นิยามแห่งราตรี (Night’s Nomenclature ) - ตอนที่ 166 คืนกลับ
ตอนที่ 166 – คืนกลับ
“เบบี๋ คุณควรจะคืนกลับแล้วใช่รึเปล่า” หลี่อีนั่วมองไปทางหนานเกิงเฉิงแล้วถามเสียงแผ่วเบา
หนานเกิงเฉินฉวยจังหวะที่คนอื่นไม่สังเกตแอบมองเวลาบนแขนแวบหนึ่ง ยังมีเวลาครึ่งชั่วโมง “อืม จวนแล้วครับ”
“กลับไปแล้วจำไว้ว่าพักผ่อนให้ดี ๆ หลายวันมานี้คุณไม่ได้หลับดี ๆ เลย กลับโลกภายนอกไปก็ผ่อนคลายสักหน่อยนะ” หลี่อีนั่วอธิบายอย่างตั้งอกตั้งใจ “พวกเราอยู่ที่นี่ยังไม่รู้ว่าต้องติดอยู่นานเท่าไหร่ ก่อนกลับมาจำไว้ว่าให้ฉี่ให้สุด พวกเราไม่มีถุงซีลที่ใช้ได้แล้ว……”
หนานเกิงเฉินใบ้กินไปช่วงหนึ่ง พูดในใจว่าคำอธิบายนี่ก็ละเอียดเกินไปปะ ดีนะไม่มีคนได้ยิน
ตั้งแต่ที่ชิ่งไฮวกระตุ้นกฎหนีไป ทีมล่าฤดูใบไม้ร่วง, ตระกูลจินไดสองคน, ทหารของหมวดเจ็ด ทั้งหมดล้วนอยู่กับที่ไม่กล้าขยับตัว
ณ เวลานี้ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังมาจากทิศเหนือ สับสนแต่มีพลัง
ทุกคนพากันมองไป ค้นพบด้วยความประหลาดใจว่ามีไฟฉายประเภทคลัสเตอร์ส่องมา
ความสว่างของแสงไฟนั้นแรงเกินไป จนถึงขนาดที่ทุกคนล้วนถูกเสียดแทงจนอดยกมือขึ้นมาป้องกันไม่ได้
เส้นประสาทของทีมล่าฤดูใบไม้ร่วงตึงเครียดเกินไปแล้ว จนถึงขนาดที่ตอนพวกเขาเห็นสิ่งผิดปกติ มีหลายคนที่อยากจะวิ่งไปข้างหลังจากจิตใต้สำนึก
แต่พอหันหน้าไปกลับค้นพบว่ามีทหารเคลื่อนพลมาถึงด้านหลังของพวกเขาอย่างไร้สุ้มไร้เสียงแล้ว ตั้งเส้นกีดขวางด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ทุกคนที่อยู่ข้างกองไฟพากันลุกขึ้นมา แต่ละคนล้วนมีสีหน้าทำอะไรไม่ถูก
ผู้มาเป็นทหารสหพันธรัฐหลายร้อยนาย พวกเขาล้อมทุกคนไว้อย่างแน่นหนา ชายกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาจากแถวช้า ๆ
เขาไม่แม้แต่จะสนใจหลี่อีนั่วและจินได โจสุเกะ ทว่ามองไปทางทหารหมวดเจ็ด “พวกคุณทำไมอยู่ที่นี่ ชิ่งไฮวล่ะ!”
หวังปิ่งซูเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว อยากจะให้กองทัพสหพันธรัฐหน่วยนี้คุ้มกันหลี่อีนั่วออกไปก่อน ไม่ให้เกิดเหตุแทรกซ้อน
ผลคือหลี่อีนั่วหยุดเขาเอาไว้ เพราะว่าเธอก็อยากรู้ว่าชิ่งไฮวกับพวกสรุปแล้วประสบกับอะไรในสถานที่ต้องห้าม
หรือจะพูดให้แม่นยำ: สรุปว่าชิ่งเฉินใช้พลังของคนคนเดียวทำลายล้างกองทัพชิ่งไฮวได้อย่างไร
“ชิ่งไฮวล่ะ” ชายกลางคนมองทหารหมวดเจ็ดห้าคน ถามอีกครั้ง
“ไม่กี่ชั่วโมงก่อน ผู้บัญชาการชิ่งไฮวกระตุ้นกฎของสถานที่ต้องห้ามขึ้นมา เขาไม่ได้พูดอะไร พุ่งออกไปทิศเหนือตรง ๆ น่าจะอยากหนีออกจากที่นี่ก่อนที่กฎจะฆ่าเขาตายครับ” หัวหน้าหมวดเจ็ดหนิงชุ่นตอบตามคำสั่ง
ชายกลางคนไม่ได้พูดไร้สาระมากความอีก หันศีรษะกลับไปพูดกับเสนาธิการ “ปูพรมรูปพัดค้นหาไปทางทิศเหนือ เป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ!”
