นิยามแห่งราตรี (Night’s Nomenclature ) - ตอนที่ 171 ราตรีฝนพรำ, โลหิต, มือสังหาร
- Home
- All Mangas
- นิยามแห่งราตรี (Night’s Nomenclature )
- ตอนที่ 171 ราตรีฝนพรำ, โลหิต, มือสังหาร
ตอนที่ 171 – ราตรีฝนพรำ, โลหิต, มือสังหาร
หลิวเต๋อจู้มองดูถุงเลือดสามใบในตู้เย็น ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือว่าควรจะร้องไห้
หลิวเต๋อจู้เคยทำความเข้าใจมาแล้วว่าคนทั่วไปไม่มีโรคไม่มีภัยคุณไม่สามารถซื้อเลือดได้เลย ไม่ว่าจะเป็นธนาคารเลือดของโรงพยาบาลหรือว่าสถานีเลือดในเมือง การเข้าออกคลังเข้มงวดเป็นพิเศษ
ดังนั้น นี่เป็นได้เพียงเลือดของพ่อแม่
บนโลกนี้มีพ่อแม่ที่ไม่รับผิดชอบ อย่างเช่นชิ่งกั๋วจง
แต่พ่อแม่ประเภทนี้มีน้อยมากจริง ๆ
ความรักที่พ่อแม่ส่วนใหญ่มีต่อบุตรธิดาล้วนดูแล้วซาบซึ้งตรึงใจอยู่บ้างในความเงียบงัน
พ่อแม่สามารถประหยัดค่ากินค่าอยู่ของตนเองเพื่อให้ลูกไปโรงเรียนอนุบาลที่ดีกว่า
เพื่อให้ลูกมีสภาพแวดล้อมในการศึกษาที่ดีขึ้น ตนเองสามารถกินผักดองกินโจ๊ก
แม้กระทั่งเพื่อรวบรวมเงินดาวน์ของเรือนหอให้ลูก ตนเองสามารถขายบ้านที่กำลังพำนัก ออกไปเช่าบ้าน
ความรักชนิดนี้ถึงจะมีอุปสรรคแล้วก็หนักอึ้งมาก ถึงขนาดอาจจะกดดันลูกจนหายใจไม่ออก
แต่นี่ก็คือวิธีการที่พ่อแม่สามารถคิดและสามารถกระทำ
อันที่จริงหลิวโหย่วไฉจนถึงตอนนี้ก็ไม่อาจเข้าใจว่านักท่องเวลาสรุปแล้วเป็นเรื่องอย่างไร
คำถามที่เขามักจะถามเพื่อนร่วมงานคือ ถ้านักท่องเวลาทะลุมิติสองฝั่ง ลูกตัวเองจะแก่เร็วกว่าตัวเองหรือไม่?
ลูกตัวเองอยู่ที่โลกภายในจะอันตรายเกินไปหรือไม่?
เขาไม่สนใจว่าหลิวเต๋อจู้กลายเป็นร้ายกาจมากหรือไม่เลย แต่เขาพยายามจะไปทำความเข้าใจทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหลิวเต๋อจู้
จากนั้นใช้วิธีการของเขาเองเข้าอกเข้าใจหลิวเต๋อจู้ สนับสนุนหลิวเต๋อจู้
ก็เหมือนกับเลือดสองถุงในตู้เย็นนี้
หลิวเต๋อจู้เห็นว่าหลังถุงเลือดถุงหนึ่งยังแปะกระดาษโน้ตสีเหลืองเอาไว้ด้วย: ลูกชาย ดื่มอย่างวางใจเลย ดื่มหมดพ่อแม่ไปจะซื้ออีก
หลิวเต๋อจู้แสบจมูก สิ่งของนี้ซื้อได้ก็ผีหลอกแล้ว พ่อแม่เขาล้วนเป็นชนชั้นแรงงาน จะไปรู้จักคนที่ดูแลธนาคารเลือดได้ที่ไหนล่ะ
แต่ซาบซึ้งก็ส่วนซาบซึ้ง หลังจากซาบซึ้งปัญหาก็มาแล้ว……
ถุงไหนเป็นของตนเอง?!
แถมเรื่องนี้เขาจะต้องบอกกล่าวกับพ่อแม่ให้ชัดเจนว่าตนเองไม่ใช่ผีดูดเลือดจริง ๆ แล้วก็ไม่ต้องการดื่มเลือด!
ตามการคาดการณ์ของเขา ดูจากจำนวนการสนทนาของบอสและผู้ครอบครองแสตมป์มารร้าย ขอเพียงจัดเก็บอย่างเหมาะสม 300CC นี้ของตนเองเพียงพอจะใช้ไปหนึ่งเดือนแล้ว
สิ่งที่เขาหวาดกลัวคือทุกวันล้วนจะต้องกรีดเปิดบาดแผล ทว่าไม่ใช่การเสียเลือด
เวลานี้ อุปกรณ์สื่อสารในกระเป๋าหลิวเต๋อจู้สั่นขึ้นมา เขากลับห้องไปก็เห็นว่าเป็นข้อความที่บอสส่งมา “พบเจอสถานการณ์อะไร คุณรู้ได้ไงว่ามีคนอยากฆ่าคุณ?”
หลิวเต๋อจู้ตอบว่า “วันนี้ผมไปซื้อเลือดที่สถานีบริจาคเลือด ระหว่างทางรู้สึกว่ามีคู่รักคู่หนึ่งกำลังมองผม ต่อมาผมเข้าไปในรถบริจาคเลือด เห็นจากในเงาสะท้อนบนกระจกว่าพวกเขาสอดมือไว้ในอกเสื้อเคลื่อนมาใกล้ช้า ๆ เหมือนกับมือสังหารที่เตรียมชักปืนในหนังเลยครับ ตอนนั้นผมค่อนข้างตระหนก ก็เลยไม่ได้ดูให้ชัดว่าพวกเขาหน้าตาเป็นยังไงก็รีบวิ่งหนีแล้ว”
ชิ่งเฉินขมวดคิ้ว ปล่อยเรื่องอื่นไม่พูดถึงไปก่อน ไปสถานีบริจาคเลือด……ซื้อเลือด?
นี่มันทำอะไร?!
แต่คำพูดต้องย้อนกลับมากล่าว หลิวเต๋อจู้ตอนนี้เทียบกับแต่ก่อนแล้วก้าวหน้าไปมากจริง ๆ
หลิวเต๋อจู้ถามว่า “บอสครับ ท่านรู้ว่าใครอยากฆ่าผมไหม”
ชิ่งเฉินคิดแล้วกล่าวว่า “ทางผมได้รับข่าวมาแล้ว เป็นครอบครัวของหวังอวิ๋นเตรียมจะหาคุณเพื่อล้างแค้น”
“งั้นผมควรทำยังไงครับ”
“อยู่บ้านให้สบายใจ” ชิ่งเฉินตอบ “มีคุนหลุนเฝ้าคุณ คุณอยู่ในบ้านอย่าไปวิ่งวุ่นวายจะปลอดภัยที่สุด”
……
……
นับถอยหลัง 126:00:00
6 โมงเย็น
เจียงเสวี่ยกำลังยุ่งอยู่ในครัวของบ้านชิ่งเฉิน เพราะว่าเป็นสุดสัปดาห์ ดังนั้นอาหารที่ทำอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ
ก๊อก ๆๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
หลี่ถงอวิ๋นอยากไปเปิดประตู แต่ถูกชิ่งเฉินหยุดเอาไว้ “ที่หลังไม่ต้องรีบเปิดประตู ตอนนี้ข้างนอกอันตรายมาก เธอก็ไม่รู้หรอกว่าคนที่ยืนอยู่นอกประตูจะเป็นใคร”
หลี่ถงอวิ๋นพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อืม รู้แล้วค่ะ!”
