ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2122 ไหม้จนคิ้วโกร๋น
เมื่อรอให้ทุกคนที่ไปพิชิตหอโอสถว่านฉงเข้าไปกันหมดแล้ว ว่านซือเยี่ยนก็ได้พบว่ามู่เฉินซียังไม่เข้าไปเลย
มีคนกล่าวล้อว่า “แม่นางน้อยที่ชื่อว่ามู่เฉินซีผู้นั้น คงจะไม่ได้ถูกสัตว์วิญญาณของหอโอสถว่านฉงคาบไปแล้วหรอกนะ!”
“เขาว่านฉงเป็นสถานที่เช่นใด หรือว่าผู้เฒ่าอย่างพวกเจ้ายังไม่รู้อย่างนั้นหรือ? เดิมทีมันก็ไม่มีสัตว์วิญญาณที่อันตรายอะไรอยู่แล้ว ฉะนั้นแม่นางน้อยผู้นั้นจะถูกคาบไปได้อย่างไร พูดเป็นเรื่องตลกไปได้!”
“……”
นักปรุงยาที่แนะนำโดยคนเหล่านี้ ได้พิชิตไปหลายชั้นติดต่อกันแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้บนใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้ใบหน้าของว่านซือเยี่ยนนิ่งสงบเป็นอย่างมาก ขณะจ้องมองไปยังชั้นที่หนึ่ง และชื่อของมู่เฉินซีก็ยังคงไม่ปรากฏขึ้นบนม้วนภาพเงานั้นเลย
พูดอย่างมั่นใจเสียขนาดนั้นว่าจะต้องเอาคะแนนอันดับหนึ่งมาให้ได้ ผลสุดท้ายแม้แต่หอโอสถว่านฉงก็ยังไม่สามารถขึ้นไปได้เลยด้วยซ้ำ
อย่างนี้นอกจากจะเอาอันดับหนึ่งมาไม่ได้ เกรงว่าน่าจะได้อันดับสุดท้ายเสียมากกว่า
หรือว่าเมื่อคืนนี้ นางจะถูกทรมานมากเกินไปอย่างนั้นหรือ!?
หลังจากที่นอนไปตื่นหนึ่ง เมื่อตื่นขึ้นมามู่เฉียนซีก็ไม่รู้เลยว่าคนอื่นต่างเข้าไปกันหมดแล้ว และนางก็กลายเป็นคนที่อยู่หลังสุดไปเรียบร้อยแล้ว
มู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาบนต้นไม้เก่าแก่ที่มีอายุนับพันปีต้นหนึ่ง นางยืดตัวด้วยความเกียจคร้าน และหลังจากนั้นก็เตรียมออกเดินทาง
แต่หอโอสถว่านฉงในเวลานี้ใกล้ที่จะปิดลงแล้ว นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
ว่านซือเยี่ยนลุกยืนขึ้น เตรียมที่จะไปหาผู้พิทักษ์อาวุโสของเขาว่านฉงเพื่อสอบถามดูสักหน่อย ว่าอันที่จริงมู่เฉินซีไปตายอยู่ที่ไหนแล้วกันแน่
เขาไม่ได้มีเวลาว่างมากพอที่จะมาสนใจความเป็นความตายของมู่เฉินซี
แต่ทว่า หากนางตาย ที่สมาคมการค้าเฉินซีของเขาได้ลงทุนไปกับหอหมอปีศาจมากมายก่อนหน้านี้ อาจจะต้องเสียเงินเปล่า และขาดทุนก้อนใหญ่ก็เป็นได้
มู่เฉินซีจะพิชิตหอโอสถว่านฉงด้วยคะแนนที่ย่ำแย่มากเพียงใดก็ย่อมได้ แต่ว่านางจะตายอยู่ที่นั่นไม่ได้เป็นอันขาด
ทันทีที่ว่านซือเยี่ยนออกไป เขาก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารในทันที คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนกล้ามาลอบสังหารเขาที่นี่เช่นนี้ ช่างรนหาที่ตายนัก!
