวทีครับ”
แต่ทว่าเวลานี้ โทรศัพท์มือถือหลี่ซูถงจู่ ๆ ดังขึ้น เขาหยิบออกมาดูแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “หลังพวกเราออกมา สาวน้อยยางยางคนนั้นกลับไปที่อาคารลั่วเสิน ดูท่าตั้งใจจะอยู่ห้องตรงข้าม”
“นี่คือหนึ่งซุบซิบกับท่านอีกแล้วเหรอครับ?” ชิ่งเฉินเอ่ยอย่างสงสัย
“อืม” หลี่ซูถงพยักหน้า
ขณะนี้ชิ่งเฉินงงงวยแล้ว ดังนั้นเอไอที่แท้จริง……ก็ซุบซิบเหมือนกับมนุษย์เลยใช่ไหม?
“ท่านไม่ต้องคิดเยอะจริง ๆ ครับ ระหว่างพวกเราไม่มีอะไรจริง ๆ” เขาอธิบายอย่างสงบนิ่ง “ยางยางคนนี้ตอนที่มาถึงเมืองลั่วโลกภายนอกก็ปุบปับมาก เป้าหมายของเธอชัดเจนมาก ก็คือเข้าใกล้คนหรือเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับคุกหมายเลข 18……พูดให้แน่ชัด อาจจะอยากเข้าใกล้คุณมากกว่า ผมคิดว่าเป็นองค์กรเบื้องหลังเธอที่ให้เธอทำอย่างนี้”
หลี่ซูถงทอดถอนใจ “คนหนุ่มสาวตอนนี้ซับซ้อนขนาดนี้กันหมดเลยเหรอ สมัยพวกฉันนั่น เด็กหนุ่มเด็กสาวอายุ 17 ปีวางอุบายกันอย่างนี้ซะที่ไหน”
เจ้าหน้าที่นอกประตูเห็นชิ่งเฉินล่าช้าไม่ออกมา นึกว่าชิ่งเฉินหวาดกลัวแล้ว
เขากล่าวอย่างเร่งร้อนอยู่บ้างว่า “คุณเซ็นสัญญาของคืนนี้แล้วนะ ถ้ากลัวสู้ไม่ออกมาก็ต้องชดใช้ค่าปรับสนามมวย!”
ชิ่งเฉินยิ้มเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ ทุกอย่างล้วนรอให้ผมสู้นัดนี้เสร็จก่อนค่อยว่ากันเถอะครับ”
ว่าแล้ว เขาเปิดประตูเลื่อนอัลลอยด์ของห้องเปลี่ยนชุด เดินออกไปข้างนอกอย่างไร้เสียง
ประตูเปิดแล้ว เจ้าหน้าที่นอกประตูกำลังรออยู่
หลี่ซูถงยิ้มอยู่ข้างหลังของชิ่งเฉิน จู่ ๆ เขาตระหนักถึงจิตใจของอาจารย์อาตอนนั้นที่ส่งเขากับศิษย์พี่สองคนขึ้นเวทีมวยแล้ว ในความกังวลเจือความคาดหวัง
เขาไม่ได้รออยู่ในห้องเปลี่ยนชุดอีก ทว่าเดินเข้าไปในฝูงคนเงียบ ๆ
ฉันเพียงร่วมทางกับเธอพันลี้ จากนี้จะสายลมหิมะหรือแสงแดดฉันก็จะไม่ถามไถ่อีก
แต่ฉันยังจะแอบดู
……
……
ในห้องส่วนตัว หลี่อีนั่วยืนอยู่หน้าหน้าต่างกระจกเงียบ ๆ เธอมองดูเด็กหนุ่มที่สวมชุดกีฬาสีขาวหิมะคนนั้นเดินออกมาจากอุโมงค์นักมวย
เทียบกับการลงสนามของราชามวยรุ่นแบนตั้มเวทฝั่งตรงข้าม ชิ่งเฉินไม่มีโค้ช ไม่มีทีมนำ ข้างกายก็ไม่มีสาวสวย โดดเดี่ยวเดียวดาย
ชิ่งเฉินถึงขนาดไม่ได้เตรียมชุดขึ้นเวทีมวย รูปร่างผอมเพรียวก็ไม่เหมือนกับนักมวย
ถ้าให้หลี่อีนั่วพูด เด็กหนุ่มคนนี้เหมือนนักเรียนที่บังเอิญผ่านทางมากกว่า อาจจะเห็นว่ามวยมืดที่นี่สามารถหาเงินก็เลยอยากลองดู ฝันเฟื่องว่าจะร่ำรวยในชั่วข้ามคืน
คนอย่างนี้เคยมีเยอะมาก แต่แทบจะตายอยู่ในกรงแปดเหลี่ยมกันหมดแล้ว
ผู้ชมในสนามมวยเห็นชิ่งเฉินที่มีรูปลักษณ์อย่างนี้ลงสนามถึงกับร้องโห่กันขึ้นมา
คนที่ลงเดิมพันกับตัวเขาก็ร้องว่าซวยเสียงดัง “เชี่ย ฉันยังนึกว่าจะเป็นนักมวยอัจฉริยะเพิ่งมาเปิดตัว ผลคือบนตัวเด็กนี่ไม่มีร่องรอยการฝึกซ้อมเลย!”