พูดจบ ชิ่งเฉินเปิดประตูแล้วค้นพบด้วยความประหลาดใจว่ายางยางยืนอยู่ข้างนอก
เด็กสาวยกมือขึ้นโชว์จดหมายหนึ่งฉบับ “อีกฉบับ”
ชิ่งเฉินตะลึง เขาอยากรู้อยู่บ้าง หรือว่าผู้ครอบครองแสตมป์มารร้ายคนนั้นอยากขุดมุมกำแพงของตนเองจริง ๆ?
เขาแอบนึกในใจว่า รอจนผู้ครอบครองคนนี้ค้นพบในภายหลังว่าอีกฝ่ายกำลังขุด “ชิ่งเฉิน” ต่อหน้าชิ่งเฉิน จะไม่ตายทางสังคมจริง ๆ เลยเหรอ
“เธออ่านเนื้อหาของจดหมายรึยัง” ชิ่งเฉินถามยางยาง
แต่ทว่าเด็กสาวคล้ายจะไม่ได้ฟังที่เขาพูด จดจ้องไปที่อาหารที่เจียงเสวี่ยเพิ่งจะยกมาวางบนโต๊ะ
ซี่โครงหมูตุ๋น ผัดหมูพริกหยวก เต้าหู้มาโป ปลากะพงนึ่ง ซุปไข่เปรี้ยวเผ็ด
ชิ่งเฉินมองเด็กสาวถามอีกว่า “เอ่อ อยากจะให้ฉันบอกกับอีกฝ่ายสักหน่อยให้เปลี่ยนที่อยู่ไหม”
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าผู้ครอบครองคนนั้นไม่ได้รับคำตอบจะไม่ส่งจดหมายมาอีก ดังนั้นก็เลยไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีก
แต่ตอนนี้ผู้ครอบครองคนนี้รบกวนคนอื่นแล้ว ทำให้ชิ่งเฉินก็รู้สึกละอายอยู่บ้าง
เพียงแต่ ยางยางยังคงเหมือนจะหูหนวก ไม่ได้มีปฏิกิริยาสักนิด
ชิ่งเฉินหยั่งเชิงว่า “หรือว่านั่งกินสักหน่อยไหม”
“ได้” ยางยางยกเท้าก้าวเข้ามาอย่างไม่ลังเลสักนิด เดินเฉียดไหล่ชิ่งเฉินไปเลย
ชิ่งเฉิน “……”
จ้องอาหารของบ้านเขาอยู่นิ!
แต่เธออยากกินข้าวก็พูดตรง ๆ สิ จะแกล้งหูหนวกทำเพื่อ!
ยางยางก็ไม่ได้ถือว่าตัวเองเป็นคนนอกสักนิด เธอนั่งลงข้างเสี่ยวถงอวิ๋นตรง ๆ หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วกินเลย
เสี่ยวถงอวิ๋นเงยหน้ามองเธอ กำลังเตรียมจะพูดอะไร แต่ค้นพบว่าอีกฝ่ายกินซี่โครงรัว ๆ ไปหลายชิ้นแล้ว เธอรีบหุบปากดันจาน ป้องกันไม่ให้ซี่โครงถูกยางยางกินเกลี้ยง
เจียงเสวี่ยถอดผ้ากันเปื้อนยิ้มเอ่ยว่า “อย่าห่วง ๆ ถ้าไม่พอฉันไปทำอีกได้”
“ขอบคุณค่ะ อร่อยมากค่ะ กินพอแล้ว” ยางยางกล่าวอาหารเต็มปาก
ชิ่งเฉินนั่งลงตรงหน้ายางยางเชิดคางถามว่า “จอหมายฉบับนี้ส่งมาเมื่อไหร่”
“สามชั่วโมงยี่สิบนาทีก่อน” ยางยางกล่าวเสียงอู้อี้
ชิ่งเฉินอึ้ง อีกฝ่ายบอกเวลาได้แม่นยำขนาดนี้ งั้นแสดงว่าจดหมายเพิ่งปรากฏอีกฝ่ายก็ค้นพบแล้ว
แต่ปัญหาคือ เด็กสาวทำไมไม่ให้จดหมายกับตัวเองตอนนั้นเลยล่ะ?
เดี๋ยวนะ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ว่าจงใจรอเวลากินข้าวจึงมาส่งจดหมายหรอกนะ?!
ชิ่งเฉินหยั่งเชิงถามอีกครั้งว่า “ไงฉันให้อีกฝ่ายเปลี่ยนที่อยู่ส่งจดหมายปะ?”
“ไม่ต้อง” ยางยางโบกมือที่ถือตะเกียบ “ส่งที่ฉันดีแล้ว วันหลังฉันรับจดหมายแล้วก็จะมาส่งให้นายเวลากินข้าว”
“พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้ไงเนี่ย” ชิ่งเฉินตกตะลึง
เด็กสาวหน้าตาดีอย่างยางยาง กินข้าวขึ้นมากลับอย่างกับพายุบุแคม เกือบจะทำให้เสี่ยวถงอวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ ร้องไห้แล้ว
หลังกินอาหารเสร็จ เธอเทซุปไข่เปรี้ยวเผ็ดครึ่งชามลงในชามข้าว คนผสมกับข้าวเป็นข้าวต้มแล้วกินจนเรียบ
ยังเรอด้วย
ยางยางกล่าวว่า “ก็ไม่ได้จะกินข้าวนายเปล่า ๆ นะ ข้อมูลหนึ่งอย่างแลกกับข้าวคุณหนึ่งมื้อ คุณไม่ขาดทุน”
“ข้อมูลอะไร” ชิ่งเฉินถาม
“เริ่มตั้งแต่วันนี้ตอนบ่าย กำลังคนของคุนหลุนล้วนเริ่มรวมตัวกันที่เมืองลั่วแล้ว พวกนี้ล้วนเป็นข้อมูลคมนาคมที่สืบได้ง่ายมาก ปิดคนนอกไม่อยู่” ยางยางกล่าว “ดังนั้น สกุลหวังจะต้องสามารถค้นพบความเคลื่อนไหวผิดปกติของคุนหลุนได้แน่นอน หลังจากวันนี้ ในระยะเวลาสั้น ๆ เมืองลั่วจะกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของคุนหลุน ถ้าพวกเขาอยากฆ่าหลิวเต๋อจู้ล้างแค้นให้ลูกสาวจริง ๆ เกรงว่าจะเป็นคืนนี้แล้ว”
เพราะหลังจากคืนนี้ สกุลหวังอาจจะหาโอกาสอื่นอีกได้ยากมาก
“สกุลหวังจ้างคนมาเท่าไหร่” ชิ่งเฉินถาม
“อันนี้ก็ไม่แน่ชัดแล้วล่ะ” ยางยางกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ฉันแค่รู้ว่าพวกเขาจ่ายเงินจำนวนมากเชิญผู้เหนือมนุษย์มา แถมราคาที่จ่ายไปเป็นสิ่งที่นายยากจะจินตนาการถึง”
“เดี๋ยวนะ เพื่อฆ่าหลิวเต๋อจู้คนหนึ่ง ถึงขนาดต่อสู้ใหญ่โตเท่านี้เลยเหรอ” ชิ่งเฉินสับสน
“อย่าประเมินความแค้นและโศกเศร้าของพ่อหลังจากสูญเสียลูกสาวต่ำไปนะ” ยางยางกล่าว “ในความเห็นพวกนาย หวังอวิ๋นมีความผิดก่อนดังนั้นตายไปก็ยังลบล้างความผิดไม่ได้ แต่ในสายตาของพ่อแม่ ลูกของตัวเองถูกตลอดกาล พวกเขารู้สึกว่าลูกสาวตอนที่ชีวิตถูกคุกคามจะทรยศคนอื่นก็น่าอภัย อย่างน้อยโทษไม่ถึงตาย”