แสงสีแดงสว่างวาบผ่านไป และลูกบอลเพลิงก็พุ่งเข้าจู่โจมเขาจากทั่วทุกทิศทาง
ปัง ปัง ปัง!
ว่านซือเยี่ยนหลบหลีกอย่างรวดเร็ว แต่ผลปรากฏว่ามีเปลวเพลิงพุ่งมาทางด้านข้างของเขาอย่างรุนแรง
พรึ่บบ!
ว่านซือเยี่ยนไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไร แต่ทว่าเปลวเพลิงลูกนี้ได้เผาผมส่วนใหญ่ของเขา และหลังจากนั้นก็ไหม้คิ้วของเขาจนโกร๋นไปหมดแล้ว
“คุณชาย!”
อีกฝ่ายลงมือได้รวดเร็วมากเกินไป มันจึงทำให้องครักษ์ของเขาเพิ่งจะล้อมวงเข้ามาคุ้มครองเขาได้ในตอนนี้
และร่างเงาสีแดงนั้นก็หายวับไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบก็มิปาน ซึ่งทำให้ว่านซือเยี่ยนเห็นเพียงแค่หางหมูสีแดงก่ำเท่านั้น
“เจ้านายของข้าบอกว่า ให้เจ้ารับดอกเบี้ยไปก่อน! ส่วนบัญชีที่เหลือ รอนางมาออกมาค่อยมาคิดบัญชีอีกครั้ง!”
กล้าเอาเจ้านายไปทิ้งไว้ในบ้านผีสิงเพื่อทำให้นางตกใจกลัว แค่เผาคิ้วของเขาก็ถือว่าเบามากแล้ว นี่ไม่ได้เผาผมของเขา และทำให้เขากลายเป็นคนหัวโล้นก็ถือว่าโชคดีมากเท่าไรแล้ว!
“มู่เฉินซี!” ว่านซือเยี่ยนพ่นสามคำนั้นออกมาพร้อมขบฟันแน่น เขารู้แล้วว่าคนที่ลอบโจมตีเขาเป็นผู้ใดกันแน่ และมันก็คือสัตว์พันธสัญญาของมู่เฉินซีตัวนั้นนั่นเอง
คิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะทิ้งอุบายเอาไว้ ด้วยการให้สัตว์พันธสัญญาของนางมาลอบโจมตีเขาเช่นนี้ ช่างดีเหลือเกินจริง ๆ!
“นายน้อย ต้องการไล่ตามไหมขอรับ?”
“ในเมื่อสัตว์เทพระดับสองคิดจะหนี แล้วพวกเจ้าจะไล่ทันได้อย่างไรกัน”
ดังนั้นว่านซือเยี่ยนจึงเลือกที่จะกลับเข้าไปอีกครั้ง นางยังมีเวลาว่างมากพอที่จะเตรียมให้สัตว์พันธสัญญาให้มาลอบโจมตีเขาได้ ดูท่าแล้วเมื่อคืนมู่เฉินซีคงไม่ได้มีชีวิตมาอย่างเลวร้ายเกินไปสินะ
เพียงแต่ หลังจากนั้นไม่นาน...
“นายน้อยว่านซื่อ เหตุใดคิ้วของท่านถึงหายไปได้ล่ะขอรับ?”
“แล้วยังมีผมของท่านอีก!”
“ผู้ใดเป็นคนทำกัน? คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าทำกับนายน้อยว่านซื่อเช่นนี้”
แต่ละคนต่างจ้องมองไปทางว่านซือเยี่ยนอย่างแปลกประหลาด ซึ่งมันก็ทำให้ว่านซือเยี่ยนอึดอัดใจอยู่ไม่น้อยเลย
หลังจากนั้นเขาก็หยิบเอาผ้าคาดศรีษะที่กว้างมากพออันหนึ่งออกมาจากแหวนมิติของเขาอย่างใจเย็น ซึ่งมันก็สามารถปกปิดคิ้วของเขาเอาไว้ได้พอดี และดูไม่แปลกขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว
“เอ๋! มู่เฉินซีคนนั้นขึ้นไปแล้ว”
“คิดไม่ถึงว่าจะพุ่งทะยานขึ้นไปในวินาทีสุดท้ายเช่นนี้ ช่างบังเอิญจริง ๆ เลย!”
