นิยามแห่งราตรี (Night’s Nomenclature ) - ตอนที่ 185 แชร์ห้องเช่าเถอะ!
ตอนที่ 185 – แชร์ห้องเช่าเถอะ!
“เด็กสาวคนนั้นน่าจะเป็นเด็กสาวโลกภายนอกที่สามารถควบคุมสนามพลังคนนั้นสินะ” หลี่ซูถงมองไปทางชิ่งเฉินอย่างยิ้มแย้ม “ตอนที่ฉันเข้าห้องรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสนามพลัง ความสามารถประเภทนี้หายากมากจริง ๆ แถมคนก็มีมารยาท หน้าตาก็สวยงาม”
“ซือฟุ ประโยคครึ่งหลังมีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?” ชิ่งเฉินถามอย่างสงบนิ่ง “นี่เป็นจุดสำคัญที่ท่านควรจะสนใจเหรอ”
“โถ่” หลี่ซูถงถอนหายใจ “เธออาจจะไม่รู้ อายุอานามของอาจารย์มากแล้ว……”
“ท่านหยุดเลย” ชิ่งเฉินยกมือขัด “พอท่านพูดว่าตัวเองอายุมากแล้ว ข้างหลังต้องไม่ใช่คำพูดจริงจังอะไรแน่”
หลี่ซูถงเลิกคิ้ว “ตอนที่อยู่ในสถานที่ต้องห้ามหมายเลข 002 อาจารย์ทั้งอิจฉาเธอแล้วก็อิจฉาตาแก่ก๊วนนั้นที่โอ๋เธอได้อย่างไม่ต้องแคร์สื่อ พวกเขาไม่สนการเติบโตของสภาพจิตใจเธอได้ แค่ให้ของให้ผลประโยชน์ก็พอ ไม่เหมือนฉันที่ยังต้องใคร่ครวญเยอะมาก ตอนนั้นอาจารย์ก็คิดมาก ๆ เลยว่าอยากจะเอ็นจอยกับความรู้สึกที่ได้โอ๋เด็กรุ่นหลานมั่ง……”
“ไม่ใช่คำพูดจริงจังอะไรตามคาดเลย” ชิ่งเฉินจนใจ “พวกเราไม่ได้พัวพันความรักอะไรกันจริง ๆ ครับ ตอนนี้อย่างมากที่สุดคือใช้ประโยชน์กันและกัน ท่านเลิกมโนได้แล้ว”
เวลานี้ ชิ่งเฉินจู่ ๆ คิดถึงปัญหาข้อหนึ่งได้ “ท่านอาจารย์ สนามพลังของคนทุกคนล้วนไม่เหมือนกัน เธอเคยบอกกับผมว่านี่เหมือนกับลายนิ้วมือกับ DNA ของคนคนหนึ่ง หลังจากท่านปรากฏตัวอย่างนี้ ครั้งหน้าที่เธอได้พบกับ ‘หลี่ซูถง’ ตัวจริงอีก จะต้องสามารถจดจำท่านออกมาได้แน่ ๆ”
สกิลของยางยางเป็นเหมือนกับเรดาร์มนุษย์ สามารถเมินการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของคนคนหนึ่งได้อย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นครั้งหน้ายางยางเพียงต้องเห็นตัวตนที่แท้จริงของหลี่ซูถงก็จะต้องจดจำหลี่ซูถงออกมาได้แน่
ตอนแรกเริ่มตัวชิ่งเฉินก็ถูกจดจำออกมาอย่างนี้!
“ท่านไม่น่ากลับมาเลย” ชิ่งเฉินกล่าวอย่างจริงจัง
หลี่ซูถงไม่ได้มองตาของชิ่งเฉิน ทว่าเดินไปที่ห้องครัว “นั่น……อาจารย์อยากเห็นเด็กสาวที่ลูกศิษย์พามาที่บ้าน นี่มันผิดอะไรล่ะ!”
