ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2134 หนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์
คิดไม่ถึงว่าคนที่เขาเชิญมานั้นจะถูกฝ่ายตรงข้ามจัดการปางตายขนาดนี้!
อีกฝ่ายมีปรมาจารย์ค่ายกลอยู่ด้วยจริง ๆ ส่วนปรมาจารย์พิษ นอกจากมู่เฉินซีจะมีพรสวรรค์ในการกลั่นยาอย่างวิปลาสแล้ว ยังมีพรสวรรค์ในการกลั่นพิษที่ไม่น้อยไปกว่าปรมาจารย์พิษเลยแม้แต่น้อยอีกด้วย
“ถอย! รีบถอยเร็วเข้า!”
เมื่อเขาเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก จึงคิดว่าควรหนีไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า
“ขวางพวกเขาเอาไว้ อย่าปล่อยให้หนีไปได้แม้แต่คนเดียว” ว่านซือเยี่ยนออกคำสั่งอย่างไร้ความปราณี
“ขอรับ!”
ในเมื่อพวกเขาเหล่านี้กล้าที่จะล่วงเกินเขา และเขาก็ไม่ใช่คนที่ใจกว้างขนาดนั้น ฉะนั้นเจ้าพวกคนเหล่านี้จะต้องตายอย่างแน่นอนอยู่แล้ว!
พรวด พรวด พรวด!
มู่เฉียนซีและอากุ่ยจัดการคนอื่นอย่างรวดเร็วฉับไว ส่วนคนของว่านซือเยี่ยนก็ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วเช่นกัน
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “คนเหล่านี้เป็นใครกัน? ถึงได้กล้ามาปล้นแม้กระทั่งเจ้า”
“เป็นเพียงแค่กลุ่มคนชั่วช้าสามานย์ที่มีความสามารถเพียงเล็กน้อย ที่อาศัยการปล้นทรัพย์สมบัติในการสร้างความรุ่งเรืองโดยเฉพาะ และในเมื่อวันนี้พวกเขามารนหาที่ตายเอง ข้าเลยถือโอกาสจัดการให้เรียบร้อยไปเสียเลย” ว่านซือเยี่ยนกล่าวอย่างเมินเฉย
“นายน้อยว่านซื่อ! นายน้อยว่านซื่อขอรับ! ข้าไม่เหมือนกับกลุ่มคนพวกนี้ พวกเขาเพียงแค่เชิญข้ามาเท่านั้น โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด!”
“ข้าด้วย ข้าก็ด้วย!”
คนอื่น ๆ ถูกจัดการไปแล้ว ส่วนปรมาจารย์ค่ายกลและปรมาจารย์พิษก็เริ่มร้องขอความเมตตาอย่างอย่างโหยหวน
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าฝากเจ้าหมอนี่ให้เจ้าเป็นคนจัดการก็แล้วกัน”
อากุ่ยกล่าวว่า “สำเร็จแล้ว ๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เศษภาพ แต่หากค้นคว้าเพียงเล็กน้อยก็หาเบาะแสได้บ้างแล้ว เช่นนั้นข้าขอเอาสองคนนี้ไปทำการทดลองก่อนก็แล้วกันนะ!”
ปรมาจารย์พิษผู้นั้นยังไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ทว่าปรมาจารย์ค่ายกลกลับตกใจกลัวจนหมดสติไปก่อนแล้ว
ภาพค่ายกลของค่ายกลขั้นเทวะนั้น มีอันตรายเกินกว่าที่จะใช้อย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ เช่นนี้ได้ เพราะหากไม่ระวังพวกเขาจะต้องจบเห่เป็นแน่
และไม่ว่าเขาจะหวาดกลัวมากเพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนความคิดของอากุ่ยได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้อากุ่ยจึงได้เอาภาพของค่ายกลออกมาอย่างรวดเร็ว
“อ๊ากกก!” ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนดังขึ้นมา และหลังจากนั้นพวกเขาก็หายวับไป
ว่านซือเยี่ยนจึงกล่าวถามว่า “คนหายไปไหนแล้วล่ะ?”