“อายุก็เด็กเกินไปแล้วปะ เป็นนักเรียนของโรงเรียนไหนเหรอ?”
“รีบลงฝั่งตรงข้าม! ชนะเงินที่เสียไปจากการลงที่เขากลับมา!”
เวลานี้ ร่างสีเทาร่างหนึ่งเดินอยู่ในฝูงชน “รับคืนตั๋วพนันฝั่งคนใหม่ราคา 10% รับคืนตั๋วพนันฝั่งคนใหม่ราคา 10%”
หลังจากผู้ชมสนามมวยลงพนันแล้ว สนามมวยจะมอบการ์ดสีขาวแบบเดียวกับเหรียญกาสิโนให้พวกเขา บนนั้นพิมพ์จำนวนเงินพนันเอาไว้
ตอนจบผู้ชนะเอาการ์ดไปแลกเงิน ผู้แพ้โยนการ์ดลงเวทีมวย
หลี่ซูถงถือถุงหนึ่งใบเดินวนตะโกนว่า “รับคืนตั๋วที่พนันว่าคนใหม่จะผ่านด่านราคา 10% ครับ ขอเพียงลงว่าผ่านด่าน คุณเอาสิิ่งนี้มาแลกเงินกับผมได้ตอนนี้เลย อีกเดี๋ยวเขาแพ้การแข่งก็ไม่มีค่าสักแดงเดียวแล้ว ชีวิตคนเราคือการต้องหยุดความเสียหายให้ทันเวลานะ!”
“ผมขาย! ตั๋วของผมผ่านด่าน 2000 หยวน!”
“ผมก็ขาย! ผมลงว่าผ่านด่าน 800 หยวน!”
หลี่ซูถงยิ้มแย้มกล่าวว่า “มาทีละคนครับ!”
ในเวลาสั้น ๆ ห้านาที ถุงที่เขาถือก็เกือบเต็มแล้ว
สำหรับนักพนันคนอื่น อัตราต่อรองสำหรับการพนันชิ่งเฉินจะผ่านด่าน ณ ขณะนี้มีเพียง 10 เท่า แถมอัตราต่อรองนี้ยังตกลงมาไม่หยุด
แต่หลี่ซูถงไม่เหมือนกัน เขาจงใจให้ทุกคนดูออกว่าชิ่งเฉินไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิด ให้ทุกคนนึกว่าชิ่งเฉินเป็นเพียงไก่อ่อนที่ไร้ร่องรอยการฝึกฝนแม้แต่เศษเสี้ยว
อย่างนี้ ตอนที่เขาลงเดิมพันก็มีเลเวอเรจ* สิบเท่าเลย
ตอนที่ชิ่งเฉินถามหลี่ซูถงว่าทำไมไม่เดิมพัน หลี่ซูถงพูดว่าการพนันไม่ดี แต่ตัวเขาเองรู้ว่าที่จริงคือยังไม่ถึงเวลา!
หลี่ซูถงไม่ขาดเงินเลย เขาไม่ได้รู้สึกว่าการขาดเงินเป็นสภาวะอย่างไรมานานมากแล้ว ดังนั้นเขาไม่ได้อยากจะใช้ชิ่งเฉินมาหาเงินเลย
เพียงแต่ ตอนที่อาจารย์อาของเขาส่งเขากับศิษย์พี่ขึ้นเวทีมวยในปีนั้นก็ทำอย่างนี้!
ประเพณีไม่สามารถทำลายได้!
ตอนแรกอาจารย์อาก็ใช้อุบายนี้ แทบจะไปถึงจุดที่มีอิสรภาพทางการเงินเลย
หลี่ซูถงจำได้อย่างชัดเจนว่า เพื่อจะดึงอัตราต่อรองของพวกเขาสองคนให้สูงขึ้น อาจารย์อาถึงขนาดเรียกร้องให้ตอนที่พวกเขาลงสนามครั้งแรกต้องสวมรองเท้าแตะกับเสื้อผ้าปะชุน!