“ท่านอาจารย์ครับ” ชิ่งเฉินเบิกตากว้าง “ผมก็ไม่ได้พูดอะไรนะ……”
ณ เวลานี้ นอกประตูมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างเหนือคาด
ชิ่งเฉินเดินไปเปิดประตู พบเห็นด้วยความประหลาดใจว่ายางยางยืนอยู่ที่ประตู ในมือยังถือผลไม้อยู่หนึ่งตะกร้า
“เธอทำไร?” ชิ่งเฉินประหลาดใจนิดหน่อย
“เมื่อกี้ฉันไม่รู้ว่าคุณอาก็อยู่บ้าน ออกไปอย่างรีบร้อนไม่สุภาพอยู่บ้าง ดังนั้นไปซื้อผลไม้มานิดหน่อย” ยางยางพูดจบก็ยัดตะกร้าผลไม้ใส่อ้อมแขนของชิ่งเฉิน หมุนตัวหนีไปอีกครั้ง
ชิ่งเฉินมองแผ่นหลังของเด็กสาว แล้วมองผลไม้ในอ้อมแขน ประหลาดใจอย่างไร้คำบรรยาย
หลี่ซูถงยิ้มกล่าวว่า “ผลไม้ในเมืองไม่ถูกเลยนะ ผลไม้หนึ่งจินมีราคาเท่าเนื้อสังเคราะห์สิบจินเลย แม่หนูลงมือได้ใจกว้างมากเลย ปกติคนที่อยู่นอกสามเขตบน นอกเสียจากทำธุรกิจ ใครก็ไม่เต็มใจจะมอบผมไม้ให้คนอื่น”
“ผลไม้ของโลกภายนอกถึงจะแพงเหมือนกัน แต่ยังไม่แพงถึงขั้นที่ทุกคนกินไม่ไหวอย่างสิ้นเชิง” ชิ่งเฉินกล่าว “ตอนเด็ก ๆ เวลาที่มีความสุขที่สุดก็คือฤดูร้อน สามารถถือแตงโมครึ่งลูกกินคนเดียว ช่วงนั้นแตงโมก็ถูกมาก เงินสิบหยวนก็สามารถซื้อแตงโมลูกใหญ่มากได้แล้ว”
หลี่ซูถงเอ่ยอย่างทอดถอนว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ที่ป่าฉันยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ ภายหลังจึงตระหนักว่าเสี่ยวอี่อี่ให้แอปเปิ้ลเธอเยอะขนาดนั้น อันที่จริงแล้วใจกว้างเป็นพิเศษเลย บ้านพวกเขาทุกครั้งที่ถึงฤดูใบไม้ร่วงก็จะไปเก็บแอปเปิ้ล ตอนกลับมาแอปเปิ้ลหนึ่งคันรถนั่นสามารถขายได้เงินไม่น้อย”
“อย่างนี้นี่เอง” ชิ่งเฉินกล่าว
“จริงสิ” หลี่ซูถงกล่าว “บ้านฉินกลับถึงเมืองหมายเลข 18 แล้วนะ พวกเขาทำตามคำสั่งของฉันแล้วไปหาซูสิงจื่อ เพียงแต่ว่าฉินอี่อี่ไม่ได้กลับมา”
“เธอไปไหนครับ?” ชิ่งเฉินกังขา
“พ่อเธอฉินเฉิงบอกกับซูสิงจื่อว่าระหว่างทางที่กลับมา ฉินอี่อี่ฉวยตอนกลางคืนที่ตั้งแค้มป์รอให้คนอื่นหลับกันหมดแล้วปลีกตัวออกจากกลุ่มคนเดียว” หลี่ซูถงอธิบาย “เธอทิ้งจดหมายไว้ฉบับหนึ่ง บอกว่าอยากไปสระอัคคีบนเขาต้าเสวี่ยทางตะวันตกเฉียงใต้”
ชิ่งเฉินย้อนคิดถึงเด็กสาวที่มีแอปเปิ้ลเต็มกระเป๋าคนนั้น มุมปากปรากฏรอยยิ้มเบาบาง
“ท่านอาจารย์วันนี้ไปจัดการเรื่องนี้มาเหรอครับ?” ชิ่งเฉินถาม
“ไม่ใช่” หลี่ซูถงส่ายหน้ากล่าวว่า “ซูสิงจื่อสามารถจัดแจงพวกเขาได้ดีมาก ไม้ต้องให้ฉันห่วงใยอะไรเลย”
“งั้นท่านอาจารย์ไปทำอะไรครับ?” ชิ่งเฉินฉงน
“ฉันไปดูรถให้เธอน่ะ” หลี่ซูถงกล่าว “ทั้งโอ้อวดเกินไปไม่ได้ แล้วยังค้องมีสมรรถนะที่ดี เลือกยากมากเลย จะว่าไปฉันอายุอานามมากขนาดนี้แล้ว ยังเพิ่งซื้อรถด้วยตัวเองเป็นคันแรก”
ชิ่งเฉินงุนงง “นักท่องเวลาพวกนั้นบอกอะไรกับท่านอาจารย์กันครับเนี่ย? พวกเขาพูดด้วยเหรอว่าพ่อต้องทำอะไร?”