“……”
ถึงเวลาในการเปิดหอนั้นจะมีจำกัด แต่ทว่าเวลาที่อยู่ข้างในนั้น กลับขึ้นอยู่กับความสามารถ
เวลานี้มู่เฉียนซีได้ผลักประตูไม้ที่แกะลายฉลุบานนั้นออก และทันใดนั้นก็มีพลังจิตวิญญาณพุ่งปะทะเข้ามาที่ใบหน้า ซึ่งที่นี่ก็คือชั้นหนึ่งของหอโอสถว่านฉงนั่นเอง
และสิ่งที่ต้องทดสอบในชั้นแรกแห่งนี้ก็คือพลังจิตวิญญาณ
หากไม่มีพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งพอ ก็จะไม่สามารถกลายเป็นนักปรุงยาได้อยู่แล้ว
ทั้งสิบชั้นติดต่อกันนั้นล้วนเป็นการทดสอบพลังจิตวิญญาณ ซึ่งมู่เฉียนซีเพียงหลับตาก็สามารถผ่านด่านไปได้อย่างง่ายดายแล้ว
และสิ่งนี้ก็ทำให้คนกลุ่มหนึ่งตกตะลึงจนพูดไม่ออก “มู่เฉินซีผ่านไปถึงชั้นที่สิบแล้ว!”
“มีอะไรผิดพลาดหรือไม่ นางใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวก็สามารถไปถึงชั้นที่สิบได้แล้วอย่างนั้นหรือ!?”
“มันเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับม้วนภาพเงาหรือไม่!”
และสิ่งนี้ก็ได้ดึงดูดความสนใจของผู้พิทักษ์แห่งหอโอสถว่านฉงเข้าจนได้ “แน่นอนว่าม้วนภาพเงาของพวกข้าไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว อีกทั้งสิบชั้นแรกยังเป็นเพียงการทดสอบพลังจิตวิญญาเท่านั้น และนี่ก็แสดงว่าพลังจิตวิญญาณของแม่นางน้อยผู้นี้แข็งแกร่งถึงระดับที่ทำให้หอโอสถว่านฉงปล่อยให้นางผ่านไปได้สิบชั้นอย่างง่ายดาย เพียงเท่านี้ก็เห็นได้แล้วว่าแม่นางน้อยผู้มีระดับเป็นถึงนักปรุงยาขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว”
“ขั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ มู่เฉินซีจากหอหมอปีศาจผู้นั้นมีอายุเท่าไรกันแน่?”
“นักปรุงยาของหอโอสถว่านฉงก่อนอายุครบร้อยปีต่างก็สามารถผ่านด่านได้แล้ว และการที่จะบรรลุไปถึงระดับนักปรุงยาขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องมีอายุมากกว่าสามสิบขึ้นไป!”