“ข้าก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับค่ายกลเช่นนั้นนัก จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง? เพียงแต่หลังจากนี้ถึงพวกเขาจะมีชีวิตรอดกลับมาได้ก็คงไม่มีแรงไปทำร้ายผู้อื่นได้อีกแล้วล่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!”
และว่านซือเยี่ยนก็จัดการคนกลุ่มนี้ไปได้อย่างง่ายดาย
ภายในกลุ่มของพวกเขานั้นต่างมีแต่คนที่วิปลาสทั้งนั้น คนหนึ่งก็ถือว่าเป็นนักปรุงยาที่วิปลาส ส่วนอีกคนก็ยังเป็นปรมาจารย์ค่ายกลที่เป็นเหมือนกับภูตผีก็มิปานอีกด้วย
แล้วทีนี้คนอื่น ๆ ที่แอบเตรียมการลอบโจมตีพวกเขาเหล่านั้น ยังจะกล้าเข้าไปยั่วยุพวกเขาได้อย่างไรกัน?
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเดินทางกลับไปถึงบ้านผีสิงของอากุ่ยได้อย่างราบรื่นเป็นอย่างมาก และว่านซือเยี่ยนก็กล่าวว่า “อากุ่ย เจ้าไปศึกษาค้นคว้าค่ายกลนั่นของเจ้าเสียเถอะ และก็อย่ามาแอบฟังด้วย!”
“น้อมรับคำสั่ง! ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” เมื่อได้รับภาพค่ายกลนั้นแล้ว อากุ่ยก็ดีใจเป็นอย่างมาก จนรีบไปศึกษาค้นคว้าอย่างตั้งอกตั้งใจ และยังไม่สนใจการละเล่นที่โปรดปรานของเขาอีกด้วย
ทันทีที่อากุ่ยจากไป ก็เหลือเพียงแค่มู่เฉียนซีและว่านซือเยี่ยนเพียงแค่สองคนเท่านั้น
จากนั้นว่านซือเยี่ยนก็กล่าวว่า “อากุ่ยเป็นคนที่บริสุทธิ์ที่สุดในหมู่พวกเรา มู่เฉินซี เจ้าอย่าได้ให้ความสนใจต่อเขามากนักเลย หากข้าไม่ได้เอ่ยปาก ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรมากมายแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์หรอก อากุ่ยไม่มีทางทำให้เจ้าสมความปรารถนาได้แน่”
“ใช่! ข้าก็รู้ได้เช่นกัน ว่าอากุ่ยนั้นเป็นคนที่บริสุทธิ์มากเหมือนกับฉงหมิง นอกจากนี้อากุ่ยก็ยังมีเจ้าคอยคุ้มครองอยู่ด้วย ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าเขานั้นไร้เดียงสายิ่งกว่าฉงหมิงเสียอีก! แต่ทว่าข้าเพียงแค่อยากจะมอบของขวัญให้เขาเท่านั้น เจ้าเป็นพ่อค้าจะคิดเล็กคิดน้อยเกี่ยวกับกำไรขาดทุนอะไรก็ค่อย ๆ คิดไปเถอะ! จะได้ทำให้ตนเองเหนื่อยตายไปเลย!”
