ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2114 เอาเจ้ามาฝึกมือ
ว่านซือเยี่ยนกล่าวถามว่า “เจ้าต้องการอะไรล่ะ?”
“สำหรับคุณชายว่านซื่อแล้วมันเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น! เมืองหลักต่าง ๆ ของดินแดนทางทิศเหนือ รวมไปถึงดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของราชวงศ์ตงหวง ข้าต้องการที่จะเปิดหอหมอปีศาจในตำแหน่งที่ข้าชอบ ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นและเรื่องที่ไม่เป็นระเบียบต่าง ๆ เจ้าจะต้องเป็นคนจัดการ”
ความหมายของมู่เฉียนซีนั้นง่ายดายมาก นางมีหน้าที่เลือกสถานที่ ส่วนว่านซือเยี่ยนก็จะต้องเป็นคนออกหน้าเพื่อเอาพื้นที่นั้นมาให้ได้
หากมีคนปฏิเสธที่จะขาย ก็ต้องให้นายทุนผู้นี้เป็นคนจัดการ และเมื่อทำเช่นนี้ งานของนางก็จะลดลงไปมากเลยทีเดียว
“ข้อเรียกร้องของเจ้าจะไม่มากเกินไปหน่อยหรือ?” พื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้ มีเมืองอยู่ตั้งมากมาย ฉะนั้นราคาที่สมาคมการค้าเฉินซีต้องจ่ายก็ถือได้ว่ามีไม่น้อยเลย
“ก็แค่พื้นที่เท่านั้นเอง ไม่มีสิ่งใดที่ใช้เงินแก้ไขไม่ได้มิใช่หรือ? หากว่าเงินเพียงเท่าหนึ่งจัดการไม่ได้ เช่นนั้นก็ใช้เป็นสองเท่า หรือสามเท่าก็ได้นี่ ต้องรู้ว่าสมาคมการค้าเฉินซีเป็นกองกำลังที่มีเงินมากที่สุดในแดนซวนเทียนแห่งนี้แล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าก็แค่หวังดี อยากจะแก้ไขความตระหนี่ที่เข้ากันไม่ได้ของเจ้าก็เท่านั้น เมื่อไรที่กรีดเลือดออกมามากพอแล้ว เจ้าก็จะคุ้นชินกับมันไปเอง” มู่เฉียนซีจ้องมองไปที่ว่านซือเยี่ยนด้วยเจตนาร้าย
เปลวเพลิงที่ลุกไหม้ภายในใจของว่านซือเยี่ยนตอนนี้น้อยลงแล้ว และดวงตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้นของเขาก็เหลือบมองไปที่มู่เฉียนซีอย่างเรียบเฉย
เขาเตร็ดเตร่อยู่ในกิจการร้านค้ามานานหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าเฉือนเนื้อไปจากเขามากมายเพียงนี้
ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นว่านซือเยี่ยนจึงกัดฟันกล่าวว่า “ตกลง! ข้ารับปากเจ้า บอกหนทางมา”
“ลงนามในสัญญาณก่อน เผื่อเจ้าจะมาเสียใจทีหลัง”
“คิดว่าข้าจะเป็นคนกลับกลอกอย่างนั้นหรือ?”
“นั่นมันก็ไม่แน่นอนหรอก อย่างไรเสียความขี้งกของคนอย่างเจ้าก็ทำให้ข้ารู้สึกแปลกใหม่ได้เสมอ ฉะนั้นข้าจำต้องระวังตัวไว้สักหน่อย”
ถึงว่านซือเยี่ยนจะเป็นคนขี้งกเพียงใด แต่ในฐานะของพ่อค้าคนหนึ่งเขาเป็นคนยึดมั่นในความซื่อสัตย์มาก มิเช่นนั้นไม่ว่าเขาจะมีความเฉียบแหลมทางธุรกิจสูงมากเพียงใด ก็คงไม่อาจมายืนอยู่ในจุดปัจจุบันนี้ได้หรอก
“เอาล่ะ ลงคำมั่นสัญญาเป็นลายลายลักษณ์อักษร ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรจะแน่ใจว่าวิธีของเจ้านั้นมีประโยชน์”
“ข้าไม่ได้พูดว่าต้องมีประโยชน์แน่นอนเสียหน่อย!”
