ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2120 หลงเข้าไปในบ้านผีสิง
เมื่อว่านซือเยี่ยนใจกว้างขึ้นมาอย่างกะทันหัน แน่นอนว่ามู่เฉียนซีต้องระแวงขึ้นมาอยู่แล้ว
แต่เมื่อมาถึงบ้านพักหลังใหญ่หลังหนึ่ง มันกลับเกินความคาดหมายของมู่เฉียนซีไปมาก
ลานบ้านหลังนี้มีขนาดใหญ่ และสะอาดสะอ้าน อีกทั้งมันยังดูมีเอกลักษณ์มากอีกด้วย
“ยินดีต้อนรับขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านมู่”
มีชายหนุ่มรูปหล่อกับสาวงามกลุ่มหนึ่ง ยืนรอมู่เฉียนซีอยู่หน้าประตูทางเข้า
มู่เฉียนซีตะลึงงันไปครู่หนึ่ง แต่มันก็ให้ความรู้สึกที่ไม่เลวเท่าไรนัก นี่นางกำลังใช้ความคิดที่ต่ำช้ามาคาดเดาจิตใจของวิญญูชนอยู่อย่างนั้นหรือ?
“แม่นางมู่ พวกข้ามาส่งท่านถึงที่แล้ว เช่นนั้นวันนี้แม่นางมู่ก็พักผ่อนเถิดขอรับ” เมื่อมาส่งคนถึงที่แล้ว พวกเขาก็ล่าถอยออกไปทันที
“ท่านมู่ เชิญด้านในเจ้าค่ะ!”
คุณภาพของหญิงรับใช้และคนรับใช้เหล่านี้สูงมากเลยทีเดียว แน่นอนว่าพวกนางมีมารยาทในการต้อนรับแขกชั้นสูง อีกทั้งยังมีอาหารที่รสชาติยอดเยี่ยมอีกด้วย
มู่เฉียนซีรู้สึกพึงพอใจมากจนต้องบ่นพึมพำออกมาว่า “หรือว่าเจ้าคนขี้เหนียวนั่นจะมีช่วงที่ใจกว้างอยู่เหมือนกัน!”
แต่มู่เฉียนซีกลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่า เมื่อบรรดาคนที่มาส่งนางจนถึงที่นี่เหล่านั้นอยู่ห่างจากสถานแห่งนั้นแล้ว ก็เริ่มพูดคุยกันขึ้นมา
“เจ้าว่าระหว่างคุณชายกับแม่นางมู่มีความแค้นอะไรกัน! คิดไม่ถึงเลยว่าจะวางแผนให้แม่นางมู่ไปอยู่ในสถานที่แบบนั้นได้?”
“ใช่แล้ว! ต้องรู้ว่าบ้านผีสิงแห่งนั้นมีชื่อเสียงมากที่สุดในดินแดนทางทิศเหนือของราชวงศ์ตงหวงแล้ว! ถึงจะให้อยู่โดยไม่เก็บเงินก็ไม่มีผู้ใดกล้าไปหรอก!”
“นี่คุณชายตั้งใจจะทำให้แม่นางหวาดกลัว และหลังจากนั้นค่อยกลายเป็นวีรบุรุษมาช่วยสาวงามอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ทำอย่างกับเพิ่งติดตามคุณชายมาวันแรกอย่างนั้นแหละ ในสายตาของคุณชายไม่ว่าหญิงสาวจะงดงามเพียงใดก็มีคุณค่าสู้แกนวิญญาณของสัตว์วิญญาณระดับหนึ่งเม็ดนึงไม่ได้หรอก”
แน่นอนว่า มู่เฉียนซีไม่ได้รู้คำวิจารณ์ของพวกเขาอยู่แล้ว อีกทั้งยังเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่มีต่อคนขี้งกอย่างว่านซือเยี่ยนไปแล้วอีกด้วย
หลังจากที่พระอาทิตย์ตกดิน มู่เฉียนซีก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายโดยรอบที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน มันไม่มีจิตสังหาร แต่กลับมีพลังงานที่เย็นยะเยือกจนทำให้คนต้องรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาแทน
เมื่อมู่เฉียนซีสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ และเมื่อเปิดประตูออกไปดู ก็ค้นพบว่ามีหมอกควันลอยเคว้งอยู่ทั่วทุกหนแห่ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่คร่ำครวญยิ่งดังลอยออกมาจากระยะไกล
เงาของต้นไม้แกว่งไปแกว่งมารอบบริเวณ ดูราวกับว่าได้ซ่อนวิญญาณของคนตายที่สถิตย์อยู่ในภพนี้จำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ ซึ่งเหมือนกับว่ามันกำลังจะพุ่งทะยานออกมา และต้องการที่จะกลืนกินนางเข้าไป
ทันใดนั้นมู่เฉียนซีก็รู้สึกว่าตนเองกำลังตกอยู่ในฉากของหนังสยองขวัญอย่างกะทันหัน ซึ่งนี่มันแตกต่างจากภาพในตอนกลางวันอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว
“ฮืออออออ!”