“โอ้” หลี่ซูถงคิดแล้วตอบว่า “ที่พวกเขาพูดมันเยอะมาก คนมากมายก็ไม่เหมือนกัน นอกจากคนส่วนใหญ่ที่บอกว่าต้องซื้อบ้านให้ลูกชาย มีคนที่บอกว่าต้องซื้อมือถือ มีคนที่บอกว่าต้องซื้อรถ”
ชิ่งเฉินพยักหน้า “นี่ค่อนข้างสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของโลกภายนอกครับ”
หลี่ซูถงมองเขาแวบหนึ่ง “ยังมีคนที่บอกว่าต้องตีลูก เขาว่าพวกเธอโลกภายนอกมีคำกล่าวว่าไม้เรียวเกิดกตัญญู”
ชิ่งเฉิน “???”
ใครหน้าไหนมันบอกกับหลี่ซูถง?!
ชิ่งเฉินขบคิดชั่วครู่ “นักท่องเวลาคนนี้……เขาชื่ออะไรครับ?”
หลี่ซูถงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง “เธอวางแผนว่าจะกลับโลกภายนอกไปฆ่าเขาเหรอ?”
“ก็ไม่ใช่ไม่ได้”
“จริงสิ” หลี่ซูถงกล่าว “ยืนยันได้แล้วว่าหลิวเต๋อจู๋กลายเป็นผู้อเวค ฝั่งเธอสามารถยืนยันได้รึเปล่าว่าเขากลับตัวกลับใจแล้ว? ถ้าหากไม่อาจยืนยัน งั้นฉันจะสั่งให้หลินเสี่ยวเสี้ยวกับเยี่ยหว่านกำจัดเขาโดยเร็วที่สุด ถึงยังไงระดับโดยรวมของโลกภายนอกยังต่ำมาก ผู้อเวคอย่างนี้หลังกลับไปจะสร้างปฏิกิริยาสะท้อนกลับให้เธอ”
“ไม่ต้องกำจัดเขาครับ กลับตัวแล้ว” ชิ่งเฉินส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ อันที่จริงถึงเขาไม่อาจกลับตัว ผมก็ไม่สามารถฆ่าเขาเพราะเรื่องประเภทนี้ครับ”
“ความเมตตาย่อมเป็นเรื่องดี แต่ความเมตตาที่มากเกินไปไม่ใช่เรื่องดี” หลี่ซูถงกล่าว
“ท่านอาจารย์ครับ หลิวเต๋อจู้หลังจากอเวคเป็นแรงก์อะไรครับ?” ชิ่งเฉินถาม
“แรงก์ C”
“แรงก์ C?” ชิ่งเฉินตะลึง “เขาเป็นแรงก์ C ทันทีเลย? ทำไมเขาสามารถกระโดดข้าม F, E, D สามแรงก์ได้ตรง ๆ เลยล่ะครับ?”