“เจ้า…”
“ทำไมล่ะ? หรือว่านายน้อยว่านซือเยี่ยนจะไม่กล้าอย่างนั้นหรือ? ในเมื่อเจ้าก็ทำธุรกิจเช่นกัน ฉะนั้นเจ้าคงจะไม่กล้ารับประกันหรอกว่า ทุกกิจการไม่ขาดทุนน่ะ!”
ธุรกิจในครั้งนี้ สำหรับว่านซือเยี่ยนแล้วเป็นการขาดทุนครั้งใหญ่จริง ๆ แต่ทว่านี่คือสถานการณ์เร่งด่วน จึงไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
หลังจากที่เขาลงนามในสัญญาแล้วจึงกล่าวว่า “พูดออกมาเร็วเข้า เวลาไม่คอยใครหรอกนะ”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เจ้ารู้สึกว่าเผ่าราชันย์แห่งเหมันต์ประหลาดมากใช่หรือไม่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความสามารถที่แข็งแกร่งเช่นนี้ แต่กลับใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในพื้นที่ตนเองเท่านั้น”
“เดิมทีแล้วเผ่าของพวกเขาก็ไม่สนใจโลกภายนอกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
“เหตุการณ์ที่ปรากฏกับเซี่ยหนิงทั้งหมดนั้น ไม่ใช่ทั้งการโดนยาพิษ และก็ไม่ใช่โรคประหลาดด้วย เจ้าลองเดาดูสิว่ามันคืออะไร?”
“เช่นนั้นแล้วจะสามารถเป็นอะไรได้อีกล่ะ?” ว่านซือเยี่ยนบ่นพึมพำ
“มันคือคำสาป!”
ว่านซือเยี่ยนกล่าวอย่างตกใจว่า “คำสาปหรือ!?”
“เผ่าราชันย์แห่งเหมันต์โดนคำสาปชนิดหนึ่ง คำสาปชนิดนี้เป็นคำสาปที่จะตักตวงเอารากฐานแห่งโชคชะตาของตระกูลไป มันมีชื่อว่าคำสาปลักชะตา และคำสาปชนิดนี้ยังสามารถสืบทอดได้อีกด้วย ซึ่งผู้ใดก็ตามที่มีสายเลือดของเผ่าราชันย์แห่งเหมันต์ก็จะไม่อาจหลีกเลี่ยงมันได้เลย”
“เผ่าราชันย์แห่งเหมันต์มีความสามารถในการควบคุมหุ่นน้ำแข็งอันทรงพลัง ซึ่งมันก็ทำให้มีคนอิจฉาอยู่ไม่น้อย และแม้แต่เผ่าคำสาปเองก็อิจฉาพวกเขาเช่นกัน ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาอยู่ในสภาพนี้ เมื่อถูกคำสาปลักชะตาแล้ว คนในเผ่าก็จะมีอายุได้ไม่เกินยี่สิบปี นอกจากนี้หลังจากที่มีอายุครบสิบปีก็จะต้องได้รับความทรมานจากคำสาปอีกด้วย เจ้าก็เห็นแล้ว คนที่ออกมาในวันนั้น ต่างก็ไม่มีผู้ใดที่อายุที่เกินยี่สิบเลยสักคนเดียว” มู่เฉียนซีค่อย ๆ พูดช้า ๆ
“ข้าไม่ได้มีความสนใจในชะตากรรมอันแสนเศร้าของเผ่าราชันย์แห่งเหมันต์ ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่า ต้องทำเช่นไรถึงจะสามารถหาเซี่ยซวีที่เป็นหัวหน้าเผ่าของพวกเขาเจอ” ว่านซือเยี่ยนกล่าวกับมู่เฉียนซี
“ข้าได้ถามเกี่ยวกับวันที่เซี่ยซวีออกมาจากเผ่าราชันย์แห่งเหมันต์แล้ว ซึ่งมันก็น่าจะตรงกับวันที่คนของเผ่าคำสาปปรากฏตัวขึ้นมาพอดี! เกรงว่าน่าจะเป็นเพราะเขาได้ค้นพบถึงการมีอยู่ของเผ่าคำสาป ฉะนั้นจึงเตรียมตัวที่จะไปหาพวกเขา และอยากที่จะจับพวกเขาไว้ เพื่อให้มาถอนคำสาปให้กับคนภายในเผ่า เพียงแต่เขาก็รู้ดีว่าเผ่าคำสาปนั้นยากที่จะจัดการได้ ดังนั้นเขาจึงได้เอายาขั้นเทวะไปเผื่อไว้ก่อน”
