นิยามแห่งราตรี (Night’s Nomenclature ) - ตอนที่ 122
ตอนที่ปิคอัพสองคันของครอบครัวเหล่าฉินเลี้ยวเข้าทางภูเขาเล็ก ๆ เส้นนี้แล้วเห็นขบวนรถของตระกูลจินได คิดอยากจะถอยออกไปแต่ไม่ทันแล้ว
คืนนี้จวนจะคืนกลับอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับเรื่องซวยประเภทนี้
ชิ่งเฉินไม่เข้าใจเลยว่าครูจะทาฝุ่นบนหน้าทำไม
ขณะนี้ขบวนรถสองกลุ่มพบเจอกัน ถ้าข้างหน้าคือตระกูลจินได ถึงแม้อีกฝ่ายจะจำครูซึ่งเป็นคนที่เร้นกายมาหลายปีไม่ออก แต่จินได โซราเนะจะต้องสามารถจำตนเองออกแน่ ๆ
ทาฝุ่นนิดหน่อยก็ไม่มีผลอันใด
หลี่ซูถงเหมือนจะมองทะลุความคิดของเขา จึงลดเสียงยิ้มเอ่ยว่า “วางใจ คนคนนั้นที่สามารถจำเธอออกไม่ได้อยู่ในขบวนรถของจินไดเลย”
ชิ่งเฉินผ่อนลมหายใจ
ประเทศจีนโลกภายนอกมีเมือง 19 เมืองตรงกันกับกับโลกภายใน แต่ในความเป็นจริง ทั้งสหพันธรัฐมีเมือง 25 เมือง หกเมืองในนั้นแบ่งกันถูกจินไดกับตระกูลคาชิมะควบคุม ตรงกับหกเมืองของเกาหลีใต้และญี่ปุ่น
แต่สองตระกูลนี้ล้วนเป็นคนนอกที่อพยพมา ดังนั้นตระกูลหลี่, ตระกูลเฉิน, ตระกูลชิ่งล้วนไม่ยอมรับพวกเขามาโดยตลอด
หลี่ซูถงกล่าวกับชิ่งเฉินว่า “ตอนแรกสุด ตระกูลจินไดคล้ายจะเป็นราชวงศ์บนประเทศเกาะ หลังจากอพยพมาถึงจะไม่มีธรรมเนียมศักดินา แต่ที่จริงมีนามสกุลใหญ่หลายสกุลรับใช้พวกเขามาโดยตลอด นามสกุลใหญ่หลายอันนี้ถึงตอนนี้ก็ยังมี ทาคาฮาชิ, ยามากุจิ, อิโนะอุเอะ, มุโตะ……หลายร้อยปีแล้ว ตระกูลเหล่านั้นล้วนเป็นตระกูลบริวารของจินไดมาโดยตลอด”
ชิ่งเฉินถามว่า “ตระกูลจินไดใหญ่ยักษ์เลยเหรอครับ”
”ธุรกิจครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง” หลี่ซูถงกล่าว
ระหว่างที่พูด ชิ่งเฉินเห็นราง ๆ ว่าข้างหน้ารถออฟโร้ดสีดำมีเต้นท์ขนาดมหึมา รวมทั้งกองไฟที่ส่ายไหว เหมือนกับว่าอีกฝ่ายตั้งเต้นท์อยู่ที่นี่แล้ว
ชายที่สวมสูทดำทั้งตัวหลายคนเคลื่อนมาใกล้ขบวนรถครอบครัวเหล่าฉิน บนหูพวกเขาติดชุดหูฟังสื่อสาร ตอนที่เดิน ชิ่งเฉินยังสามารถได้ยินเสียงโลหะเสียดสีกันของอวัยวะจักรกลดังออกมาจากใต้เสื้อผ้าของพวกเขาด้วย
ฉินเฉิงกล่าวลงในวิทยุสื่อสารว่า “ทั้งหมดนั่งบนรถอย่าขยับ”
ดูเหมือนว่าตอนที่ชาวบ้านทั่วไปเจอกับกลุ่มการเงิน สิ่งที่สามารถทำได้ก็คืออย่าขยับ พยายามไม่ไปยั่วโมโหอีกฝ่ายสุดความสามารถ
ชายสูทดำสิบกว่าคนปิดล้อมปิคอัพสองคัน คนหนึ่งเห็นสัญลักษณ์และรหัสนักล่าบนรถก็ลดเสียงลงพูดอะไรใส่หูฟัง