หลังจากหวังอวิ๋นตายที่โลกภายใน ไม่ได้เป็นจุดสิ้นสุดของทุกอย่างเลย
เพราะว่าศพของเธอยังจะกลับมาที่โลกภายนอก
ลูกสาวตัวเป็น ๆ จู่ ๆ กลายเป็นซากศพที่อนาถจนดูไม่ได้ต่อหน้าพ่อแม่ นี่เป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ไม่อาจรับได้
“จำไว้นะ สกุลหวังบ้าไปแล้ว” ยางยางกล่าว “พวกเขาจะทำเรื่องอะไรออกมาในคืนนี้ฉันก็ไม่รู้สึกแปลกใจ”
“ผู้เหนือมนุษย์เป็นแรงก์อะไร” ชิ่งเฉินถาม
“อันนี้ก็ไม่แน่ชัด” ยางยางกล่าว “แต่ฉันคาดว่าไม่ใช่ผู้เหนือมนุษย์ที่แรงก์สูงมาก ผู้เหนือมนุษย์แรงก์สูงล้วนทะนุถนอมสถานะ การหาเงินสำหรับพวกเขาเป็นเรื่องที่ง่ายมากแล้ว ไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ”
ชิ่งเฉินขมวดคิ้ว ศัตรูแรงก์ไม่ชัดเจนเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นพิเศษ
อีกฝ่ายถ้าแรงก์ D หรือต่ำกว่าก็ยังว่ากันง่าย ถ้าคนที่มาเป็นแรงก์ C เกรงว่าหลิวเต๋อจู้จะตายแน่แล้ว
ต้องทราบว่าเขาอยู่ในสถานที่ต้องห้ามยืมใช้กฎมากมายขนาดนั้น เฉาเวยแรงก์ C รับบาดเจ็บสาหัสถูกล่ออยู่ยี่สิบกว่าชั่วโมงยังมีพลังจะโต้กลับจากจุดอันตราย ชิ่งไฮวละเมิดกฎของสถานที่ต้องห้ามยังแทบจะหนีรอดออกไป
เมื่อถึงแรงก์ C ผู้เหนือมนุษย์จะมีวิสัยเหนือมนุษย์พ้นโลกีย์อย่างแท้จริง
ยางยางลุกขึ้นกล่าวว่า “กินอิ่มแล้ว ควรจะไปทำธุระแล้ว ฉันเชื่อว่าคืนนี้จะคึกคักเป็นพิเศษ จำไว้ว่าไปด้วยล่ะ ฉันจะไปแถว ๆ บ้านหลิวเต๋อจู้ดูสถานการณ์สักหน่อยก่อน เตรียมชมโชว์ฉากนี้ได้ทุกเมื่อ”
พูดจบ เธอเดินตรงออกไป
ตอนที่เปิดประตูจู่ ๆ ก็หันหลังเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้แล้วกล่าวกับเจียงเสวี่ยว่า “ขอบคุณค่ะ ทักษะทำอาหารร้ายกาจมากเลย!”
รอจนยางยางจากไป ชิ่งเฉินจู่ ๆ เปิดประตูไล่ตามออกไปเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้
แต่ทว่า เขาได้เห็นฉากที่ทำให้คนตื่นตกใจ
ในราตรีมืด เด็กสาวยืนอยู่นอกอาคารเงยหน้ามองท้องนภา ทันใดนั้นฝุ่นผงรอบด้านถูกพลังอันไร้สภาพก่อกวนขึ้นมา กระจัดกระจายไปรอบด้าน
พริบตาต่อมา เด็กสาวพุ่งขึ้นกลางอากาศ ประดุจลูกศรที่หลุดจากแล่ง บินเข้าไปในยามวิกาลอันเข้มข้น
ชิ่งเฉินยืนเงียบ ๆ ในใจมีเพียงความคิดหนึ่ง: เด็กสาวคนนี้ถึงกับบินได้?!
เขานั่งยอง ๆ ตรงตำแหน่งที่ยางยางออกบิน จับจ้องฝุ่นผงบนพื้น สำรวจดิน สสารอนุภาคโลหะในฝุ่นผงบนพื้นมีลักษณะแผ่รัศมีออกไปข้างนอกแล้ว
นั่นเป็นลักษณะของสนามแม่เหล็ก
จู่ ๆ เขาอิจฉาขึ้นมานิดหน่อย ใครจะไม่หวังว่าตนเองสามารถบินได้ล่ะ มีสกิลอันนี้ยังไม่ใช่ว่าอยากไปไหนก็ไปนั่นเหรอ?
จะว่าไป ชิ่งเฉินยังไม่ทันได้ถามครูมาตลอดเลยว่าหลังจากตนเองกลายเป็นอัศวินยังจะมีโอกาสกลายเป็นผู้อเวคหรือไม่?
เดี๋ยวนะ ชิ่งเฉินจู่ ๆ มองไปทางท้องฟ้าราตรี ทิศทางที่ยางยางบินเมื่อกี้คือภูเขาทิศเหนือที่รกร้างปะ บ้านหลิวเต๋อจู้อยู่ทิศใต้นะ!
เขากลับเข้าไปในบ้านอย่างไร้คำพูด อ่านจดหมายที่ผู้ถือครองแสตมป์มารร้ายส่งมา: คิดดีแล้วรึยัง คุณต้องการอะไร? ฮี่ฮี่
ชิ่งเฉินอยากจะตอบจดหมายกวนโมโหอีกฝ่ายอย่างหมดความอดทน
แต่ทว่าตอนที่เขาเตรียมจะหยิบมีดมาหยดเลือด จู่ ๆ ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไร้เสียง
ไม่ถูกต้อง ๆ……
“ชิ่งเฉิน” ถ้าไม่ใช่ผู้บงการหลังฉาก แล้วถ้าไม่รู้จักหลิวเต๋อจู้ งั้น “ชิ่งเฉิน” ก็ไม่ควรจะรู้ว่าวิธีตอบจดหมายคือการใช้เลือดเผา
วิธีตอบจดหมายมีเพียงหลิวเต๋อจู้กับคนหลังฉากที่รู้ คนหลังฉากก็จะไม่ได้อยู่ว่างจนไปเผยแพร่ความรู้ประเภทนี้ให้ “ชิ่งเฉิน”
ดังนั้น ผู้ถือครองคนนั้นไล่ถามว่า “ชิ่งเฉิน” ต้องการอะไรมาโดยตลอด แต่ไม่เคยแจ้ง “ชิ่งเฉิน” ว่าจะตอบจดหมายอย่างไร
ถ้าชิ่งเฉินตอบจดหมาย งั้นก็จะเปิดโปงตัวเอง
คิดถึงตรงนี้เขาก็ฉีกจดหมายทิ้งไปเลย
“น้าเจียงเสวี่ย หลังกลับบ้านห้ามออกมานะครับ”
พูดจบ ชิ่งเฉินเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าไปในค่ำคืนด้านนอกอย่างไร้เสียง
ความคึกคักของคืนนี้ เขาไม่สามารถขาดหาย
ในอากาศมีกลิ่นอับชื้นจาง ๆ เมฆหมอกสีดำกลางเวหาลมหนึ่งหอบพัดไปทิศใต้
ในภูมิอากาศอันเย็นยะเยือกของเดือนพฤศจิกายน ลมพัดแล้ว