ขณะนี้ ชายกลางคนรู้สึกหนังศีรษะชาด้าน เขาไม่รู้เลยว่ากลับไปสหพันธรัฐแล้วควรจะอธิบายกับแม่ของชิ่งไฮวอย่างไร
นี่เป็นความหวังของบ้านสี่ตระกูลชิ่งรุ่นเยาว์นะ!
เขามองไปทางหัวหน้าหมวดเจ็ด เรื่องนี้จะต้องมีคำตอบ
“เมื่อกี้คุณพูดว่าชิ่งไฮวกระตุ้นกฎเหรอ” ชายกลางคนรู้สึกว่าไม่ถูกต้องอยู่บ้าง เห็นชัด ๆ ว่ากฎที่ชิ่งไฮวรู้มากกว่าพวกทหาร ทำไมทหารไม่เป็นไรเลย แต่ชิ่งไฮวกลับเกิดเรื่อง?
หนิงชุ่นอธิบายว่า “มีทหารนายหนึ่งเหมือนจะถูกผีสิง จู่ ๆอยากฆ่าผู้บัญชาการชิ่งไฮว ผู้บัญชาการชิ่งไฮวเดิมอยากจะใช้มีดบังคับให้เขาถอย แต่เขากลับดันทุรังจะชนมีดอย่างกับจะทิ้งชีวิตตัวเอง ทำให้ผู้บัญชาการกระตุ้นกฎขึ้นมา”
ตอนที่พูดถึงตรงนี้ ทุกคนในเหตุการณ์หวนนึกถึงฉากนี้แล้วตัวสั่นสะท้านขึ้นมา
พวกเขาไม่รู้บทบาทของวัตถุต้องห้าม ACE-019 ดังนั้นตอนที่พวกเขาคิดถึงพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของหวังเฉียง ยังมีรอยยิ้มแปลกประหลาดก่อนอีกฝ่ายตายอันนั้น ล้วนรู้สึกว่า ‘ผีสิง’ เหมาะสมเกินไปแล้ว
ชายกลางคนสำรวจปฏิกิริยาของทุกคน กล่าวเสียงเย็นว่า “ผีสิงอะไรกัน เห็นชัด ๆ ว่ามีคนรู้กฎ ควบคุมหรือติดสินบนทหารคนนี้!”
“เพราะอะไรพวกคุณถึงถอนตัวล่วงหน้า ทำไมมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ พูดกระบวนการที่คุณรู้ทั้งหมดออกมาให้ผมฟัง!” ชายกลางคนกล่าว
หนิงชุ่นลังเลแล้วกล่าวว่า “ผู้บัญชาการครับ พูดที่นี่ ถ้าเพื่อพูดอะไรผิดจะกระตุ้นกฎขึ้นมา……”
ชายกลางคนยิ้มเย็น “ไม่พูดคุณก็ตายตอนนี้เลย”
หนิงชุ่นแข็งใจตอบว่า “ระหว่างมุ่งหน้าสู่ชั้นใน เด็กหนุ่มคนหนึ่งใช้กฎสักอย่างฆ่าทหารสองหมวดในรวดเดียว ผู้บัญชาการชิ่งไฮวจึงตัดสินใจนำพวกเราไปไล่ฆ่าเขาก่อน แต่ภายหลังพวกเราแทบจะล้มทั้งกองทัพ ได้แต่ละทิ้งภารกิจแล้วล่าถอยไปโดยตรง”
หนิงชุ่นกลัวจะกระตุ้นกฎ ไม่ได้พูดกระบวนการโดยละเอียด
เวลานี้ ข้างกายชายกลางคน นายทหารระดับกองร้อยถูกทำให้ตกใจจนขมวดคิ้วด่าว่า “คุณแม่งผายลมอะไรออกมากัน คนคนเดียวสามารถไล่ฆ่าพวกเขาร้อยกว่าคนเหรอ”
นายทหาร ม่อง
กฎ: ไม่สามารถพูดคำหยาบ
สีหน้าของนายทหารค่อย ๆ เป็นสีเขียวดำไปคาตา เห็นได้ชัดว่าถูกแมลงพิษไม่ทราบชื่อต่อยตาย
ชายกลางคนมองดูศพของนายทหาร “อธิบายไปแต่แรกแล้ว……ลากศพของสวะนี่ไปให้กับฉัน!”