ว่านซือเยี่ยนกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ทางที่ดีเจ้าพูดความจริงมาดีกว่า มิเช่นนั้นเจ้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่นอน”
“ถึงเจ้าจะดูขี้งกและเย็นชาเพียงใด แต่เจ้าก็ยังให้ความสำคัญกับน้องชายคนนี้มากเลยสินะ! คิดไม่ถึงเลยจริงๆ” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้ากับปี้ฟางเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หลังจากที่เขาตัดสินใจที่จะติดตามข้ามา พวกเราก็หนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์ หนึ่งร่วงล้วนร่วง หากเป็นพวกของชิงหลง ถึงจะโดนหลอกจนตายข้าก็ไม่สนใจหรอก และคงจะปรบมือให้พวกเขาแทนมากกว่า” ว่านซือเยี่ยนกล่าวตอบ
และมู่เฉียนซีก็รู้ดีอยู่แล้วว่า ระหว่างพวกเขานั้นมีความสัมพันธ์แบบแข่งขันกันอยู่
เมื่อเทียบกับพวกของชิงหลงที่ทำงานเพียงลำพังแล้ว เห็นได้ชัดว่าว่านซือเยี่ยนสามารถดึงพันธมิตรมาได้คนหนึ่ง ฉะนั้นมันจึงทำให้เขาได้เปรียบมากยิ่งขึ้นไปอีก
แม้ว่าอากุ่ยจะดูไร้เดียงสา แต่เขากลับเป็นปรมาจารย์ค่ายกลที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง ซึ่งบางเวลาก็มีบทบาทที่สำคัญเป็นอย่างมากเช่นกัน
“เจ้าจะสงสัย หรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้าเถอะ! หลังจากนี้ พวกเรามาคุยเรื่องธุรกิจกันดีกว่า! ข้าคิดว่าเจ้าคงจะไม่พูดกลับไปกลับมาหรอกนะ” มู่เฉียนซีกล่าวกับว่านซือเยี่ยน
“ในเมื่อเจ้าสามารถพิชิตอันดับหนึ่งของหอโอสถว่านฉงมาได้แล้ว ฉะนั้นสมาคมการค้าเฉินซีของข้าก็จะเป็นคนช่วยหอหมอปีศาจในการขยายสาขาไปทั่วทั้งแดนซวนเทียนตามสัญญา เพียงแต่สมาคมการค้าเฉินซีของพวกข้าเป็นเพียงแค่พ่อค้าไม่ใช่เทพพระเจ้า อีกทั้งแดนซวนเทียนนั้นมีอาณาเขตอันกว้างใหญ่ รวมไปถึงกองกำลังหลักต่าง ๆ ล้วนมีความซับซ้อน ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนั้นไม่ได้บอกว่าทำทันทีแล้วจะได้ทันทีหรอกนะ”
“แม้ว่าข้าจะรีบร้อน แต่ข้าก็ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล! และขอเพียงแค่สมาคมการค้าเฉินซีของเจ้าไม่ละเลยหน้าที่ ข้าก็จะไม่มีความคิดเห็นใด ๆ อีก”
และการพูดคุยธุรกิจนี้ของพวกเขาก็ผ่านไปอย่างราบรื่น
มู่เฉินซีได้พิสูจน์แล้วว่าพรสวรรค์ของนางนั้นน่าทึ่งเพียงใด ว่านซือเยี่ยนในฐานะของพ่อค้าที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง แน่นอนว่าจะต้องมองเห็นศักยภาพของนางอยู่แล้ว ฉะนั้นการร่วมมือนี้ไม่มีทางขาดทุนแน่นอน
ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “การพิชิตหอโอสถว่านฉงได้สิ้นสุดลงแล้ว ส่วนอาคารหมอปีศาจที่เมืองเป่ยหวางกำลังจะเปิดกิจการ และเจ้าก็จะต้องไปนั่งสั่งการที่เมืองเป่ยหวางด้วยตนเอง ฉะนั้นพรุ่งนี้ข้าจะส่งคนมารับเจ้า”
“ข้ารู้แล้ว!”
เขาไม่เพียงแต่รีบขับไล่นางให้ออกไปเท่านั้น แต่เจ้าหมอนี่ยังป้องกันไม่ให้นางได้ติดต่อกับอากุ่ยอีกด้วยสินะ!
เพียงแต่การศึกษาค้นคว้าภาพค่ายกลนั้นน่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือนแน่นอน ฉะนั้นนางควรที่จะไปทำงานบ้างได้แล้ว
วันรุ่งขึ้นว่านซือเยี่ยนได้มารับนางด้วยตนเอง ฉะนั้นมู่เฉียนซีจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “การที่เจ้าเอาใจใส่ถึงเพียงนี้ มันทำให้ข้ามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเลยจริง ๆ!”
“มีบางคนบอกว่าเจ้าทั้งฟุ่มเฟือยและใจกว้างมากมิใช่หรือ? หรือว่าค่าเดินทางเพียงเล็กน้อยแค่นี้ก็จ่ายไม่ได้กันล่ะ”
“พูดเช่นนั้นก็ถูก!”