“ระดับของผู้อเวคมันเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด” หลี่ซูถงคิดแล้วกล่าวว่า “ผู้ฝึกตนปลดปล่อยศักยภาพได้อย่างมีแนวทาง ช้า แต่เส้นทางก็เดินได้มั่นคงกว่า ยาวนานกว่า ทว่าผู้อเวคไม่เป็นอย่างนั้น พวกเขาอาจจะอเวคเป็นแรงก์ C จนตายยังเป็นแรงก์ C เพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีหนทางเติบโตที่มั่นคง อยากจะก้าวหน้าต่อไปยังไม่รู้ว่าควรจะก้าวหน้ายังไง”
ชิ่งเฉินคิดในใจว่าอย่างนี้ถ้าเขาอยากจะก้าวหน้าสามารถฝึกตนตรง ๆ จากนั้นหลังจากสั่งสมทักษะและประสบการณ์เพียงพอแล้วค่อยไปผ่านด่านเป็นตายครั้งต่อไป
แต่หลิวเต๋อจู้ไม่เหมือนกัน เขาไม่สามารถแบกแม่ไว้บนหลังไปเสี่ยงอันตรายสักครั้งปะ
หลี่ซูถงถอนหายใจเอ่ยว่า “มีครอบครัวหนึ่งโหดร้ายสุด ๆ พวกเขาสังเกตว่าลูกคนเล็กพอเกิดมาก็มีปรากฏการณ์ประหลาด รู้สึกว่านี่จะต้องสามารถกลายเป็นผู้เหนือมนุษย์ที่ดุร้ายถึงขีดสุดแน่ ๆ พวกเขาเลยวางแผนอย่างหนึ่ง ตัวเองเชิญมือสังหารมาฆ่าสมาชิกครอบครัวหนึ่งคนทุก ๆ ระยะเวลาหนึ่ง ลูกคนเล็กคนนั้นไม่รู้เรื่องเลย เสาะหาฆาตกรด้วยหัวใจที่เคียดแค้นมาโดยตลอด ผลคือญาติทยอยตายอนาถ ในระยะเวลา 3 ปีสั้น ๆ เขาไต่ไปถึงแรงก์ B ภายหลังหาฆาตกรเจอได้รู้ความจริง เพราะว่าไม่อาจยอมรับความจริงข้อนี้ได้ เลื่อนขึ้นเป็นแรงก์ A”
ชิ่งเฉินหันหน้าไปมองหลี่ซูถงเงียบ ๆ
หลี่ซูถงกล่าวว่า “เธอมองฉันทำอะไร! ตอนฉันพูดเรื่องประเภทนี้เธออย่ามาจู่ ๆ มองฉัน……ไม่งั้นพวกเราไปกระบวนการไม้เรียวเกิดกตัญญูกันไหม?!”
“แค่ก ๆ ท่านอาจารย์อย่าเข้าใจผิดนะ ผมไม่ได้คิดเยอะขนาดนั้น จะบอกว่าวิธีเลื่อนแรงก์อันนี้มันเปลืองญาติมิตรสักหน่อยน่ะครับ” ชิ่งเฉินกล่าว “งั้นมีคนที่มีพรสวรรค์ดีเป็นพิเศษรึเปล่าครับ?”
“ก็มี” หลี่ซูถงพูดด้วยอารมณ์ “มีบางคนที่พรสวรรค์พิเศษจริง ๆ ที่พออเวคก็ขึ้นแรงก์ A ฉันก็เคยเห็น”
“งั้นในประวัติศาสตร์ของสหพันธรัฐ ผู้อเวคคนไหนที่พรสวรรค์แกร่งสุดครับ หรือก็คือ ผมอยากรู้ว่าผู้อเวคสักคนจะสามารถแข็งแกร่งไปได้มากขนาดไหนครับ?” ชิ่งเฉินถาม
“ฉันรู้ว่าเคยมีคนที่จากคนธรรมดากระโดดไปเป็นขอบเขตกึ่งเทพในคืนเดียวเลย” หลี่ซูถงกล่าว
“ผู้อเวคถึงกับสามารถเข้าสู่กึ่งเทพในก้าวเดียวเลย?” ชิ่งเฉินตกตะลึง “เป็นใครครับ?”