หัวหน้าหมวดหนิงชุ่นใบหน้าเศร้าหมอง “ผู้บัญชาการครับ เพื่อนทหารของพวกเราก็โดนกับดักกฎจนตายครับ เด็กหนุ่มนั่นส่งพวกเราลงหลุมได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย!”
“เฮ้ย เฉาเวยล่ะ” ชายกลางคนเหมือนจู่ ๆ จะคิดเรื่องอะไรได้ ถามระบุชื่อว่า “ทำไมไม่เห็นเฉาเวย”
หนิงชุ่นเอ่ยว่า “หลังจากผู้บัญชาการเฉาเวยไปไล่ฆ่าเด็กหนุ่มนั่นด้วยตัวคนเดียวก็ไม่ได้กลับมาอีก ผู้บัญชาการชิ่งไฮวบอกว่า……เขาตายแล้วแน่ ๆ”
ชายกลางคนเอ่ยเสียงขรึมว่า “คุณพูดอะไรสาระอะไร เฉาเวยเป็นยอดฝีมือแรงก์ C!”
ชายกลางคนรู้อย่างชัดเจนเกินไปแล้วว่าเฉาเวยเป็นคนแบบไหน เพราะว่าตำแหน่งหัวหน้าค่ายของค่ายสนามที่เขาเป็นอยู่ปัจจุบันนี้เดิมเป็นของเฉาเวย!
นั่นเป็นบุคคลที่เคยเป็นหนึ่งในผู้ที่โดดเด่นที่สุดในกองทัพ
เดิมเขายังคิดจะถามสถานการณ์กับเฉาเวย แต่อีกฝ่ายกลับตายไปแล้ว?!
หนิงชุ่นกล่าวว่า “ผู้บัญชาการครับ ท่านสามารถเอาพวกเราทั้งหมดไปแยกสอบสวนเดี่ยว ถ้าหากคำที่ผมพูดโกหกสักครึ่งส่วน ท่านสามารถส่งผมขึ้นศาลทหารได้เลยครับ”
หนานเกิงเฉินใบหน้าไร้อารมณ์เสมอมา ดูแล้วเหมือนกับกำลังงุนงง ในใจส่วนลึกกลับกำลังบ่นว่า: ด้วยไอคิวนั่นของพี่เฉิน ล้อเล่นกับพวกแกจนตายก็ไม่ได้เท่าไหร่จริง ๆ
ทว่าทีมล่าฤดูใบไม้ร่วงกับตระกูลจินไดที่ถูกขังในความมืดมาตลอดกลับได้ยินความจริงเป็นครั้งแรก
ก่อนหน้านี้ คำกล่าวของชิ่งไฮวคือ: พวกเขาสำเร็จภารกิจแล้วจึงล่าถอยก่อนกำหนด
ทุกคนแม้จะมีความกังขา แต่ใครจะไปคิดได้ว่าถึงกับถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งไล่ฆ่ากลับมา
แถมความแตกต่างด้านจำนวนคนนี่ก็น่าทึ่งเกินไปแล้ว ฝั่งหนึ่งเป็นกองร้อยสนามทั้งกอง อีกฝั่งหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มคนเดียว
ความจริงประเภทนี้มันมาได้รุนแรงเกินไปหน่อยนะ!
ทุกคนมองหน้ากันอย่างท้อใจ ใคร ๆ ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีบุคคลอย่างนี้เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่!
คิ้วของชายกลางคนแทบจะขมวดเข้าด้วยกัน “พูดกระบวนการแบบเฉพาะเจาะจงมา!”