เทียบกับอาจารย์อาคนนั้น หลี่ซูถงรู้สึกว่าตัวเองไว้หน้าให้ลูกศิษย์มากแล้ว
คิดถึงตรงนี้ หลี่ซูถงเผยรอยยิ้มบางเบา ช่วงเวลาที่ผ่านไปแล้วช่างงดงามขนาดนี้ ทำให้คนอดหวนรำลึกไม่ได้
ณ เวลานี้ หลี่ถงอวิ๋นในห้องส่วนตัวจู่ ๆ เดินไปที่ข้างหน้าต่างกระจก เด็กหญิงตัวน้อยจับมือของหลี่อีนั่ว “พี่สาวคะ ฉันเห็นพี่จ้องนักมวยที่สวมชุดสีขาวคนนั้นตลอดเลย ทำไมเหรอคะ พี่รู้จักเขาเหรอ?”
“รู้จัก ถือว่าเป็นเพื่อนที่ได้รู้จักกันใหม่ของพี่สาว” หลี่อีนั่วมองหลี่ถงอวิ๋นอย่างเอ็นดูแล้วกล่าวยิ้ม ๆ
“พี่อีนั่ว เขาเป็นใครอะคะ?” เสี่ยวถงอวิ๋นถามอย่างเชื่อฟัง
หลี่อีนั่วส่ายหน้า “พี่บอกตัวตนของเขากับเธอไม่ได้”
ในสีหน้าเสี่ยวถงอวิ๋นมีรอยกังวลแวบผ่าน แต่น้ำเสียงเธอยังคงไร้เดียงสา “ในเมื่อเขาเป็นเพื่อนของพี่ งั้นพี่ไม่ห่วงว่าเขาจะเกิดเรื่องในกรงแปดเหลี่ยมเหรอคะ? พี่ชายคนนี้หน้าตาดูดีขนาดนี้ จะไม่ได้รับบาดเจ็บสินะคะ”
หลี่อีนั่วยิ้มแล้ว “ไม่ห่วง ผู้อาวุโสของเขายังไม่ห่วง ฉันจะมีอะไรให้ห่วงล่ะ วางใจเถอะ เขาจะไม่เป็นไร นักมวยในกรงแปดเหลี่ยมนี่ไม่ใช่คู่มือของเขา”
เวลานี้ หลี่ถงอวิ๋นและหนานเกิงเฉินมีความรู้สึกโล่งใจชนิดหนึ่งขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
สองคนนี้ที่อยู่ในห้องส่วนตัวราวกับจะรับรู้ถึงอารมณ์ของอีกฝ่าย จึงสบตากันแล้วยิ่งรู้สึกพิลึกขึ้นไปอีก
“หรือว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนของพี่เฉิน?” หนานเกิงเฉินคิดในใจ
“หรือว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนของพี่ชิ่งเฉิน?” หลี่ถงอวิ๋นคิดในใจ
หลี่อีนั่วกล่าวกับพวกเขาว่า “การแข่งจัดอันดับเริ่มแรกเป็นแค่รุ่นแบนตั้มเวท เอาคู่มือประเภทนี้ไปวางตรงหน้าเพื่อนนักเรียนคนนี้ ได้แต่เป็นระดับที่ถูกบดขยี้ ดูอย่างใจเย็น ๆ เถอะ ฉันเดาว่าเขาสามารถยุติการต่อสู้ได้ใน 1 นาที”
การแข่งมวยในกรงแปดเหลี่ยมเริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่ทว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นอย่างที่หลี่อีนั่วพูดเลย ชิ่งเฉินก็ไม่ได้บดขยี้คู่ต่อสู้หวังฝูตรง ๆ
เพียงเห็นชิ่งเฉินตั้งการ์ดป้องกันศีรษะอยู่ตลอด หมัดของหวังฝูตกลงบนตัวของเขาดุจสายฝน ราวกับว่าชกจนเขาไม่มีช่องให้ตอบโต้สักนิด
ชุดกีฬาที่เดิมเป็นสีขาวหิมะเรียบร้อยของเด็กหนุ่ม กลายเป็นยับเยินอย่างรวดเร็ว บนนั้นยังประทับด้วยรอยหมัดแต่ละหมัด
เวลาหนึ่งนาทีที่หลี่อีนั่วพูดผ่านไปแล้ว สถานการณ์ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว
หลี่ถงอวิ๋นเห็นดังนี้ก็เอ่ยอย่างกังวลว่า “พี่อีนั่ว นี่ทำไมไม่เหมือนกับที่พี่พูดเลยสักนิดล่ะคะ?”