ว่านซือเยี่ยนกล่าวอย่างตื่นตกใจว่า “การปรากฏตัวของเผ่าคำสาปในแดนซวนเทียน เหตุใดข้าถึงยังไม่ได้รับข่าวนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าพูดจาไร้สาระหรอกใช่หรือไม่! ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นการคาดเดาของเจ้าเท่านั้น”
“ข่าวของเผ่าคำสาปถูกคนปกปิดเอาไว้แล้ว เนื่องจากว่าราชวงศ์ตงหวงตั้งใจที่จะปกปิดมัน ฉะนั้นจึงไม่มีทางแพร่งพรายออกมาได้อยู่แล้ว”
“เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรล่ะ?” ว่านซือเยี่ยนใช้สายตาที่พินิจพิเคราะห์จ้องมองไปทางมู่เฉียนซี
ในขณะนี้ เขากำลังสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นคนที่ราชวงศ์ตงหวงส่งมาก็เป็นได้
“เพราะตอนนั้น ข้าก็อยู่ที่นั่นด้วย และก็ได้เจอกับคนของเผ่าคำสาปเช่นกัน” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ
ความคิดในสมองของว่านซือเยี่ยนหมุนเร็วเป็นอย่างมาก เขากล่าวว่า “เป็นเรื่องของสำนักหลินเยว่นั่นหรือ?”
อย่างไรเสียสำนักหลินเยว่ก็เป็นถึงกองกำลังระดับสี่ และว่านซือเยี่ยนก็รู้สึกว่ามันแปลกมากที่ถูกกำจัดไปอย่างอธิบายไม่ได้เช่นนี้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ตรงกับที่ผู้หญิงคนนี้พูดพอดี
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าค่อนข้างฉลาดเลยทีเดียว! มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ”
“ถึงแม้ว่าสิ่งที่เจ้าคาดเดาทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องจริง แต่เจ้าจะทำเช่นไรล่ะ?” ว่านซือเยี่ยนกล่าวถาม
“เรื่องที่ง่ายดายเช่นนี้ ข้าคิดว่าคงไม่ต้องให้ข้าพูดหรอกนะ!”
ว่านซือเยี่ยนเหลือบมองมู่เฉียนซีอย่างเย็นชา หลังจากนั้นก็รีบร้อนออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ว่านซือเยี่ยนก็สั่งการลงไป “บอกให้จูเชว่แพร่ข่าวออกไป ว่าคนของเผ่าคำสาปมาปรากฏตัวอยู่ที่เมืองปิงหวาง”
“ขอรับ!”
มีจูเชว่คอยช่วยกระจ่ายข่าวให้ และหากมีคนมาแอบสอบถามเรื่องข่าวของเผ่าคำสาปเมื่อไร ก็จะต้องได้รับข่าวนี้ด้วยกันทั้งนั้น
และว่านซือเยี่ยนก็เตรียมวางกับดักคนไว้ที่นี่อย่างแน่นหนา ซึ่งหลังจากที่รอให้เขาวางแผนเรียบร้อยแล้ว มู่เฉียนซีก็ไปหาเขาด้วยตนเองแล้วกล่าวว่า “มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาในเมืองปิงหวางในแต่ละวัน แม้ว่าเจ้าจะมีคนคอยจับตาดูอยู่ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะหาเจอได้อย่างรวดเร็ว ฉะนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ จำเป็นที่จะต้องให้ปลาติดเบ็ดเองอย่างนั้นหรือ?”