……
……
“พ่อแม่ ผมควรจะอธิบายกับพ่อแม่ยังไง ผมไม่ใช่ผีดูดเลือดจริง ๆ แถมผมก็กินกระเทียมได้ด้วย” หลิวเต๋อจู้กล่าวอย่างจริงจัง “ผีดูดเลือดกินกระเทียมได้รึเปล่าผมไม่รู้ แต่ผมกินได้”
หนึ่งครอบครัวสามคนนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว กับข้าวบนโต๊ะดูแล้วพิลึกอย่างยิ่ง เลือดเป็ดผัดกุ่ยช่าย แกงวุ้นเส้นเลือดเป็ด เต้าหู้เลือด ต้มเลือดเป็ดและผ้าขี้ริ้วรสเผ็ดชา
อาหารสี่ประเภทล้วนมีคุณสมบัติร่วมกัน เน้นที่คำว่า “เลือด”
หลิวเต๋อจู้กล่าวอย่างอดทนว่า “ผมรู้แน่นอนว่าพ่อแม่ทำเพื่อผม แต่ว่าผมหาเลือดเพื่อเขียนจดหมาย ไม่ได้เพื่อจะดื่ม…… ไม่ได้อธิบายให้มันดี ๆ สรุปแล้วเชื่อผมก็พอ”
หลิวโหย่วไฉและหวังชูเฟินสบตากัน พากันถอนหายใจโล่งอก
หวังชูเฟินยิ้มแล้วคีบเลือดเป็ดผัดกุ่ยช่ายหนึ่งคำให้ลูกชายกล่าวว่า “ตอนกลางวันขู่ขวัญแม่กับพ่อลูกแทบตาย ไม่ใช่ก็ดี ๆ”
หลิวเต๋อจู้นึกย้อนไปถึงความอ่อนโยนที่บิดามารดาแสดงออกมา เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “พ่อ แม่ วางใจเถอะครับ วันเวลาของบ้านเราจะดีขึ้นเร็ว ๆ นี้แล้ว”
“หมายความว่าอะไร” หลิวโหย่วไฉเอ่ยอย่างฉงน
“พ่อแม่ไม่ได้ยินเหรอ คนเยอะแยะเอาสินค้าโลกภายในกลับมา ล้วนขายได้เงินเยอะมากเลย” หลิวเต๋อจู้กล่าว “ผมตอนนี้ตั้งหลักมั่นคงแล้ว แน่นอนว่าสามารถเอาสิ่งของนิดหน่อยกลับมาได้เหมือนกัน ให้พ่อแม่ปรับปรุงคุณภาพชีวิต”
“ไม่เป็นไร ยังไม่ต้องห่วงพ่อกับแม่ลูก ตัวลูกเองกินดื่มให้ดี ๆ ก็พอแล้ว อย่าไปฝืนเกินตัว” หลิวโหย่วไฉจิบเหล้า
“ไม่ฝืนครับ” หลิวเต๋อจู้กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ฝั่งนั้นผมรู้จักคนใหญ่คนโตนะ”
“จริงสิจู้จึ ลูกอยู่ฝั่งนั้นมีอันตรายอะไรรึเปล่า” หวังชูเฟินถาม
“ฝั่งนั้นไม่มีอันตรายอะไรชั่วคราวครับ” หลิวเต๋อจู้ตอบ “อันที่จริง บางครั้งอยู่โลกภายนอกยังอันตรายกว่าอยู่โลกภายในอีก”
เวลานี้ หลิวโหย่วไฉจู่ ๆ สงสัยว่า “พ่อไม่ค่อยจะเข้าใจเลย นักท่องเวลาพวกนั้นสรุปแล้วเอาสิ่งของกลับมาได้ยังไงกันนะ”
หลิวเต๋อจู้อธิบายว่า “ตอนที่ทะลุมิติมีกลไกอย่างหนึ่ง อย่างเช่นหนึ่งวินาทีก่อนทะลุมิติผมเอายาหนึ่งขวดอมเข้าไปในปาก ตอนที่กลับมาก็สามารถถูกผมเอากลับมา ถึงเวลาคายออกมาก็สามารถขายเป็นเงินแล้ว”
“อ้อ” หลิวโหย่วไฉพยักหน้า “ที่แท้เป็น ‘ธุรกิจนำเข้าส่งออก’”
หลิวเต๋อจู้ตกตะลึง ธุรกิจนำเข้าส่งออกไรวะนั่น!
แต่อย่าพูดเลย วลีนี้ก็ค่อนข้างเหมาะสมจริง ๆ!
หลิวโหย่วไฉไม่ได้คุยเล่นกับลูกชายดี ๆ มานานมากแล้ว เขาคิดแล้วกล่าวว่า “ในบ้านไม่มีเหล้าแล้ว รอเดี๋ยวพ่อออกไปซื้อเบียร์สักโหล เราสองพ่อลูกมาดื่มให้หนำใจสักครั้ง”
หวังชูเฟินบ่นว่า “เขายังเป็นนักเรียนนะ”
“นักเรียนแล้วไง” หลิวโหย่วไฉกล่าว “ลูกชายตั้ง 17 ปีแล้ว ผม 17 ปีเป็นทหารแล้วนะ”
ผลคือเวลานี้หลิวเต๋อจู้จู่ ๆ กล่าวว่า “พ่อ คืนนี้อย่าออกไปเลย”
หลิวโหย่วไฉอยากรู้ “ทำไมล่ะ”
“คืนนี้ข้างนอกอันตรายมาก ยังไงอย่าออกไปก็ถูกต้องแล้ว” หลิวเต๋อจู้อธิบาย “ขอแค่อยู่ในบ้าน พวกเราก็จะปลอดภัย”
หลิวโหย่วไฉกับหวังชูเฟินมองหน้ากันอย่างตกใจ
พวกเขาตระหนักแล้วว่า คืนนี้เกรงว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
ตอนที่กำลังพูดคุย
โดรนขนาดเล็กตัวหนึ่งกำลังบินช้า ๆ ข้ามกำแพงของชุมชมซิงหลงในยามค่ำคืน
ข้างใต้มันแบกหีบห่อสีดำหนึ่งชิ้น ดังนั้นบินช้าหน่อย
แต่คนที่บังคับโดรนตัวนี้เชี่ยวชาญอย่างยิ่ง กลับเห็นมันคล่องแคล่วว่องไว้ราวกับนกพิราบสื่อสารตัวหนึ่ง ทะลุผ่านตึกรามซับซ้อนและมุมมืดยามวิกาล
ตอนที่มันมาถึงหน้าอาคารหลังหนึ่ง จู่ ๆ ก็เริ่มฝืนเร่งความเร็ว
มีเสียงแควก
โดรนหาห้องที่มีแค่มุ้งลวดเจอห้องหนึ่งอย่างแม่นยำ เจาะมุ้งลวดด้วยใบพัดที่แหลมคม โดรนทั้งลำชนเข้าไปในห้อง
โดรนตกลงสู่พื้น ในถุงสีดำที่มันแบกเอาไว้มีจาระบีสีดำไหลออกมา ค่อย ๆ นองใส่โดรนที่เสียหาย
มีเสียงฉึกอีกครั้ง โดรนปล่อยควันสีขาวและประกายไฟ จุดความร้อนอันมหาศาล
พริบตาที่จาระบีสีดำสัมผัสกับโดรนก็เผาไหม้เป็นแสงไฟอันบาดนัยน์ตา
ไฟเริ่มลุกลาม
หลิวโหย่วไฉที่นั่งอยู่ในบ้านเพิ่งจะขุดเหมาไถที่ถนอมเอาไว้หลายปีออกมาหนึ่งขวด “ออกไปดื่มเหล้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร วันนี้สมควรฉลอง พวกเราเอาเหมาไถขวดนี้มาดื่มกัน!”