หลี่ซูถงยิ้ม “วันหลังเธอก็จะรู้ เพราะว่าเธอจะต้องได้เจอเขา”
ชิ่งเฉินย่อยข้อมูลพวกนี้เงียบ ๆ จู่ ๆ เขาถามว่า “ท่านอาจารย์ครับ คุณหวังว่าผมจะไปเข้าเรียน แล้วก็หวังว่าผมจะสามารถผ่านวันเวลาอย่างไร้ห่วงไร้กังวลสักหลายปีสินะครับ”
“อืม” หลี่ซูถงตอบรับอย่างเรียบเฉย “ฉันกลัวว่าเธอจะประสาทตึงเครียดอยู่ตลอด ไม่ได้เพลิดเพลินกับความสนุกสนานของชีวิตคน ตอนที่อาจารย์อายุเท่ากับเธอ เรื่องจริงจังอะไรล้วนไม่เคยทำ แต่คิดกลับไปแล้วนั่นจึงเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด”
กลับเห็นชิ่งเฉินส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ครับ เข้าเรียนก็เป็นเวลาแค่ครึ่งวัน คุณไม่ให้ผมไปทำเรื่องอะไร ผมจะเบื่อจนเป็นบ้าเอานะครับ อีกอย่าง ผมก็ไม่สามารถจะไร้ห่วงไร้กังวลอีกต่อไปแล้ว”
หลี่ซูถงกล่าวว่า “คนหนุ่มสาวไม่ต้องตั้งเป้าหมายให้ตัวเองมากเกินไป ตอนที่ฉันโตเท่าเธอวัน ๆ ตามคนไปต่อยตีในเมือง ฉันกับศิษย์พี่สองอัศวิน เขาเพื่งจะผ่านด่านเป็นตายที่สอง ฉันเพิ่งจะผ่านอันที่หนึ่ง หลังจากกลับเข้าเมืองจากหน้าผาเขาซิงซาน เขายืนกรานจะพาฉันไปทดสอบสมรรถภาพทางกาย ผลคือเขาพาฉันไปลักพาตัวแล้วทุบตีนายน้อยรัชทายาทของชมรมมังกรดำ ทำให้พวกเราสองคนถูกชมรมมังกรดำไล่ล่าไปเจ็ดสิบกว่าลี้ ไล่ตลอดทางจากเขตที่เก้าถึงเขตที่เจ็ด”
ชิ่งเฉินคิดถึงปีนั้นอันห่างไกล ที่แท้ท่านอาจารย์ก็มีช่วงเวลาอเนจอนาถปานนี้ในเมืองด้วยเหมือนกัน
เขาถามว่า “พวกคุณทำไมถึงอยากตีรัชทายาทของชมรมมังกรดำล่ะครับ?”
“ตอนนั้นท่านอาจารย์ให้พวกเราไปต่อยมวยมืดในตลาดมืดหาประสบการณ์ต่อสู้จริง ผลคือนักมวยของชมรมมังกรดำเทปูนปลาสเตอร์ใส่ลงในนวม ชกจนศิษย์พี่ร้องโหยหวนเลย” หลี่ซูถงเอ่ยอย่างมีอารมณ์
ชิ่งเฉินตะลึงงัน “การแข่งมวยใต้ดินของตลาดมืดอนุญาตให้ผู้เหนือมนุษย์เข้าร่วมเหรอครับ อาจารย์ลุงตอนนั้นผ่านด่านเป็นตายครั้งที่สองแล้ว น่าจะอยู่แรงก์ E แล้วปะครับ ถึงกับยังสู้คนอื่นไม่ได้?”