อย่างรวดเร็ว หนึ่งคนในนั้นถามด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “คนไหนเป็นหัวหน้าทีมของทีมล่าชุดนี้”
ฉินเฉิงยกมือ “สวัสดีครับท่าน ผมเอง”
”คืออย่างนี้นะ บอสพวกเราเชิญทุกท่านลงรถมารวมตัวกันหน่อย มีธุระจะปรึกษา” ชายสูทดำยิ้มเอ่ย น้ำเสียงสุภาพและเป็นมิตรเป็นพิเศษ
หลี่ซูถงพลิกตัวลงรถ ในปากยังงึมงำเสียงเบาว่า “เป็นพวกสุภาพจอมปลอมชั่วกัปชั่วกัลป์เลยนะ”
ชิ่งเฉินตามหลังเขาเงียบ ๆ เด็กหนุ่มจู่ ๆ รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตระกูลจินไดจะต้องเคยล่วงเกินครูตัวเองแน่ ๆ
รอจนพวกเขาทุกคนลงจากปิคอัพ กลับเห็นชายสูทดำสิบกว่าคนนั้นดำเนินการตรวจค้นปิคอัพของพวกเขาอย่างครอบคลุมทันที ถึงขนาดที่ยังมีคนหยิบมีดออกมาตัดหนังหุ้มเบาะบนรถ ตรวจดูว่าข้างในมีวัตถุอันตรายหรือไม่
หลังจากการตรวจสอบละเอียดพวกนี้ บอดี้การ์ดของตระกูลจินไดหยิบอุปกรณ์หนึ่งชิ้นออกมาจากรถออฟโร้ดสีดำ เริ่มทำการสแกนถังน้ำมันและยางรถยนต์ของปิคอัพสองคัน
ถัดจากนั้น มีคนหยิบเครื่องตรวจประเภทมือถือ ทำการสแกนพวกฉินเฉิงทุกคนไปทีละคน
ตอนที่ถึงตาเด็กสาวอย่างฉินอี่อี่ อีกฝ่ายถึงกับมีบอดี้การ์ดหญิงโดยเฉพาะมาตรวจค้นร่างกายหนึ่งต่อหนึ่งด้วย
จนกระทั่งหลังจากอีกฝ่ายแน่ใจว่าหาอาวุธทั้งหมดออกมาแล้วจึงพูดด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรว่า “ขอโทษนะครับ ทำตามขั้นตอน ทุกท่านโปรดอย่าได้ถือสา” อาวุธปืนพวกเราขอเก็บรักษาไว้ชั่วคราว ภายหลังจะคืนดังเดิม ยังมี สิ่งของที่เสียหายพวกเราจะชดใช้ให้ทั้งหมดเลยครับ”
พูดตามจริง ชิ่งเฉินรู้สึกว่าการตรวจค้นนี้เกินจำเป็นมาก ถึงอย่างไรในทีมก็มีคนคนหนึ่งที่สามารถใช้มือเปล่าป่นกระดูกทั้งตัวของคนอื่นอยู่……
คนสิบกว่าคนมาถึงข้างกองไฟ กลับเห็นชายกลางคนสวมชุดกิโมโนคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้พับ ข้างกายเขายังมีเด็กสาวหนึ่งคน กำลังจ้องมองกองไฟอย่างเหม่อลอย
มองอย่างละเอียด บนใบหน้าของอีกฝ่ายถึงกับยังมีคราบน้ำตา
ชายกลางคนเห็นฉินเฉิงกับพวกมาถึง ลุกขึ้นยิ้มแย้มต้อนรับทันที แต่เด็กสาวนั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ขยับเขยื้อน
สีหน้าชายกลางคนเย็นชาขึ้นมา กล่าวกับเด็กสาวว่า “いつまで泣くんだ。 お客さんが来ているんだぞ。 せめて陳氏のエリートと結婚して欲しかった、神代空音の旦那は慶氏のゴミだ、こんな結果でも喜べ。”
ภาษาญี่ปุ่นอีกแล้ว
อีกฝ่ายไม่อยากให้ฉินเฉิงกับพวกฟังว่าพวกเขาพูดอะไรกันอยู่เข้าใจเลย
เพียงแต่ ในพริบตาที่ชายกลางคนพูดนี้ ชิ่งเฉินถึงกับค้นพบว่าครูข้างตัวเลิกคิ้วขึ้นมา