เพียงแต่ หลิวโหย่วไฉพูดจบก็เห็นสีหน้าของภรรยาตนเองเคร่งเครียดขึ้นมา
เขาคิดแล้วกล่าวว่า “เอ่อ นี่เป็นของที่คนอื่นให้มา ไม่ใช่ของที่ผมซ่อนตังค์ไปซื้อนะ”
“ไม่ใช่” หวังชูเฟินเงยหน้าขึ้นมา “คุณได้กลิ่นเหม็นไหม้รึเปล่า”
……
……
“คืนนี้สถานีอุตุนิยมวิทยาออกคำเตือนรหัสสีแดงเรื่องพายุฝนฟ้าคะนอง ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่านี่คือพายุฝนในฤดูใบไม้ร่วงที่สิบปียากจะพบเจอสักครั้ง พยากรณ์ว่าในสามชั่วโมงปริมาณน้ำฝนอาจจะไปถึง 50 มิลลิเมตร ท่านผู้ฟังโปรดทำมาตรการการป้องกันฝนและหลีกเลี่ยงฝน”
ในรถแท็กซี่มีเสียงวิทยุดังขึ้น เสี่ยวอิงเอื้อมมือไปเปลี่ยนคลื่น หลังจากเสียงซู่ซ่า ๆ ก็มีเสียงละครวิทยุดังขึ้นมา “ต้าจินหยาถามว่า นายท่านหู ประโยคสุดท้ายที่คุณเพิ่งจะพูดหมายความว่าอะไร จะบอกว่าสร้างวัดอวี๋กู่ในหุบเขาไม่ดีเหรอ……”
ในช่องแคบ ๆ ของหน้าต่างที่เปิดขึ้น มีความชื้นลอยเข้ามาจากนอกหน้าต่าง
เสี่ยวอิงนั่งอยู่ในรถฟังละครอย่างออกรสออกชาติ บางครั้งบางคราวยังมองวนไปรอบด้าน
เวลานี้ หูฟังในหูซ้ายของเขามีเสียงดังขึ้นมาว่า “เสี่ยวอิง ข้างนอกมีเรื่องอะไรรึเปล่า”
“ไม่มี ป้าที่เต้นรำอยู่ในลานยังไม่เก็บบูทเลย” เสี่ยวอิงตอบ “แต่ผมว่านะ พวกป้า ๆ สมัยนี้อินเทรนด์จริง ๆ เพลงที่ฟังฉันไม่เคยได้ยินเลย”
แต่ทว่าเวลานี้ในช่องสื่อสารมีเสียงของลู่หยวนดังขึ้นมา อีกฝ่ายกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ปลุกสติขึ้นมา ผ่านไปอีกสองชั่วโมงสหายศึกกลุ่มปฏิบัติการพิเศษที่ดำเนินภารกิจอยู่ภายนอกจะมาถึงเมืองลั่วแล้ว ถึงเวลาจะมีคนเปลี่ยนเวรกับพวกคุณ ยืนหยัดเวรรอบสุดท้ายของคืนนี้ให้ดี ๆ”
“รับทราบ”
“รับทราบ”
“รับทราบ”
“รับ……หัวหน้าทีมลู่ ผมเห็นห้องชั้นบนของบ้านหลิวเต๋อจู้มีแสงไฟ ใหญ่มาก แถมมีควันหนาทึบลอยออกมาจากหน้าต่างด้วยครับ” หูลู่กล่าว
ลู่หยวนกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “ผมก็เห็นแล้ว นี่ไม่ใช่เหตุไฟไหม้ตามปกติ ไฟลุกไหม้เร็วเกินไป ลามเกินไป”
เสี่ยวอิงกล่าวว่า “ผมเพิ่งได้ยินพยากรณ์อากาศแจ้งว่าคืนนี้มีพายุฝน”
“นี่คือมีคนอยากบังคับให้หลิวเต๋อจู้ออกมา พวกเขารู้ว่าคุนหลุนครอบครองชัยภูมิที่นี่แล้ว ดังนั้นอยากจะเปลี่ยนสนามรบ” ลู่หยวนวิเคราะห์ต่อว่า “พายุฝนกำลังจะมาแล้ว ไฟจะไม่ลุกลามอย่างรุนแรงเป็นพิเศษ แต่ควันหนาทึบในบ้านใครก็ทนไม่ได้ ในอาคารที่พักจะชุลมุนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว”
พวกมือสังหารที่สกุลหวังจ้างมาไม่อยากถ่วงเวลาไปอีก
อีกฝ่ายเดิมมีการเตรียมการมาดีมาก อยากจะลงมือใช้ไฟมาสร้างความปั่นป่วนตอนหลังเที่ยงคืน
แต่พายุฝนที่มาอย่างกะทันหันป่วนแผนการของทุกคน พวกเขาจำเป็นต้องลงมือก่อนพายุฝนจะมา ไม่อย่างนั้นจะไม่มีโอกาสแล้ว
“เสี่ยวอิงไม่ต้องเฝ้าที่ประตูแล้ว คุณคนเดียวอยู่นั่นอันตรายมาก รีบลงรถแล้วมารวมพลกับพวกเราพร้อมปิงถัง เตรียมเปิดศึก” ลู่หยวนสั่งการ
แต่ทว่า ณ ตอนนั้นเอง เสี่ยวอิงจู่ ๆ มองทะลุหน้าต่างรถเห็นว่าในราตรีมืดมิดข้างนอกมีร่างคนสีดำร่างหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล จับจ้องตนเองเขม็ง
อีกฝ่ายสวมเสื้อกันฝนสีดำ ใบหน้าก็ถูกบังไว้ใต้หมวกคลุมของเสื้อกันฝนทั้งหมด
ลมปราณของทั้งสองฝ่ายคล้ายจะล็อกเข้าด้วยกัน แต่ละฝ่ายล้วนรอคอยเงียบ ๆ แต่ใครก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังรออะไร
ในช่องสื่อสารมีเสียงปิงถังดังขึ้นมาว่า “เสี่ยวอิง คุณอยู่ไหน รีบมารวมพล”
แต่เสี่ยวอิงในรถไม่ได้พูดสักคำ หยดเหงื่อก็ไหลลงจากขมับช้า ๆ
แสงไฟที่ชั้นบนอันห่างไกลยิ่งมายิ่งใหญ่โต ควันหนาพวยพุ่งออกมาจากหน้าต่างสิบกว่าบาน
ทันใดนั้น
ในเมฆดำเหนือท้องนภา ไอน้ำสัมผัสอากาศเย็นแล้วควบแน่นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายรวมตัวกันเป็นหยดน้ำ สาดซัดลงมา
หยดน้ำนั้นทะลุผ่านชั้นเมฆ ทะลุผ่านอากาศอันยาวไกล
ในที่สุดส่งเสียงแปะ
ชนลงไปบนฝากระโปรงรถแท็กซี่
กลิ่นดินชื้นในอากาศแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ฝนเม็ดนั้นราวกับจะทะลวงผ่านท้องนภา ม่านฝนที่ดังโครมครามตกลงมาเหนือศีรษะ ท้องฟ้ายิ่งมืดลง
ในที่ห่างไกล เหล่าคุณป้าที่เต้นรำอยู่ในลานรีบเร่งเก็บเครื่องเสียง ทุก ๆ คนหนีกระเจิดกระเจิง
เสี่ยวอิงเห็นมือสังหารคนนั้นสวมเสื้อกันฝนสีดำเดินมาหาตนเองช้า ๆ แต่แล้วก็หยุดลง
คุณป้าหลายสิบคนใช้มือบังเหนือศีรษะพุ่งผ่าน เหมือนกับว่าอยากจะฝ่าสายฝนพุ่งเข้าไปในชุมชมซิงหลง
พวกเธอพุ่งผ่านระหว่างมือสังหารกับรถแท็กซี่ ราวกับเป็นม่านที่ขึงขึ้นมาระหว่างทั้งสองคนในช่วงสั้น ๆ
เสียงคลิกดังขึ้น เสี่ยวอิงลงจากรถอย่างรวดเร็ว เขาอยากป้องกันไม่ให้มือสังหารคนนั้นจับชาวบ้านเป็นตัวประกัน!