“เขานำพวกเราไปที่พุ่มไม้ประหลาดหย่อมหนึ่ง เขาสามารถทะลุไปอย่างราบรื่น แต่คนของพวกเราตอนที่ทะลุไปกลับร่างกายแหลกราญ……”
“พวกเราต้อนเขาไปทางเขตทุ่นระเบิด แต่เขากลับอย่างกับเปิดเครื่องสแกนโลหะ หลบเลี่ยงระเบิดต่อต้านทหารราบทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ……”
“เด็กหนุ่มนั่นร้องเพลงหนึ่งเพลง ฆ่าพวกเราเหลือแค่หมวดเดียว……” หนิงชุ่นกล่าว
“ร้องเพลงหนึ่งเพลง? ฆ่าพวกคุณหลายสิบคน?” ชายกลางคนอึ้ง
“อืม” หนิงชุ่นพยักหน้า ตอนที่เขาพูดถึงกฎจะสงวนถ้อยคำดุจทอง กลัวว่าจะกระตุ้นกฎอะไรขึ้นมา
ชายกลางคนขมวดคิ้ว ไม่เคยได้ยินกฏที่ร้องเพลงแล้วจะสามารถฆ่าคนเลยเหมือนกัน “ร้องเพลงอะไร อันนี้พูดได้ไหม”
หนิงชุ่นรีบกล่าวว่า “เรียนผู้บัญชาการ อันนี้พูดได้ครับ ไม่ใช่ว่าการร้องเพลงจะสามารถฆ่าคน ทว่า……”
“งั้นคุณร้องให้ผมฟังรอบหนึ่ง” ชายกลางคนกล่าว
หนิงชุ่นร้องว่า “ใต้สะพานใหญ่หน้าประตู เป็ดหนึ่งฝูงว่ายผ่าน……”
มีลูกหลานกลุ่มการเงินจู่ ๆ ก็ขำขึ้นมา “เพลงนี้ผมก็เป็น รีบมานับเร็ว สองสี่หกเจ็ดแปด……”
ลูกหลานกลุ่มการเงิน ม่อง
ทุกคนเบิกตากว้าง แทบทั้งหมดเดาข้อเท็จจริงของกฎออกแล้ว พวกเขาอยากจะพูดอะไรหน่อย แต่ไม่กล้าพูด
หลี่อีนั่วปวดฟันขึ้นมาทันควัน การสอบถามนี่มันเปลืองคนนิดหน่อยนะ!
เธอกล่าวกับชายกลางคนว่า “ให้คนอื่นกระจายตัวไปให้หมดเถอะ พวกเราไม่กี่คนเข้าใจสถานการณ์ก็พอ”
ชายกลางคนพยักหน้า “คุณหนูอีนั่ว คุณผู้ชายจินได โจสุเกะอยู่ คนอื่นถอยไปให้หมด! เสนาธิการหวัง คุณก็อยู่! หนิงชุ่น คุณพูดต่อ!”
หนานเกิงเฉินเตรียมจะไป แต่ถูกหลี่อีนั่วยุดเอาไว้ เธอกล่าวกับชายกลางคนว่า “นี่เป็นคนของฉัน ไม่ต้องไป”
ชายกลางคนลังเลชั่วขณะ “ได้”
หนิงชุ่นกล่าวว่า “ผู้บัญชาการครับ เด็กหนุ่มนั่นประหลาดมาก คุ้นเคยกับกฎของสถานที่ต้องห้ามหมายเลข 002 ผิดธรรมดา แถมกับภูมิประเทศของที่นี่ก็คุ้นเคยเป็นพิเศษ อย่างกับอยู่บ้านตัวเอง พวกเราพยายามล้อมล่าเขา แต่เขาสามารถหาภูมิประเทศหลบหนีได้เสมอ ตอนที่อีกฝ่ายวิ่งไประหว่างป่าเขาก็ราวกับเดินบนพื้นราบ……”
“ชาวป่า?” ชายกลางคนถาม
หนิงชุ่นคิดแล้วตอบอย่างซื่อสัตย์ว่า “ผู้บัญชาการครับ พวกเราก็ไม่อาจมั่นใจว่าเขาเป็นชาวป่าหรือไม่ แต่เสื้อผ้า……ไม่เหมือนคนสหพันธรัฐ”
“เดี๋ยวนะ บนตัวเขามีอวัยวะจักรกลไหม” ชายกลางคนถาม
“ไม่มีครับ” หนิงชุ่นตอบ
ขณะนี้ ชายกลางคนรู้สึกว่าอีกฝ่ายยิ่งสอดคล้องกับลักษณะของชาวป่า
ณ ขณะนี้ จู่ ๆ หลี่อีนั่วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “พอฟังเขาพูดถึงชาวป่า จู่ ๆ ฉันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ก่อนจะเข้าสถานที่ต้องห้ามพวกเราถูกชาวป่าไล่ฆ่ามาตลอด แต่ชาวป่ากลุ่มนี้ไม่เรียบง่ายเลย เพราะว่ามีคนของสระอัคคีปะปนอยู่ด้วย”
“สระอัคคี!?” ลมหายใจของชายกลางคนขาดห้วง กองพลสหพันธรัฐไม่ต้องหวาดกลัวสระอัคคี อีกฝ่ายเผชิญหน้ากับกองทัพมาตรฐานก็ต้องหลบลี้
แต่ประเด็นคือ อีกฝ่ายไม่ควรจะปรากฏตัวที่นี่
เขามองไปทางจินได โอริ, จินได โจสุเกะ คนหลังก็พยักหน้ายืนยัน
หลี่อีนั่วกล่าวต่อว่า “สระอัคคีล้อมปราบตระกูลจินไดที่ป่าไม้ แล้วก็ต้อนพวกเราเข้าสถานที่ต้องห้าม ก่อนหน้านี้ฉันสงสัยว่าพวกเขามีผู้อาวุโสนำทีม ไม่งั้นล้อมปราบตระกูลจินไดไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น”
จินได โจสุเกะหน้าดำ
หลี่อีนั่วไม่สนเขา “พวกคุณก็น่าจะมาที่นี่หลังได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือของพวกเรา ตอนนั้นฉันก็พูดไปแล้วเรื่องที่ถูกชาวป่าโจมตี แต่สิ่งที่ประหลาดมากคือ คนของสระอัคคีกลุ่มนั้นหลังจากไล่พวกเราเข้ามาแล้วจู่ ๆ กลับไม่ไล่ หายตัวไปอย่างอธิบายไม่ได้ ตอนนี้ฉันสงสัยว่าพวกเขาเข้าชั้นในของสถานที่ต้องห้ามแล้ว!”