หลังจากนั้นมู่เฉียนซีก็ขึ้นไปบนรถม้าอย่างสงบ ขณะนั้นเองมุมปากของว่านซือเยี่ยนก็ยกขึ้นเล็กน้อย และรอยยิ้มแห่งชัยชนะก็ปรากฏออกมาบนใบหน้า
และเมืองเป่ยหวางนั้น ก็คือเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุดของดินแดนทางทิศเหนือนั่นเอง
เพียงแต่ทันทีที่มู่เฉียนซีมาถึงจุดหมาย นางก็วิ่งลงไปอย่างกะทันหัน จากนั้นก็โบกมือพลางกล่าวว่า “ค่าเดินทางคราวนี้ ติดเอาไว้ก่อนแล้วกัน! บ๊ายบาย!”
สีหน้าของว่านซือเยี่ยนมืดมนลงทันที เขาไม่เคยให้ผู้ใดติดหนี้เขามาก่อนเลยด้วยซ้ำ
แต่ทว่าเขาเองก็ไม่อาจเห็นแก่ค่าเดินทางเพียงเล็กน้อย จนต้องลดเกียรติเพื่อไปไล่ตามเก็บหนี้ได้ ฉะนั้นว่านซือเยี่ยนจึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “กลับสมาคม!”
ตอนนี้เซี่ยซวีก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน และเมื่อเห็นว่ามู่เฉียนซีมาแล้วจึงกล่าวทักทายนางด้วยความเคารพ
“เจ้านาย ท่านกลับมาแล้ว!”
“เตรียมการไปถึงไหนกันแล้ว มารายงานข้าก่อนเถอะ!”
“ขอรับ!”
“การป้องกันของหอหมอปีศาจแต่ละพื้นที่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“มันได้ถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดีตามคำสั่งของเจ้านายแล้วขอรับ”
“……”
ทันทีที่มู่เฉียนซีมาถึงก็งานยุ่งจนหัวหมุนราวกับลูกข่างก็มิปาน และหลังจากที่นางจัดการเรื่องมากมายต่าง ๆ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ทางด้านของโม่ซวนและเสี่ยวเหลิ่งก็ส่งข่าวมาว่าทางนั้นก็เรียบร้อยดีแล้วเช่นกัน
ส่วนอารองก็ยังคงเก็บตัวอยู่ เพราะการที่จะบรรลุไปถึงระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ
เหมือนดั่งเช่นสัตว์ประหลาดโบราณของสำนักเหล่านั้นที่ต่างก็ต้องเก็บตัวกันถึงหลายร้อยหลายพันปีเลยทีเดียว
“มันยังมียาลูกลอนตามความต้องการของตลาดอีกหลายประเภทที่ยังขาดอยู่ ข้าจะไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้! เพราะอย่างไรเสียการต่อสู้หลังจากนี้ มีเป้าหมายต่อไปคือทั่วทั้งราชวงศ์ตงหวง และยังรวมไปถึงแดนซวนเทียนอีกด้วย ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเปิดตัวอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับ! เจ้านาย!”
หลังจากนั้นทางด้านของมู่เฉียนซีก็เริ่มใช้งานหม้อหลุนหุยแห่งความตายเยี่ยงทาส ส่วนอีกด้านก็กลั่นยาลูกกลอนอื่น ๆ ด้วย
ในตอนที่มู่เฉียนซีเตรียมยาลูกกลอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าคนขี้งกอย่างว่านซือเยี่ยนก็ได้ส่งข่าวมาให้
ว่ามีบางคนที่คิดจะลงมือในวันเปิดกิจการของหอหมอปีศาจ
และว่านซือเยี่ยนก็เตรียมที่จะโยนเรื่องนี้ให้นางเป็นคนจัดการ โดยอ้างว่าต้องการที่จะเห็นทักษะทางธุรกิจของนาง เพื่อที่จะรู้จักนางให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นในฐานะของหุ้นส่วนคนหนึ่งของเขา นอกจากนี้เขาก็ไม่อยากที่จะร่วมมือกับคนที่ไม่เป็นโล้เป็นพายอีกด้วย
มู่เฉียนซีกระซิบกระซาบสาปแช่งเขาว่า “นี่เขาเจตนานี่ หากโกรธที่ข้าติดค่าเดินทางก็บอกกันมาตรง ๆ สิ!”