“อ๊ากกก ย๊ากกก...”
“……”
เสียงอันน่าขนลุกทั้งหลายหลอมรวมกันมาในคราวเดียว จนมันสามารถเอาไปทำการแสดงการขับร้องได้เลยทีเดียว
หางตาของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ว่านซือเยี่ยนไม่ได้มีเจตนาดีจริง ๆ ด้วยสินะ! ของถูกมักจะไม่ใช่ของดี และนี่มันก็คือบ้านผีสิงชัด ๆ
“เด็ก ๆ!” มู่เฉียนซีตะโกนเรียก
ดูเหมือนว่าเหล่าคนรับใช้ที่ดูให้การต้อนรับอย่างดีเมื่อตอนกลางวันทั้งหมดเหล่านั้น ตอนนี้ราวกับว่าได้หายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
และในสถานที่แห่งนี้ก็เหลือเพียงนางอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น ตอนนี้สามารถพูดได้เลยว่านางกำลังตกที่นั่งลำบากโดยไม่มีคนช่วยเหลือแล้วจริง ๆ
แววตาของมู่เฉียนซีมืดลง ความจริงแล้วว่านซือเยี่ยนประเมินนางต่ำเกินไป
นางคือหมอปีศาจที่สามารถแข่งขันปลิดชีวิตกับราชาแห่งยมโลกได้ ฉะนั้นนางจะกลัวผีน้อยแค่นี้ได้อย่างไร
เพียงแต่ หากมีคนแสร้งทำเป็นผี นางก็จะไม่เกรงใจอย่างแน่นอน หรือหากเป็นผีขึ้นมาจริง ๆ นางก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยเหลือผีตนนั้นออกมา
ร่างสีม่วงอ่อนสว่างวาปขึ้น และมู่เฉียนซีก็พุ่งทะยานออกไป
สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าทั้งหมดได้เปลี่ยนกลายเป็นถนนเส้นเล็ก ๆ ในชนบทที่รกร้างว่างเปล่าอย่างไกลสุดลูกหูลูกตาเส้นหนึ่ง มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย
ไม่มีทาง!
เป็นอย่างที่คาดไว้จริง ๆ!
เวลาที่นางเบื่อ ๆ สมัยตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน ก็เคยไปดูหนังผีมาก่อนเช่นกัน และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมดนี้ ดูเหมือนกับในหนังผีเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีความสมจริงยิ่งกว่าใช้เอฟเฟกต์ 5D เสียอีก นอกจากนี้ยังมีสายลมเย็นยะเยือกที่โชยมาจากที่ที่มืดมิดแห่งนั้นอีกด้วย
หากเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความกล้า ก็คงจะต้องหวาดกลัวจนหมดสติไปแล้วเป็นแน่
แต่ทว่ามู่เฉียนซีเป็นประเภทที่มีความต้านทานทางจิตใจแข็งแกร่งมาก ซึ่งทำให้เมื่อเห็นฉากตรงหน้านี้ นางจึงนิ่งสงบราวกับเป็นแค่คนดูคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ตั้งแต่มาถึงที่นี่ พี่สาวคนนี้ก็ไม่ได้ดูหนังมานานแล้ว ความรู้สึกเช่นนี้กลับให้ความเพลิดเพลินที่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ
“โอ้! ไม่มีแล้วหรือ!”
สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าทั้งหมด เป็นเพียงการฉายภาพในความทรงจำของนาง ซึ่งเป็นเพียงแค่เศษเสี่ยวเดียวเท่านั้น ฉะนั้นมันจึงได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
มู่เฉียนซีเดินหน้าต่อไป หลังจากนั้นก็เห็นปากบ่อน้ำแห่งหนึ่ง…
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้นเล็กน้อย และเฝ้ามองว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ซึ่งนี่ก็ไม่อาจทำให้นางหวาดกลัวได้อยู่ดี
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกมากยิ่งขึ้น และมู่เฉียนซีก็มองเห็นปราสาทที่ตั้งอยู่กลางหิมะหลังหนึ่ง
สิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อมู่เฉียนซีมากเท่าไรนัก และหลังจากนั้นช่วงเวลาสำคัญก็ได้มาถึงแล้ว เพราะขณะนี้มีภูตผีปีศาจนานาชนิดทั้งบินและปีนป่ายออกมา พวกมันหมายจะเข้ามาพัวพันกับมู่เฉียนซี
“เกราะพลังวายุ!”
พวกมันนี้ไม่มีร่างจริง ฉะนั่นการป้องกันด้วยพลังวายุจึงไม่สามารถสกัดกั้นมันไว้ได้
พวกมันทำร้ายนางไม่ได้ แต่นางก็ไม่อยากให้สิ่งที่น่าขยะแขยงเหล่านี้มาสัมผัสนางเช่นกัน ฉะนั้นมู่เฉียนซีเลยหนีไป
แต่ไม่ว่านางจะหนีไปอย่างไร ต่างก็กลับมายังตำแหน่งเดิมอยู่ดี
มู่เฉียนซีบ่นพึมพำว่า “ผีอำอย่างนั้นหรือ?”
พลังจิตวิญญาณแผ่กระจายออกไป มู่เฉียนซีต้องการที่จะหาทางออก แต่ทว่ายิ่งเดิน มันกลับยิ่งหาทางออกยากขึ้นไปทุกที
“น่ารำคาญจริง ๆ นี่ไม่คิดจะปล่อยให้ข้านอนพักดี ๆ เลยหรืออย่างไร” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างโกรธเคืองเล็กน้อย
ถึงพลังธาตุวายุจะพัดโหมกระหน่ำไปทั่วทุกที่ แต่นางก็ยังคงถูกขังเอาไว้อยู่ดี
“กำลังถูกจอมภูตพลังธาตุมิติก่อกวนอยู่อย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่…ไม่เหมือน...”
มู่เฉียนซีหลบหลีกภูตผีปีศาจเหล่านี้ไปด้วย และคิดหาหนทางไปด้วย โชคยังดีที่นางมีความรวดเร็วพอ มิเช่นนั้นหากถูกเจ้าสิ่งนี้เข้ามาพัวพัน นางจะต้องคลื่นไส้ตายเป็นแน่
“เป็นค่ายกลสินะ!”
หลังจากที่วนไปวนมาอยู่ท่ามกลางการโดนผีอำครู่หนึ่ง ในที่สุดมู่เฉียนซีก็รู้แล้วว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่
“เสี่ยวโม่โม่ อู๋ตี้ เสี่ยวหง! ไปสำรวจเส้นทางให้ข้าที!”
ในบรรดาการปรุงยา หลอมอาวุธ และค่ายกล สิ่งที่นางไม่ถนัดมากที่สุดก็คือค่ายกลนี่แหละ ดังนั้นมู่เฉียนซีจึงทำได้เพียงเรียกสหายตัวน้อยออกมาช่วยเหลือเท่านั้น
เสี่ยวโม่โม่ถูกทำให้ตกใจทันที เมื่อมันได้เห็นสิ่งที่แปลกประหลาดที่อยู่เบื้องหน้าเหล่านี้
“นายท่าน นี่มันคือตัวอะไรหรือเจ้าคะ?”