“หากจะใช้เหยื่อล่อ เช่นนั้นก็จะต้องให้นักเล่นคาถาอาคมลงมือจริง ๆ! แต่ทว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการมีอยู่ของนักเล่นคาถาอาคมในแดนซวนเทียนเลย และถึงแม้ว่าจะมีก็คงจะไม่ยอมฟังคำสั่งของข้าอยู่ดี! นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่สนใจเงินอีกด้วย” ว่านซือเยี่ยนขมวดคิ้วมุ่น
มู่เฉียนซีกล่าวกับเขาว่า “หาบ้านที่มีลานกว้างและมีคนน้อยที่สุด เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะได้รู้เอง ว่าค่าตอบแทนที่เจ้าจ่ายอย่างเจ็บปวดนั้นคุ้มค่ามากเพียงได้”
ว่านซือเยี่ยนได้เตรียมสถานที่ด้วยความรวดเร็ว และหลังจากนั้นมู่เฉียนซีก็เตรียมที่จะฝึกวิชาคำสาปบางอย่าง
คนของเผ่าคำสาปยังคงคอยตามหลอกหลอนอยู่ ไม่เพียงแต่ไม่คิดจะปล่อยท่านย่าไปเท่านั้น แต่ยังจับตาดูอารองอีกด้วย เพราะครั้งนี้มีอาถิงช่วยเหลือถึงสามารถเอาชนะมาได้อย่างหวุดหวิด
ถึงแม้อารองและท่านย่าต่างก็ซ่อนตัวกันหมดแล้ว แต่นางก็ยังไม่กล้าที่จะรับประกันอยู่ดีว่าด้วยวิธีการมากมายของเผ่าคำสาป จะทำให้ไม่สามารถหาอารองเจอได้ บางทีเมื่อถึงเวลาที่ต้องมาเผชิญหน้ากัน นางก็ควรจะต้องมีความชำนาญในวิชาคำสาป เพื่อเตรียมความพร้อมเอาไว้บ้าง
พลังจิตวิญญาณได้กลายเป็นพลังคำสาป และว่านซือเยี่ยนก็กล่าวอย่างตื่นตกใจว่า “เจ้าเป็นคนของเผ่าคำสาปอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่!”
เมื่อนางเอ่ยถึงเผ่าคำสาปขึ้นมา เขาจึงได้ลองไปตรวจสอบกับคัมภีร์โบราณ อย่างไรก็ตามคนเหล่านั้นเป็นเผ่าพันธุ์เก่าแก่ที่มีความหยิ่งผยองสูงมากเผ่าหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนกับคนอย่างมู่เฉินซีแน่นอน
มู่เฉียนซีเหลือบมองไปที่ว่านซือเยี่ยนพลางกล่าวว่า “ข้าเพียงแค่ได้เรียนรู้มาโดยบังเอิญเท่านั้นล่ะ! ยังไม่ได้เชี่ยวชาญมากเท่าไรนัก ฉะนั้นเจ้าอยากจะอุทิศตนเองเพื่อให้ข้าได้ฝึกฝนสักหน่อยหรือไม่?”
ว่านซือเยี่ยนถอยหลังไปหลายสิบก้าว เขารู้ว่าคำสาปมีความอันตรายมาก และหากสัมผัสมันเข้าอาจจะตกอยู่ในดินแดนที่มิอาจหวนคืนได้ไปชั่วนิรันดร์ก็เป็นได้
ในเวลานี้ที่มุมหนึ่งของเมืองปิงหวาง มีชายหนุ่มที่ผิวพรรณขาวผุดผ่องราวหิมะกำลังมองมายังทิศทางหนึ่ง
“เป็นเพลังคำสาป คิดไม่ถึงเลยว่าข่าวนี้จะเป็นเรื่องจริง!” เขาบ่นพึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำ
.