แต่พริบตาที่เขาเปิดประตูรถก็นิ่งงันไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เห็นเพียงว่าหลังจากคุณป้ากลุ่มนั้นวิ่งผ่านไป มือสังหารในม่านฝนยังคงยืนอยู่กับที่
แนวสายตาระหว่างกันไร้สิ่งกีดขวางอีก แต่มือสังหารนั่นยืนอยู่กับที่อย่างเหม่อลอย เหนือศีรษะยังปักไพ่ไว้หนึ่งใบ เลือดกำลังไหลออกมาจากรอยแตกในกระโหลกที่ไพ่ใบนั้นสร้างขึ้นมา
สายเลือดที่ราวกับสายฟ้าไหลจากหน้าผากอีกฝ่ายลงไปที่คาง
มือสังหารเบิดตากว้าง ราวกับรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง
ทว่าเสี่ยวอิงค้นพบว่า เสื้อกันฝนบนตัวอีกฝ่ายไม่รู้ถูกคนดึงออกไปตอนไหน มือสังหารที่เดิมสวมเสื้อกันฝน ขณะนี้เผยให้เห็นเสื้อแจ็กเก็ตสีดำใต้เสื้อกันฝน
มือสังหารที่ตายไปคนนั้นหงายหลังล้มลงไป ล้มลงในแอ่งน้ำหลังพายุฝนกระหน่ำอย่างหนักหน่วง
เสี่ยวอิงมองไปที่แผ่นหลังของพวกป้า ๆ อย่างเกิดปฏิภาณวูบขึ้น เห็นพอดีว่าในฝูงชนมีคนที่กำลังสวมเสื้อกันฝนสีดำลงบนตัวอย่างว่องไว มุดเข้าไปในชุมชนในชั่วพริบตา
ชุมชนซิงหลงใหญ่มาก เป็นหนึ่งในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และที่อยู่อาศัยที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองลั่ว รวมทั้งสิ้นมีอาคารที่พักอาศัยหกสิบกว่าหลัง
ในยามปกติยังไม่รู้สึกว่าภูมิประเทศของมันซับซ้อนสักแค่ไหน ตอนนี้เสี่ยวอิงกลับรู้สึกว่าที่นี่ราวกับเป็นเขาวงกต ชั่วพริบตาก็กลืนคนเข้าไปแล้ว
เสี่ยวอิงปิดประตูรถแท็กซี่ วิ่งไปที่ข้างกายมือสังหารพลาง กล่าวลงในช่องสื่อสารพลางว่า “หัวหน้าทีมลู่ครับ มีบุคคลไม่ทราบนามเข้ามาในที่เกิดเหตุ ผมเพิ่งจะถูกมือสังหารคนหนึ่งจับจ้องที่ปากประตูชุมชม ผลคือคนคนนี้จู่ ๆ ปะปนอยู่ในหมู่ป้า ๆ ที่เต้นอยู่ในลาน ไม่เพียงจัดการมือสังหารคนนั้น ยังยึดเสื้อกันฝนของมือสังหารไปด้วย”
“คนเขาอยู่ไหน” ลู่หยวนถามอย่างเคร่งขรึม
“เขาเข้าไปในชุมชนแล้ว ผมรู้สึกว่าอาจจะเป็นกองกำลังที่เป็นมิตร” เสี่ยวอิงกล่าว
เขาคุกเข่าลงตรวจเช็คอาการบาดเจ็บของมือสังหาร ผลคือเขาค้นพบด้วยความตื่นตะลึงว่าสิ่งที่เจาะอยู่บนหน้าผากของอีกฝ่ายเป็นเพียงไพ่ธรรมดาใบหนึ่ง
ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดายังไงแล้ว
เมื่อครู่นี้เสี่ยวอิงอยู่ไกลเห็นไม่ชัด ยังนึกว่าเป็นอาวุธพิเศษอะไรหรือไม่ แต่ขณะนี้ม่านฝนกระหน่ำลงมา ไพ่ใบนั้นหลังจากเปียกน้ำฝนก็อ่อนตัวลงติดไปบนหน้าผากของมือสังหาร
เสี่ยวอิงมองไปทางส่วนลึกของชุมชนซิงหลงอย่างตะลึงงัน อีกฝ่ายทำได้อย่างไร ถึงกับสามารถใช้ไพ่หนึ่งใบเจาะเข้าไปในกระโหลกอันแข็งแกร่งที่สุดของมนุษย์?
เขาพลิกไพ่ที่เปียกโชกใบนั้น บนหน้าไพ่ joker ที่ถูกน้ำฝนเปื้อนบนกลายเป็นสีเทากำลังหัวเราะอย่างไร้เสียง
ริมฝีปากสีแดง ราวกับจะฉีกยิ้มไปถึงใบหู
“หัวหน้าทีมลู่ครับ คนที่เข้าที่เกิดเหตุคนนี้เป็นผู้เหนือมนุษย์” เสี่ยวอิงกล่าว “แรงก์ไม่ทราบ”
ลู่หยวนกล่าวว่า “ที่ม้ามของศพผู้ตายมีบาดแผลไหม”
เสี่ยวอิงพลิกเปิดแจ็กเก็ตสีดำของมือสังหาร “หัวหน้าทีมลู่ ไม่มีบาดแผลครับ”
ลู่หยวนสับสนอยู่บ้าง นี่กับสิ่งที่พวกเขาคาดการณ์ไม่เหมือนกันเลย
……
……
อาคารที่พักที่ไฟลุกไหม้ไม่ได้หยุดอยู่ที่หนึ่งหลัง
เวลาสั้น ๆ ไม่กี่นาที อาคารที่พักสามหลังล้วนติดไฟขึ้นมา แม้แต่พายุฝนยังไม่อาจชะล้างควันหนาทึบ
ม่านฝนอันน่าเกรงขามนอกอาคารปิดกั้นเสียงวุ่นวาย แต่ครอบครัวหลิวเต๋อจู้ในอาคารกลับสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบในทางเดิน
ทุกคนล้วนกำลังพุ่งลงชั้นล่าง
“พ่อแม่รีบไป” หลิวเต๋อจู้เพิกเฉยต่อคำเตือนของชิ่งเฉิน ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากฟัง ทว่ามีคนบังคับให้เขาจำเป็นต้องออกไป
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหลังออกไปจะเผชิญกับอันตรายอะไร แต่ดีกว่าถูกเผาตายอยู่ในอาคารเสมอนั่นล่ะ
“ข้างนอกฝนหนักเกินไป รอฉันหยิบร่ม!” หวังชูเฟินกล่าว
“เวลาไหนแล้วยังจะหยิบร่ม” หลิวโหย่วไฉลากภรรยาแล้วพุ่งออกไปข้างนอก พอเปิดประตูทุกคนจึงเห็นว่าบนเพดานของทางเดินมีควันดำคละคลุ้ง ฝุ่นควันและสิ่งสกปรกในอากาสหลังถูกเผาไหม้ทำให้ทุกคนหายใจไม่ออกและไอ
หลิวเต๋อจู้พุ่งเข้าไปในบ้านแล้วพุ่งออกไปอีกครั้ง “ผ้าขนหนู! รีบปิดปากปิดจมูก!”
เวลานี้ ชายกลางคนที่พุ่งลงบันไดอย่างแตกตื่นไม่ดูตาม้าตาเรือคนหนึ่งตอนที่ผ่านบ้านหลิวเต๋อจู้ไม่ได้ระวังใช้ไหล่กระแทกร่างกายของหวังชูเฟิน
จนถึงขนาดที่ว่าทั้งสองคนล้วนกลิ้งตกบันได
“แม่!” หลิวเต๋อจู้กระวนกระวาย
เขาพุ่งลงบันไดไปพยุงตัวหวังชูเฟินขึ้นมา กลับเห็นว่าข้อเท้าของมารดาตนเองบิดจนผิดรูป เห็นได้ชัดว่าหักแล้ว
“จู้จึลูกอย่าห่วงแม่ ลูกหนีลงไปก่อน ให้พ่อลูกมาพยุงแม่” หวังชูเฟินกล่าวอย่างกระวนกระวาย
“พ่อผมพยุงแม่ไม่ไหว” หลิวเต๋อจู้พูดแล้วแบกมารดาขึ้นหลัง จากนั้นตะโกนดังลั่นใส่หลิวโหย่วไฉว่า “พ่อยังบื้ออะไรอยู่ รีบวิ่งสิ!”