“ข้าจะเผาพวกเจ้าให้ตายเลย นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย!” เสี่ยวหงปล่อยเปลวเพลิงลูกหนึ่งออกไป
แต่พวกมันที่ถูกเปลวเพลิงแผดเผากลับพุ่งทะยานออกมาจากเปลวเพลิงอีกครั้ง หลังจากนั้นมู่เฉียนซีจึงกล่าวว่า “อย่ามัวสิ้นเปลืองพลังงานไปกับพวกมันเลย นี่คือภาพลวงตาที่ค่ายกลนี้สร้างออกมาเท่านั้นเอง”
“คิดหาวิธีทำลายค่ายกลนี้กันเถอะ!”
“ขอรับ!”
เสี่ยวโม่โม่รับผิดชอบบนอากาศ เสี่ยวหงรับผิดชอบให้การจุดไฟ ส่วนอู๋ตี้รับผิดชอบในการทำลาย และมู่เฉียนซีก็รับผิดชอบการตรวจจับพลังจิตวิญญาณ หลังจากที่ใช้ความพยายามไปไม่น้อย ในที่สุดก็หนีออกมาได้เสียที
เพียงแต่ ถึงแม้จะออกมาจากค่ายกลนั้นได้แล้ว บ้านหลังใหญ่หลังนี้ก็ยังคงมืดมนอยู่ดี
ต้นไม้เบี้องหน้าสั่นไหวทั้งที่ไม่มีลมเลยแม้แต่น้อย และหลังจากนั้นก็มีร่างที่ขาวตั้งแต่หัวจรดเท้าร่างหนึ่งกระโดดลงมาจากบนต้นไม้ต้นนั้นอย่างกะทันหัน ร่างของเขาบางเบาราวกับกระดาษแผ่นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
บนเท้าของเขานั้นไม่ได้สวมรองเท้าเอาไว้ จากนั้นเขาก็เดินอยู่กลางอากาศอย่างแผ่วเบา และส่งเสียงครวญครางออกมาเบา ๆ ว่า “ข้าเกลียดมาก! เกลียดชังเหลือเกิน!”
สายลมที่เย็นยะเยือกพัดผมสีดำขลับของเขาขึ้นมา และน้ำตาโลหิตก็ไหลรินลงมาจากดวงตาอันว่างเปล่าสีดำสนิทคู่นั้น
เสี่ยวโม่โม่หดตัวให้เล็กลง จากนั้นก็มุดเข้าไปในอ้อมแขนของมู่เฉียนซี พล่างกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า “นายท่าน นะ…นี่มันเหมือนจะเป็นผีจริง ๆ เลย!”
อู๋ตี้และเสี่ยวหงยืนอยู่เบื้องหน้าของมู่เฉียนซี และจ้องมองไปยังผีที่น่าสังเวชตนนั้นอย่างระแวดระวัง
“แม่นางท่านนี้ ไปอยู่เป็นเพื่อนข้าที่สุสานของข้า ดีหรือไม่?”
เขาโบกมือเรียวยาวข้างนั้นเบา ๆ ทว่านั้นกลับไม่มีเลือดฝาดเลยแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีค่อย ๆ เดินเข้าไปช้า ๆ หลังจากนั้นก็เอาพัดวิหคเฟิงหลิงของนางออกมา ‘โป๊ก!’ นางได้พุ่งทะยานออกไปและฟาดพัดวิหคเฟิงหลิงลงไปบนหัวที่เต็มไปด้วยผมอันยุ่งเหยิงนั้นอย่างจัง
“ดึกดื่นออกมาแสร้งทำตัวเป็นผีมันสนุกมากนักหรือ? เจ้าไม่อยากนอน แต่ข้ายังอยากนอนอยู่นะ! รีบปลดค่ายกลของเจ้าออกจากที่นี้ให้หมดเดี๋ยวนี้เลย!”
.