หลี่อีนั่วเอ่ยอย่างปวดฟันว่า “นี่เป็นกลยุทธ์ของเขา”
นอกห้องส่วนตัว หลี่ซูถงหันหน้ากลับไปมองกรงแปดเหลี่ยมแวบหนึ่ง กล่าวทันทีว่า รับคืนตั๋วที่ลงว่าคนใหม่ผ่านด่าน 5%! เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เปลี่ยนเป็น 5%!”
เหล่านักพนันที่ราวกับไว้ทุกข์ให้มารดาสบถอย่างโมโหว่า “เมื่อกี้ไม่ใช่ว่า 10% เหรอ ใครเขาลดราคาแล้วยังจะมีทศนิยม** อีก!? คุณนี่ใจดำเกินไปแล้วปะ!”
“เมื่อกี้ก็เมื่อกี้” หลี่ซูถงอธิบายอย่างจริงจัง “คุณไม่เห็นเหรอว่าเขาเพียงจะถึงรุ่นแบนตั้มเวทก็ถูกทุบตีจนกลายเป็นแบบนี้แล้วน่ะ? ที่ผมรับเป็นตั๋วผ่านด่านนะ ผมไม่ต้องรับความเสี่ยงหรือไง?”
หลี่ซูถงรู้สึกว่าลูกศิษย์ของตัวเองคนนี้ช่างรู้ความเกินไปจริง ๆ ถึงกับรู้จักช่วยอาจารย์สร้างบรรยากาศด้วย
ในทางตรงกันข้าม เขากับศิษย์พี่ในปีนั้นไม่ได้มีความตระหนักรู้นี้เลย
เฉินเจียจางนั่นเพิ่งจะขึ้นเวทีก็น็อคราชามวยรุ่นแบนตั้มเวทลงไปกองกับพื้นเลย ทำให้อาจารย์อาทำกำไรได้น้อยลง
ขณะนี้ รปภ. ในสนามมวยก็ค้นพบหลี่ซูถงแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้ถามไถ่เลย
ในสถานการณ์ปกติ ถ้าหากมีญาติมิตรของนักมวยวางเดิมพันด้วยเจตนาร้าย อย่างนั้นก็จะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปตักเตือน
แต่ถ้าหากรับตั๋วของคนอื่นคืน นี่จะไม่สร้างความเสียหายโดยตรงต่อสนามพนัน ดังนั้นพวกเขาไม่แคร์
………………………………….
*เลเวอเรจ เป็นศัพท์ทางการลงทุน คือสมมติเรามีเงิน 100 บาท ปกติเราก็ลงทุนได้ 100 บาท แต่ถ้ามีเลเวอเรจ สมมติเป็น เลเวอเรจ 1:100 เงินลงทุนร้อยบาทของเราจะสามารถเอาไปลงทุนจริงได้ร้อยเท่าคือ 10,000 บาท ก็จะมีความสามารถในการทำกำไร (และขาดทุน) ได้มากขึ้น
เช่น
ลงทุนปกติ 100 บาท กำไร 10% ก็ได้ 10 บาท
ถ้าใช้เลเวอเรจเหมือนมีเงินต้นหมื่นบาท กำไร 10% กลายเป็น 1,000 บาท จากเงินต้นจริง ๆ 100 บาท
แน่นอนว่าถ้าขาดทุน จากขาดทุนสิบบาทก็อาจกลายเป็นขาดทุนพันบาทได้เช่นกัน…….
แต่เรารู้สึกว่ามันใช้กับกรณีนี้ไม่ได้นะลุงหลี่ ลุงแทบจะเรียกว่าซื้อหวยลดราคาจนแทบจะเหมือนได้เปล่าแล้วนะ มีแต่กำไรเบิ้ม ๆ ขาดทุนเบิ้ม ๆ มันไม่มีอะ
**ทศนิยมที่เขาพูดถึงมาจากคำที่ใช้ในต้นฉบับค่ะ คือเขาไม่ได้ใช้คำว่าเปอร์เซ็นตรง ๆ แต่เป็น 折 ที่แปลว่าหนึ่งส่วนสิบ ก็คือตอนแรกซื้อราคาหนึ่งส่วนสิบ = 10% ต่อมาเป็น “0.5 ส่วนสิบ” = 5% ตอนแรกก็ว่าจะแปลเป็นซื้อกลับราคาหนึ่งส่วน แต่กลัวคนอ่านจะงงอะ
ตอนที่ 188 – ไก่บินไข่แตก