ชายกลางคนตะลึงงัน เขารู้ว่าบ้านใหญ่ตระกูลชิ่งกับสระอัคคีมีความสัมพันธ์ลับ ๆ……
เรื่องบางอย่างทนคิดเชื่อมโยงไม่ได้ พอคิดก็จะคิดไปมากมาย!
สังเวียนแห่งเงา, บ้านใหญ่, สระอัคคี เด็กหนุ่มที่เหมือนจะเป็นชนพื้นถิ่นชาวป่า!
ชายกลางคนรู้สึกว่าตัวเองเข้าใกล้ความจริงแล้ว!
ถึงขณะนี้ หลี่อีนั่วไม่ได้พูดอะไรอีกทั้งนั้น
ถึงอย่างไรการเป็นสายภายในพูดถึงจุดแล้วก็ต้องหยุด การจุดไฟกระพือลมถูกคนดูออกขึ้นมามันแย่เกินไป!
อีกอย่าง สายภายในทำถึงขนาดนี้น่าจะพอประมาณแล้วปะ……
ขณะนี้ ชายกลางคนเอ่ยอย่างฉงนว่า “ผมจำข้อความขอความช่วยเหลือของพวกคุณได้ แต่สระอัคคีมีคนมากันเยอะขนาดนั้น ทำไมมีแค่เด็กหนุ่มคนเดียวลงมือ”
ขณะนี้ จินได โจสุเกะจู่ ๆ กล่าวว่า “คุณรู้จักพิธีตัดเขาของสระอัคคีไหม”
หลี่อีนั่วแอบตะลึงกับตัวเองในใจ ชั่วขณะหนึ่งเธอถึงขนาดรู้สึกว่าจินได โจสุเกะเป็นผู้ร่วมขบวนการสายภายในของเธอ การเสริมมีดดอกนี้ตรงเวลาเกินไปแล้ว
พิธีตัดเขาของสระอัคคีที่ว่ากันก็คือกฎที่ว่าตอนที่คนหนุ่มสาวที่ยอดเยี่ยมที่สุดในภูเขาหิมะแห่งนั้นเติบใหญ่จะต้องออกล่าจามรีดุร้ายด้วยตัวคนเดียว
หลังฆ่าจามรี ตัดหัวมันกลับไปยังสระอัคคี เขาอันใหญ่มหึมาแขวนอยู่ในบ้านตัวเองเป็นสัญลักษณ์ถึงความกล้าหาญ
แต่นั่นเป็นกฎเมื่อหลายร้อยปีก่อน ภายหลังสถานที่ต้องห้ามปรากฏขึ้น หลังจากป่าและสหพันธรัฐขัดแย้ง พิธีตัดเขาก็สามารถใช้การล่าสัตว์ป่าดุร้ายอื่น ๆ หรือว่าล่าสังหารยอดฝีมือสหพันธรัฐเพื่อให้สำเร็จ
มีเพียงการสำเร็จพิธีตัดเขาจึงจะมีคุณสมบัติกลายเป็นผู้กล้าที่แท้จริงในสระอัคคี นำทีมออกล่าเพียงลำพัง
ส่วนผู้ที่ไม่สำเร็จพิธีตัดเขาได้แต่กลายเป็นผู้ติดตามของคนเหล่านี้
ดังนั้นตอนนี้ชิ่งไฮวถูกสกัดและสังหาร จะใช่หรือไม่ว่าเป็นลูกชายของผู้อาวุโสสักคนกำลังสำเร็จพิธีตัดเขา?!
อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ปลายหอกจี้ไปที่สระอัคคีแล้ว ยังมีสังเวียนแห่งเงาภายในของตระกูลชิ่ง
ไม่แน่ว่ายังจะปลุกปั่นให้เกิดการต่อสู้ภายในระหว่างบ้านใหญ่กับบ้านสี่ขึ้นมา……
ชายกลางคนจมอยู่ในห้วงคิดเนิ่นนาน เขาใช้สายตาระแวงเหล่มองหลี่อีนั่วและจินได โจสุเกะ คงไม่ใช่ว่าสองคนนี้ร่วมมือกันปลุกปั่นความขัดแย้งภายในของตระกูลชิ่งหรอกนะ?
แต่ว่า ในกลุ่มการเงินล้วนทราบว่าหลี่อีนั่วเป็นสายสงครามตามแบบฉบับ เป็นไปไม่ได้ที่จะสวมกางเกงตัวเดียวกับตระกูลจินได
เวลานี้ ในช่องสื่อสารมีเสียงดังขึ้นมาว่า “ผู้บัญชาการครับ เจอศพของชิ่งไฮวแล้วครับ!”
ชายกลางคนสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา ความหวังสายใยสุดท้ายก็มอดมลายแล้ว
เขากล่าวกับทหารที่จูงสุนัขล่าเนื้อจักรกลที่อยู่ไม่ไกลว่า “ปล่อยหมาล่าเนื้อออกไปให้หมด ตามกลิ่น จะต้องหาฆาตกรให้เจอ!”
……
ณ ขณะนี้ อันที่จริงคนที่มีอารมณ์รุนแรงที่สุด ท้ายที่สุดแล้วยังคงเป็นหลี่อีนั่ว
ในคนทั้งหมดในสถานที่นี้ เธอเป็นผู้ที่ทราบความแข็งแกร่งของชิ่งเฉินชัดเจนที่สุด
เพราะว่าตั้งแต่เด็กเธอก็วนเวียนอยู่ข้างกายอาเจ็ดหลี่ซูถง มุ่งมั่นว่าอยากจะกลายเป็นอัศวินด้วย ดังนั้นเธอก็เข้าใจกฎพื้นฐานบางส่วนของอัศวินที่สุด
ก่อนจะกลายเป็นอัศวิน อันดับแรกชิ่งเฉินจะต้องเป็นคนธรรมดา
และอัศวินที่สำเร็จด่านเป็นตายครั้งที่หนึ่งควรจะอยู่ระดับจุดสูงสุดของแรงก์ F
เส้นทางเลื่อนขั้นของอัศวินแตกต่างจากการสืบทอดอื่น ๆ มาโดยตลอด
วิธีการเลื่อนขึ้นของการสืบทอดส่วนใหญ่จะราบเรียบทว่ามั่นคง แต่อัศวินทุกคนหลังจากสำเร็จด่านเป็นตายล้วนจะเพิ่มพูนความแข็งแกร่งอย่างก้าวกระโดดง
ฟังว่าปีแรก ๆ ของยุคสมัยใหม่ของมนุษย์ตอนที่ยังไม่มีวิชาหายใจ อัศวินถึงจะสำเร็จด่านเป็นตายแปดด่านก็อยู่แค่ระดับสูงสุดของแรงก์ A
เวลานั้นอัศวินชนะที่คนมาก ชนะที่มีการสืบทอดที่มั่นคง ขอเพียงสำเร็จด่านเป็นตายแปดด่านก็จะต้องเป็นแรงก์ A ดังนั้นมักจะเอาแรงก์ A เป็นสิบไปตีคนเขาคนเดียว
พอร้องเรียกก็แห่กันไปตะลุมบอน
ภายหลังเส้นทางทะเลตัดขาด หลังฉินเซิงสร้างวิชาหายใจคิดไม่ถึงเลยว่าความแข็งแกร่งส่วนบุคคลของอัศวินดันทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หลี่ซูถงปัจจุบันนี้แม้แต่ด่านเป็นตายที่แปดยังไม่ได้ผ่านก็เป็นกึ่งเทพในโลกนี้แล้ว
ก็ไม่รู้ว่าหลังจากสำเร็จด่านเป็นตายที่แปดจะอยู่ที่ขั้นไหน?