“นายน้อยว่านซื่อ…” พวกเขาต่างพากันมองไปที่ว่านซือเยี่ยน
“ข้าก็ไม่แน่ใจเช่นกัน บางทีนางอาจจะเป็นแม่มดเฒ่าผู้ชั่วร้ายก็ได้!” ว่านซือเยี่ยนนั้นยังคงกรุ่นโกรธอยู่ ดังนั้นจึงได้มีน้ำเสียงที่ไม่ดีเท่าไรนัก
“นักปรุงยาที่แนะนำโดยสมาคมการค้าเฉินซีเป็นนักปรุงยาอายุน้อยที่มีพรสวรรค์และมีศักยภาพสูงมาก ฉะนั้นนายน้อยว่านซื่อโปรดอย่าล้อเล่นไปนักเลย”
เมื่อตอนที่มาถึงชั้นที่สิบเอ็ด มู่เฉียนซีก็มาถึงห้องปรุงยาห้องหนึ่ง ซึ่งภายในห้องนั้นก็มีมนุษย์อยู่คนหนึ่ง
ควรจะกล่าวว่าไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
และในตอนที่มู่เฉียนซีมาถึง นางก็ได้หยิบเอาหม้อปรุงยาออกมา ซึ่งดูเหมือนว่าพร้อมที่จะปรุงยาแล้ว
มู่เฉียนซีได้รับคำใบ้ว่า นางจำเป็นที่จะต้องกลั่นยาให้เหมือนกับภาพลวงตานี้ อีกทั้งยาที่กลั่นออกมาจะต้องดีกว่าของเขาถึงจะสามารถผ่านขึ้นไปยังชั้นถัดไปได้อีกด้วย
มันไม่มีสูตรยา และคำใบ้เดียวก็คือต้องสามารถมองสมุนไพรวิญญาณที่ภาพลวงตานั้นหยิบออกมาให้ออกให้ได้
นางระบุสมุนไพรวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังสามารถคาดเดาปริมาณและสูตรยาออกอีกด้วย หลังจากนั้นนางก็กลั่นยาลูกกลอนที่ดีกว่ามันออกมาได้ภายในเวลาไล่เลี่ยกัน
และหากช้ากว่านี้อีกก้าวหนึ่ง อาจจะทำให้ต้องตกรอบไปเลยก็เป็นได้
นี่ก็เป็นเพียงแค่ชั้นที่สิบเอ็ดเท่านั้น แต่กลับมีระดับที่ยากถึงเพียงนี้แล้ว มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบหม้อเทพปาฮวางชิงมู่ออกมา และเริ่มกลั่นยา
ความเร็วของมู่เฉียนซีเร็วกว่าอีกฝ่ายมาก นอกจากนี้ยังไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายกลั่นยาจนเสร็จ เพราะขอเพียงแค่ยาลูกกลอนที่มู่เฉียนซีกลั่นออกมาเหมือนกับการทดสอบในครั้งนี้ และมีระดับที่สูงกว่าอีกฝ่ายตามที่คาดการณ์เอาไว้ หอโอสถว่านฉงก็ยอมปล่อยให้ผ่านด่านแล้ว
เมื่อไปถึงชั้นที่สิบเอ็ด ผู้คนก็ค้นพบว่าความเร็วของมู่เฉียนซีนั้นเปลี่ยนเป็นช้าลง ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว
แต่ทว่าเมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง พวกเขาก็ค้นพบว่ามันไม่ได้ช้าไปมากขนาดนั้น
แน่นอนว่าผู้พิทักษ์ของหอโอสถว่านฉงต่างก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวางเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าคนที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้นั้น แสดงว่าอีกฝ่ายนั้นมีความสามารถสูงมากเพียงใด
“ช่างเป็นต้นกล้าที่ดีงามจริง ๆ!” เขากล่าวพลางลูบเคราไปด้วย
ชั้นที่สิบสอง คู่ต่อสู้ของนางนั้นมีถึงสองคน และทั้งสองคนนั้นก็กลั่นยาลูกกลอนชนิดเดียวกัน แต่ทว่าทั้งคุณภาพและปริมาณล้วนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งนี่ก็แสดงว่ามู่เฉียนซีจำเป็นที่จะต้องทำให้ดีกว่าพวกเขา และยังต้องเร็วกว่าพวกเขาอีกด้วย!
ทุกครั้งที่ขึ้นไปหนึ่งชั้น จำนวนคนก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และแม้จะมีจำนวนคนมากเพียงใด แต่ก็ไม่ได้สร้างความกดดันต่อมู่เฉียนซีมากนัก ซึ่งด้วยเหตุนี้จึงทำให้มู่เฉียนซีพิชิตผ่านไปจนถึงชั้นที่ยี่สิบได้อย่างราบรื่น
ซึ่งก็นำหน้าไปไกลมากแล้ว!
ต้องรู้ว่าด้วยถึงจะเข้ามาเร็วที่สุด แต่ตอนนี้คนที่ไต่อันดับเร็วที่สุดก็ยังอยู่แค่ชั้นที่สิบเจ็ดเท่านั้น!