ไม่รู้เพราะอะไร ประสบการณ์ที่บอสใหญ่ตอนเด็กเจอตอจนไปไม่เป็นประเภทนี้ทำให้เขารับฟังอย่างออกรสออกชาติได้เสมอเลย
ท่านอาจารย์เช่นนี้จึงมีกลิ่นอายของควันไฟ*
“ย่อมสามารถเข้าร่วมได้ ผู้เหนือมนุษย์ลงสนามเข้าร่วมการแข่งชกถึงยิ่งตื่นเต้น เงินรางวัลกับเดิมพันก็สูงกว่า ถึงขนาดที่ยังมีแรงก์ D เข้าร่วมด้วยเลย” หลี่ซูถงอธิบายต่อว่า “การแข่งชกมวยแบ่งเป็นระดับ เธอเป็นแรงก์ E ก็จะเจอกับแรงก์ E”
การแข่งชกมวยระดับสูงสุดคือระดับยานลาดตระเวนภาคพื้น ตรงกันกับผู้เหนือมนุษย์แรงก์ D
ระดับถัดมาคือระดับพยัคฆ์ ตรงกับผู้เหนือมนุษย์แรงก์ E
ถัดลงมาอีกเป็นระดับมิดเดิลเวท, ระดับไลท์เวท, ระดับเฟเธอร์เวท, ระดับแบนตั้มเวท
ระดับในที่นี้ไม่ได้ดูน้ำหนัก สิ่งที่ดูคือความแข็งแกร่งกับสถิติต่อสู้
เพียงแต่มีจุดหนึ่ง นักชกอิสระจำต้องเริ่มจากระดับแบนตั้มเวทไต่ขึ้นไป ไต่ถึงระดับไหนแล้วแพ้ถึงตัดสินว่าอยู่ระดับนั้น จำกัดอยู่แค่หนึ่งคืน
เงินรางวัลของทุกระดับล้วนต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน ระดับแบนตั้มเวทค่าลงสนามอาจจะมีเพียงไม่กี่ร้อยหยวน แล้วก็ไม่ได้มีส่วนแบ่งเงินเดิมพัน ถึงระดับมิดเดิลเวทค่าลงสนามหนึ่งนัดก็หลายหมื่น ยังมีส่วนแบ่งเงินเดิมพัน
แน่นอนว่าราคาของการพ่ายแพ้หนึ่งครั้งอาจจะเป็นความตาย
พูดถึงตรงนี้
หลี่ซูถงลุกขึ้นจากโซฟากล่าวว่า “ไปกันเถอะ เธอตามฉันไปที่หนึ่ง ฉันจะพาเธอไปดูชีวิตราตรีที่แท้จริงของเมืองหมายเลข 18”
ชิ่งเฉินตามอยู่ข้างหลังท่านอาจารย์ จู่ ๆ รู้สึกว่าท่านอาจารย์พาตนเองไปหน้าผาเขาชิงซานมารอบหนึ่งแล้ว ตอนนี้อยากจะพาตนเองไปสนามมวยตลาดมืดรับทราบชีวิตราตรี
อันที่จริง ทุกสิ่งนี้ล้วนเหมือนกับเส้นทางที่อีกฝ่ายเคยเดินตอนที่ตัวเองเยาว์วัยซ้ำหนึ่งรอบมากกว่า
……
……
ยางยางที่ซุ่มซ่อนอยู่ชั้นล่างมองตามหลี่ซูถง, ชิ่งเฉินจากไป
แล้วเธอจึงได้มุดเข้าไปในอาคารลั่วเสินอย่างไร้สุ้มไร้เสียงอีกที ตรงดิ่งไปที่ห้อง 132
ก๊อก ๆๆ ยางยางเคาะประตูห้องของเด็กสาวผมเงินเจิ้งอี้
ข้างในคือเจิ้งอี้ที่กำลังจะออกไปเรียนเสริม อีกฝ่ายเห็นยางยางก็อึ้งไป “ยางยาง เธอมาทำไมน่ะ”
ว่าแล้ว เธอยังเอียงศีรษะมองไปที่ประตูห้องที่อยู่ข้างหลังยางยาง ที่นั่นปิดสนิท
ยางยางยิ้มแล้วกล่าวว่า “พวกเรามาแชร์ห้องเช่ากันเถอะ!”
……………………………………………….
*กลิ่นอายของควันไฟ หมายถึงกลิ่นอายของคนธรรมดาทั่วไป แบบว่าคนทั่วไปต้องเข้าครัวหุงข้าว ก็จะมีกลิ่นควันไฟติดมา เทพเซียนไม่ต้องกิน ไม่มีกลิ่นควันไฟ