น่าเสียดาย ทะเลต้องห้ามยังคงเป็นพื้นที่ต้องห้ามของชีวิตมนุษย์ทั้งหมด ชั่วชีวิตนี้หลี่ซูถงก็อาจจะไม่มีทางได้สัมผัสขอบเขตสูงสุด
ตอนนี้ อัศวินที่เพียงจะเลื่อนเป็นจุดสูงสุดของแรงก์ F คนหนึ่งถึงกับฆ่าคนแทบจะยกทีมในสถานที่ต้องห้าม สุดท้ายยังหลอกให้ขิ่งไฮวกระตุ้นกฎ ไม่อาจไม่หนีป่าราบ
สิ่งที่พึ่งพาไม่ใช่ค่าพลังต่อสู้เด็ดขาด ทว่าเป็นสติปัญญา
พูดตามตรง อันที่จริงหลี่อีนั่วชื่นชมชิ่งเฉินนิดหน่อย เรื่องที่อีกฝ่ายทำ ตนเองทำไม่ได้เป็นอันขาด
เธอกำลังคิดอยู่ว่า ในเมื่ออาเจ็ดบอกใบ้ว่าพวกเขาสามารถไว้วางใจกันและกัน งั้นอนาคตเธอจะสามารถร่วมมือทำงานกับอัศวินรุ่นใหม่คนนี้ได้หรือไม่
เรื่องที่เธออยากทำก็มีมากมาย
ณ ขณะนี้ หลี่อีนั่วจู่ ๆ ความรู้สึกตื่นเต้นอันยอดเยี่ยมว่าผู้คนเมามายข้ามีสติอยู่คนเดียวชนิดหนึ่ง แต่เธอยังจำเป็นจะต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น
ดังนั้น สีหน้าพิกลเล็กน้อย
แต่หลี่อีนั่วกลับไม่ได้ค้นพบว่าเบบี๋ข้างตัวเธอ สีหน้ายังพิกลกว่าเธออีก……
……
ณ ขณะนี้ ในชั้นในของสถานที่ต้องห้ามหมายเลข 002
ชาวป่าหลายสิบคนกำลังนั่งล้อมกองไฟที่ลุกไหม้ ชายกลางคนที่ถักผมเปียคนหนึ่งกำลังหลับตานั่งสมาธิ บนผมเปียของเขาพันไว้ด้วยโอนิกซ์และเทอร์ควอยซ์ บนลำคอสวมสร้อยกระดูกนิ้วมือหนึ่งเส้น
สร้อยคอนั้นร้อยจากกระดูกนิ้วก้อยข้อสุดท้ายของมนุษย์ มีกี่ชิ้นก็หมายถึงว่าเขาเคยสังหารคนสหพันธรัฐไปเท่าไหร่
ชาวป่าเหล่านี้สีหน้าขาวซีด บนตัวก็ขาวซีด
ไม่ใช่ว่าเกิดความเจ็บป่วย ทว่าบนร่างกายของพวกเขาทาผงประหลาดเอาไว้
ครู่ต่อมา มีคนล้วงถุงที่เย็บจากหนังแกะขึ้นมาหนึ่งใบ มอบให้ชายกลางคนคนนี้ “ผู้อาวุโส ควรจะเติมผงแล้วครับ”
“อืม” ผู้อาวุโสลุกขึ้น สร้อยคอกระดูกข้อนิ้วบนลำคอของเขาแกว่งไปมา เกิดกระทบกัน
เขาหยิบผงกำหนึ่งออกมาจากในถุงหนังแกะ ทาไปบนใบหน้าและลำตัวของตนเอง
ผู้ติดตามที่อยู่ข้างกายคนนั้นกล่าวว่า “ผู้อาวุโสครับ ละอองเกสรดอกเฟิงจุนที่ผู้อาวุโสใหญ่ให้มาเหลืออยู่ไม่มากแล้ว พวกเราอยู่ในสถานที่ต้องห้ามก็ยิ่งมายิ่งอันตราย แต่เหยื่อไม่ปรากฏตัวขึ้นมาเลย……ยังไงพวกเรารออีกวันแล้วกลับภูเขาหิมะเถอะครับ ไม่มีละอองเกสรดอกเฟิงจุน เกรงว่าสัตว์ป่ากับพืชของชั้นในจะทำให้เราต้านทานไม่อยู่”
ผู้อาวุโสคนนี้เติมผงลงบนร่างกายเสร็จแล้วครุ่นคิด “ละอองเกสรดอกเฟิงจุนเก็บรวบรวมไม่ง่าย ถ้าพวกเราถอยไปอย่างไม่ประสบความสำเร็จจะอธิบายให้กับเทพเจ้ายังไง”
“แต่พวกเราก็ไม่สามารถเสี่ยงชีวิตอยู่ที่นี่นะครับ” ผู้ติดตามกระซิบ “ผมเคยได้ยินผู้อาวุโสใหญ่บอกว่า สถานที่ต้องห้ามหมายเลข 002 คับแคบอย่างพิกล ซวยเป็นพิเศษ”
ผู้อาวุโสถอนหายใจคำหนึ่งแล้วนั่งลงไปใหม่ เขายกมือขึ้นดูเวลา วันที่ กับอุณหภูมิบนนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ในมือ สีหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลาย
ถ้าชิ่งเฉินได้เห็นผู้อาวุโสคนนี้มีกระดูกข้อนิ้วที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายป่าเถื่อนเส้นนั้น แล้วมาเห็นนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ในมืออีกฝ่าย เกรงว่าจะรู้สึกไม่สอดคล้องอย่างบรรยายไม่ถูก……
แต่ทว่าทุกสิ่งนี้สำหรับชาวสระอัคคีแล้วปกติเป็นที่สุด:
สะสมกระดูกข้อนิ้วเป็นการบูชาต่อพลังอำนาจและเทพเจ้า แล้วก็เป็นสัญลักษณ์ของศักดิ์ฐานะในชนเผ่า
ใช้นาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ นั่นเพราะว่านาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์มันใช้งานง่ายมากจริง ๆ อะ!
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงบางประการ ชาวสระอัคคีได้รับพลังอำนาจมาจาก “เทพเจ้า” ทำให้พวกเขาสักการะโทเท็มและเทพเจ้า
แต่นี่ไม่ได้แปลว่าทุกคนต้องปฏิเสธเทคโนโลยี……ถึงอย่างไรเทพเจ้าก็ไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยี!
การขับรถล่าสัตว์มีประสิทธิภาพสูงกว่าการเดินเท้าล่าสัตว์จริง ๆ นะ!
ลัทธิทุกอย่างบนโลกนี้สุดท้ายแล้วล้วนจะกลายเป็นลัทธิปฏิบัตินิยม
นี่ก็คือยุคสมัยที่อภิปรัชญาและวิทยาศาสตร์ต่างมีบทบาท แต่ละฝ่ายมีความแตกต่าง แต่กลับผสมผสานรวมกันอย่างลึกลับ
ขณะนี้ ผู้อาวุโสมองไปยังทิศทางหนึ่งเอ่ยอย่างทอดถอนว่า “รออีกสองวัน ถ้ายังไม่เห็นคน พวกเราจะไปจากที่นี่ก่อนที่จะใช้ละอองเกสรดอกเฟิงจุนหมด……”
……
ในที่ห่างไกล ชิ่งเฉินกับหลี่ซูถงออกไปจากสถานที่ต้องห้ามอย่างราบรื่นแล้ว
เขาหันหน้ากลับไปมองป่าไม้ที่ลึกและมืดมิดนั้นอีกครั้ง แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ถูก
เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเบา ๆ ว่า “ผมยังจะกลับมา”
การเดินท่องป่ารอบนี้ เขาพบเห็นสิ่งมหัศจรรย์มากเกินไป ประสบกับเรื่องราวมากเกินไป
ราวกับว่าบทเพลงอันงดงามเพลงหนึ่งกำลังเกี่ยวพันและขับขานอยู่ในชีวิตของเขาไม่หยุดหย่อน
แล้วก็เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเขา
ในชั่วขณะหนึ่งชิ่งเฉินรู้สึกว่า ควรจะนับกันตั้งแต่ช่วงเวลาที่เขาทะลุมิติที่ชีวิตซึ่งเป็นของตัวเขาเองจึงได้เริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง
00:00:00
นับถอยหลังถึงศูนย์
คืนกลับ!
……
เล่มที่หนึ่ง บทที่หนึ่งของราตรี: โซนาต้า
จบ
ไม่รู้ตอนอ่านรู้สึกกันเปล่า แต่ว่าตอนนี้ยาวเป็นสองเท่าของปกติเลยนะคะ
หลังจะนี้เป็นต้นไปจะมีตอนบางตอนที่ยาวขนาดหนักค่ะ เป็นเพราะว่าผู้เขียนรีไรท์แล้วเสริมเนื้อเรื่องรัว ๆ ต่างจากก่อนหน้านี้ที่การรีไรท์ส่วนใหญ่จะเป็นการตัดเล็กตัดน้อยให้กระชับ
ตอนที่ 167 – แผนการกวาดล้าง