เวลานี้หลิวเต๋อจู้ดีใจจริง ๆ ที่ตนเองฉีดยาแปลงพันธุกรรม ถ้าไม่ใช่ว่ายาแปลงพันธุกรรมเพิ่มความแข็งแกร่งให้สมรรถภาพทางกายของเขา เขาไม่แน่ว่าจะสามารถแบกมารดาไว้บนหลังจริง ๆ
หนึ่งครอบครัวสามคนวิ่งลงชั้นล่าง ชายกลางคนที่กระแทกหวังชูเฟินคนนั้นตะเกียกตะกายจะลุกขึ้น หลิวเต๋อจู้เดิมอยากจะเตะเขาสักเท้า ท้ายที่สุดยังอดกลั้นเอาไว้
หวังชูเฟินนอนอยู่บนหลังลูกชาย หลังหักแล้วบาดแผลตอนแรกชา จากนั้นจึงเป็นความเจ็บปวดรวดร้าวตามมา
แต่เธอไม่ได้ปริปากสักแอะ ด้วยกลัวว่าจะแบ่งแยกสมาธิของลูกชาย
หลิวเต๋อจู้ที่แบกมารดาไว้วิ่งลงบันไดพลางท่องพึมพำพลางว่า “แม่อย่ากลัวนะ พวกเรานี่ไฟอยู่ชั้นบน วิ่งลงจะไม่มีเรื่องหรอก ตอนนี้ผมไม่ใช่คนธรรมดา แบกแม่ไว้ไม่เหนื่อยสักนิด”
ตอนที่หนึ่งครอบครัวสามคนพุ่งออกจากทางเดิน ที่นี่มีผู้พักอาศัยหลายร้อยคนรวมตัวกันแล้ว
เพลิงไหม้คราวนี้มาอย่างกะทันหันเกินไป ถึงขนาดที่ว่าคนส่วนใหญ่ล้วนไม่ทันได้หยิบร่ม สายฝนอันหนาหนักเทลงบนร่างของทุกคน ทุกคนเงยหน้ามองควันดำเหนืออาคาร สีหน้าช่วยอะไรไม่ได้และว่างเปล่า
คนที่พกโทรศัพท์มือถือรีบกด 119 คนที่ไม่ทันได้พกโทรศัพท์มือถือได้แต่รออยู่ในสายฝน
ณ ขณะนี้ หลิวเต๋อจู้แบกมารดาแล้วสำรวจมองไปโดยรอบ
หลิวเต๋อจู้ในปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้ไม่รู้ความขนาดนั้นอีกแล้ว เขาทราบชัดมากว่ามีคนจุดไฟขับไล่เขาออกมา เป็นคนที่อยากฆ่าเขาในความชุลมุน
แต่ว่า มือสังหารล่ะ?
เนื่องจากชุมชนซิงหลงใหญ่โตเกินไป ดังนั้นมีสี่ประตูหลัก สองประตูเล็ก
ท่ามกลางฝนห่าใหญ่นี้ ทีมที่สวมเสื้อกันฝนสีดำหกทีมกำลังเข้าไปในชุมชนจากหกทิศทางอย่างไร้สุ้มเสียง
พวกเขาทุกทีมล้วนมีหกคน กำลังใช้ขบวนทัพยุทธวิธีแทรกซึมแบบมาตรฐานเดินไปในชุมชนช้า ๆ
สามคนทะลวงเข้า สองคนขนาบข้าง หนึ่งคนรั้งท้าย
ภายใต้เสื้อกันฝนสีดำ ใบหน้าของคนทั้งหมดล้วนถูกบังไว้ใต้ขอบหมวกคลุม ฝ่ามือที่ซุกอยู่ในเสื้อกันฝนของเหล่ามือสังหารบ้างก็กำด้ามปืน บ้างก็กำด้ามมีด
น้ำฝนตกลงบนเสื้อกันฝนคอลลอยด์ของพวกเขาแล้วกระเซ็นเป็นหยดน้ำ ส่งเสียงดังเปาะแปะ
เหล่ามือสังหารเหยียบย่ำแอ่งน้ำ แต่ไม่ได้ถูกสภาพแวดล้อมภายนอกที่หนวกหูนี้รบกวนสักนิดเดียว
ในทีมย่อยที่อยู่ทิศตะวันตกที่สุด คนที่นำทีมอยู่ข้างหน้าสุดจู่ ๆ รู้สึกว่าไม่ถูกต้องอยู่บ้าง เขาหันหน้ากลับไปสำรวจ แต่ไม่ค้นพบสิ่งผิดปกติเลย
แต่ว่าคนที่นำทีมตระหนักได้ว่าตรงไหนที่ไม่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็ว
เขายืนยันจำนวนคนข้างหลังในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า 1, 2, 3, 4, 5, 6
ไม่ผิด เป็นหกคน
บวกกับเขาก็คือเจ็ดคน
ม่านตาภายใต้หมวกคลุมของผู้นำทีมหดลงอย่างฉับพลัน ถึงแม้ทุกคนล้วนสวมเสื้อกันฝนสีดำเหมือนกัน แต่ด้านหลังทีมของพวกเขา……เกินมาหนึ่งคน!
ในพริบตานั้น ผู้นำทีมชักมีดที่ต้นขาด้านนอกออกมาพุ่งย้อนศรไปข้างหลัง เขาทะลวงผ่านไปในขบวนทัพยุทธวิธี มีดภายใต้เสื้อกันฝนชี้ไปยังคนที่อยู่ท้ายสุด!
ใต้หมวกคลุมเสื้อกันฝนของเขามีน้ำฝนหยดลงมา พร้อมกับที่เขาหมุนตัวอย่างดุดัน ถึงกับสาดหยดน้ำอันกระจ่างใสออกมา
ตอนที่เหล่ามือสังหารรับรู้ว่าไม่ถูกต้องก็พากันหลีกทาง มีเพียงคนที่อยู่ท้ายสุดคนเดียวที่ยืนโงนเงนอยู่กับที่
ไม่ถูก!
ผู้นำที่อยู่ในความมืดเห็นชัดแล้ว คนที่อยู่ท้ายสุดคนนั้นหลับตาเสียชีวิตไปแล้ว เสื้อกันฝนที่ตำแหน่งม้ามตรงช่องท้องด้านซ้ายของอีกฝ่ายถูกคนแทงเป็นรูขนาดยักษ์ไปแล้วไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด
ก่อนหน้านี้ มือสังหารที่ตายไปคนนี้ถูกคนพยุงตามอยู่ในทีมมาโดยตลอด จนกระทั่งผู้นำทีมค้นพบปัญหา อีกฝ่ายจึงคลายมือที่พยุงมือสังหารคนนี้ออก
ตอนที่เขาตระหนักถึงจุดนี้ ด้านข้างมีคนยกขาเตะใส่เขาแล้ว
เสียงดังตูม ร่างกายของผู้นำทีมลอยออกไป
ลูกเตะนี้หนักหน่วงเกินไปแล้ว ไม่ใช้แรงที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถปะทุขึ้นมาได้เลย ผู้นำทีมรู้สึกว่าตนเองราวกับถูกรถบรรทุกชน กระดูกทั้งร่างล้วนกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
เขาลอยไปทางซ้าย ม่านฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้ายังไม่ทันเติมเต็มที่ว่าง น้ำฝนชั้นแล้าชั้นเล่าจึงราวกับถูกคนกระแทกคนกลายเป็นโพรงรูปคน
ผู้นำทีมที่อยู่กลางอากาศมองทะลุโพรงนั้นไปยังฆาตกร อัสนีสายหนึ่งฟาดลงมาจากท้องฟ้า จุดให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างขึ้นมาหนึ่งพริบตา
ผู้นำทีมค้นพบด้วยความตะลึงงันว่าใบหน้าใต้หมวกคลุมของฆาตกรคนนั้นอ่อนเยาว์มาก
อ่อนเยาว์จนทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อ
เป็นชิ่งเฉิน
กลับเห็นชิ่งเฉินจู่ ๆ ย่อตัวหลบมีดที่โจมตีมาถึงข้างกาย แล้ววนไปอยู่ข้างหลังคนคนหนึ่งในพริบตา ไพ่ที่คีบอยู่ระหว่างนิ้วทั้งสอง เฉือนฝ่าสายฝน เพียงเฉือนเบา ๆ ที่ลำคอของมือสังหารก็มีเลือดไหลกระฉูดออกมา
น้ำฝน น้ำเลือด ผสมผสานกันตกลงบนพื้น และแบ่งแยกจากกันไม่ได้ชัดเจนอีกต่อไป
ไม่มีใครรู้ว่าไพ่กระดาษใบนี้อยู่ในมือเด็กหนุ่มเหตุใดจึงคมกริบดุจมีด
ไม่ เทียบกับมีดแล้วยังคมกว่า
ชิ่งเฉินใช้มือข้างเดียวจับศพที่ถูกปาดคอไว้ข้างหน้าอย่างไร้เสียง แล้วค่อย ๆ เคลื่อนไปทางขวา
เหล่ามือสังหารสังเกตมองอย่างไร้เสียง ในใจประหลาดใจเงียบ ๆ
น้ำหนักหนึ่งร้อยกว่าจินอยู่ในมืออีกฝ่ายเบาราวกับยกน้ำมันทำอาหารหนึ่งถัง
มือสังหารสามคนสบตากันในยามวิกาล นี่เป็นผู้เหนือมนุษย์!