เขาลดเสียงลงถามว่า “ครูครับ ท่านหลังเข้าใจว่าพวกเขาพูดอะไรเหรอครับ”
หลี่ซูถงเหล่มองเขา เอ่ยอย่างชืดชาว่า “เธอไม่ทราบเกี่ยวกับความรอบรู้ของครูเลยสักนิด”
ครั้งนี้ชิ่งเฉินตกตะลึงจริง ๆ “งั้นพวกเขาพูดอะไรครับ”
หลี่ซูถงคิดแล้วกล่าวว่า “ไอ้หนุ่มนี้แนะนำเด็กสาวว่าอย่าร้องไห้ เขาบอกว่าเด็กสาวแต่งให้กับคนชั้นยอดของรุ่นเยาว์ตระกูลเฉิน จินได โซราเนะน่ะแต่งให้กับสวะอย่างเธอ ดังนั้นเด็กสาวก็ไม่มีอะไรให้ร้องไห้ ชีวิตของเธออย่างน้อยก็ดีกว่าจินได โซราเนะ”
ชิ่งเฉินตะลึงงัน ที่แท้เด็กสาวร้องไห้คร่ำครวญเพราะเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
กลับได้ยินหลี่ซูถงกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า “ไอ้หนุ่มนี้บอกว่านักเรียนฉันเป็นสวะ ยังไงฉันฆ่าพวกมันให้เหี้ยนเลยเถอะนะ”
ชิ่งเฉินนิงอึ้งไร้วาจา พูดในใจว่าคุณครูสรุปว่าฟังเข้าใจหรือเปล่าเนี่ย ฟังเข้าใจจริง ๆ หรือว่าหลอกอำคนอยู่ที่นี่กันนะ?
ขณะนี้เด็กสาวก็ปาดน้ำตาลุกขึ้นแล้ว
ชายกลางคนนั้นมองไปทางทุกคนแล้วเอ่ยแนะนำตัวเองว่า “สายันต์สวัสดิ์ครับทุกท่าน ผมชื่อจินได โจสุเกะ พบกันครั้งแรกยินดีที่ได้พบมาก ๆ ครับ”
ฉินเฉิงไม่เคยเห็นงานใหญ่ชนิดนี้เลย รีบกล่าวว่า “เกรงใจครับท่าน ๆ พวกเราผ่านทางมาเท่านั้นเองครับ”
จินได โจสุเกะกล่าวว่า “อยากจะขอถามสักหน่อย ทุกท่านนี่อยากจะไปที่ไหนเหรอครับ”
ฉินเฉิงตอบอย่างสุภาพว่า “พวกเราได้รับภารกิจหาแร้งฟานซานและลิงขนหกแขนครับ ที่ทิศเหนือหาไม่เจอ ได้แต่ลงมาเสี่ยงดวงที่ทิศใต้”
ณ ขณะนี้เอง สมาชิกตระกูลจินไดในสูทดำคนหนึ่งเดินเข้ามา พวกเขาคล้ายกับจะตรวจสอบปิคอัพเสร็จแล้ว ยืนยันว่าพวกเขาเป็นเพียงนักล่าธรรมดา ไม่ได้มีสถานะพิเศษ ฆ่าได้
จินได โจสุเกะพิจารณาน้ำเสียงแล้วกล่าวว่า “เพราะว่าพวกเราเปลี่ยนแผนการเดินทางกะทันหัน ดังนั้นเพื่อไม่ให้ภายนอกรู้ร่องรอยของพวกเรา ได้แต่ขอให้ทุกท่านอยู่ที่นี้ไปตลอดกาลแล้ว”
หลี่ซูถงลดเสียงกล่าวกับชิ่งเฉินว่า “ฉันแปลให้เธอหน่อยนะ ความหมายของประโยคนี้ของเขาคือ เขาอยากตายที่นี่”
ชิ่งเฉินตกตะลึง “ครูครับ ประโยคนี้เป็นภาษาจีน ผมฟังเข้าใจนะครับ ไม่ต้องแปล”
แถมคนเขาก็ไม่ได้หมายความอย่างนี้ด้วย!
ตอนนี้ ชิ่งเฉินระแวงกว่าประโยคก่อนหน้าก็เป็นครูหลอกอำเขาแล้ว!
ยังไม่ทันที่หลี่ซูถงจะพูดอะไรอีก กลับได้ยินว่านอกทางภูเขาเกิดเสียงเครื่องยนต์คำรามดังขึ้นมาอีก แล้วยังมีเสียงดนตรีแสบแก้วหู
………………………………………..
ตอนหน้า อีเวนต์สุดท้ายก่อนคืนกลับ 5555