พวกเขากดมือไปที่ด้ามปืนข้างเอวพร้อมกัน
แต่ว่า ร่างของเด็กหนุ่มซ่อนอยู่หลังศพ โผล่ออกมาแค่ใบหน้าครึ่งหนึ่ง
มือสังหารสามคนไม่มีใครมั่นจะว่าจะยิงปืนเข้าเป้าในสถานการณ์เช่นนี้
ในความมืด หมวกคลุมของชิ่งเฉินมีน้ำหยดลงมาไม่หยุด แต่ลมหายใจของเขากลับนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
คนทั้งสี่เคลื่อนไหวช้า ๆ ทุก ๆ คนล้วนเปลี่ยนจุดศูนย์ถ่วงไม่หยุด พลังงปราณระหว่างกันดึงรั้ง ราวกับเชือกที่กำลังจะขึงตึง!
ชิ่งเฉินแตะปืนพกข้างเอวมือสังหารที่อยู่ข้างหน้าเขา
ในช่วงเวลาวิกฤติ
ในท้องฟ้ามีสายฟ้าวาบผ่านอีกครั้ง
มือสังหารสามคนล้วนได้ยินเสียงหายใจอันแปลกประหลาดดังเข้าไปถึงกลางใจด้วยความตื่นตะลึง
ในสายฝนยามค่ำคืนและฤดูใบไม้ร่วงอันหนาวเหน็บ เด็กหนุ่มในความมืดใต้หมวกคลุมพ่นลมหายใจสีขาวที่ราวกับเป็นลูกศรออกมาคำหนึ่ง
ภายใต้แสงไฟฟ้าส่องสว่าง ทุกคนล้วนเห็นลวดลายเปลวเพลิงที่เบ่งบานขึ้นใต้หมวกคลุมนั้น!
“ห้ามหนี” ชิ่งเฉินกล่าวอย่างสงบนิ่ง
เวลาผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ ผู้นำทีมที่นอนคว่ำอยู่ในน้ำฝนดิ้นรนลุกขึ้นมาอย่างยากเย็น จู่ ๆ ได้ยินว่ามีเสียงฝีเท้าย่ำบนแอ่งน้ำเข้ามาใกล้
เขาหันศีรษะไปช้า ๆ เห็นพวกพ้องของคนเองล้มลงท่ามกลางสายฝนทั้งหมดแล้ว
ส่วนเด็กหนุ่มที่ดุร้ายคนนั้นกำลังนั่งยอง ๆ ข้างกายตนเอง ไม่รู้ว่าบนข้อมือของเขาพันสิ่งของอะไร
ผู้นำทีมอยากจะลุกขึ้น แต่ร่างกายของเขาปวดร้าวไร้ที่เปรียบ
ในพายุฝนที่โหนกระหน่ำ ชิ่งเฉินใช้ปืนจี้ไปที่ขมับของผู้นำทีมถามว่า “คุณชื่อว่าอะไร บอกมายังมีโอกาสรอด ไม่บอกก็ตาย”
ผู้นำทีมเจ็บปวดถึงขีดสุด ลึก ๆ เขามีลางสังหรณ์ว่าหลังจากตนเองบอกชื่อ ชะตาชีวิตจะกลายไปอยู่ในมือของคนอื่น
แต่ปากกระบองปืนอันเย็นเยียบที่ขมับกลับเตือนเขาว่า ไม่บอกชื่อก็จะไม่มีชะตาชีวิตแล้ว
“สู่อีเฉิง”
ในราตรีมืดมิด ร่างกายของผู้นำทีมลุกขึ้นยืนท่ามกลางฟ้าฝนกระหน่ำด้วยท่วงท่าที่ขัดกับสามัญสำนึกของร่างกายมนุษย์อย่างสิ้นเชิง ราวกับเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่ง
กระดูกที่หลุดจากข้อแต่แรกของเขาส่งเสียงลั่นแกรกกราก
……
……
ในอาคารแห่งหนึ่ง ลู่หยวนยืนเงียบ ๆ อยู่ข้างหน้าหน้าต่างบานหนึ่ง
ในช่องสื่อสารมีเสียงบอกสถานการณ์ต่อสู้ดังมาไม่หยุดหย่อน “หมู่รบ 01 รอที่ประตูตะวันออกเจอมือสังหารลอบเข้ามาแล้ว”
“หมู่รบ 02 รอที่ประตูเหนือเจอมือสังหารแล้ว”
ราวกับคุนหลุนทราบตำแหน่งแห่งหนของมือสังหารแต่แรก คนของพวกเขาทำการซุ่มโจมตีบนเส้นทางที่คนเหล่านี้จำเป็นต้องผ่านแต่แรก เพียงรอมือสังหารตกลงในร่างแห
ลู่หยวนกล่าวลงในช่องสื่อสารว่า “เป้าหมายถือครองอาวุธปืน ไม่ต้องออมมือ วิสามัญเลย”
“รับทราบ”
“รับทราบ”
“รับทราบ”
แต่ทว่า ณ ขณะนี้ ลู่หยวนถามในช่องสื่อสารว่า “06 พวกคุณด้านประตูตะวันตกยังรอไม่เจอมือสังหารเหรอ”
“หัวหน้าทีมลู่ ไม่มีครับ”
พิลึกแล้ว ตามข่าวกรองมือสังหารน่าจะแยกย้ายเข่นฆ่าเข้ามาจากประตูหกบาน ทำไมด้าน 06 ไม่เจอมือสังหารล่ะ?
“ไปเช็คหน่อย พวกเขาจะต้องเข้าชุมชมแล้วแน่ ๆ จะต้องหาพวกเขาให้เจอ” ลู่หยวนสั่งการ “ระวังความปลอดภัย”
เขาขมวดคิ้วรอเงียบ ๆ แต่ทว่าห้านาทีให้หลังช่องสื่อสารดังขึ้นมาอีกครั้ง “หัวหน้าทีมลู่ ๆ มือสังหารด้านประตูตะวันตกนี่ตายแล้วครับ!”
“ตายแล้ว” ลู่หยวนเงยหน้าอย่างปุบปับ “ตายกี่คน? พวกคุณฆ่าเหรอ?”
“ตายไปห้าคน ยังมีหนึ่งคนไม่ทราบร่องรอย ไม่ใช่พวกผมฆ่า” ด้าน 06 รายงานสถานการณ์ “สองคนถูกปาดคอ สองคนตายจากกระสุนปืน หนึ่งคนม้ามแตก อาวุธปืนบนตัวมือสังหารขาดไปหนึ่งกระบอก น่าจะถูกคนหยิบไปแล้วครับ”
ลู่หยวนตากระจ่างวูบ เด็กหนุ่มนั่นมาแล้วตามคาด
………………………………………………
ตอนที่ 172 – แฝด