ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2104 มาโดยไม่ได้รับเชิญ
ในฐานะของนักฆ่าคนหนึ่ง เขามีความเชื่อในลางสังหรณ์ของตนเองเป็นอย่างมาก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการจากไปก่อน
มู่เฉียนซีมองไปที่ร่างของพวกเขาที่กำลังออกไปไกลอย่างพูดไม่ออก จากนั้นก็เหลือบมองไปที่เหลิ่งหนิงจือแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวเหลิ่ง เจ้านายของเจ้าน่ากลัวมากเลยอย่างนั้นหรือ? หรือว่าตาเฒ่าพวกนั้นใช้วิชาคำสาปเปลี่ยนข้าเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว เหตุใดเจ้าหมอนั่นถึงหนีไปได้รวดเร็วถึงเพียงนี้”
เหลิ่งหนิงจือกล่าวตอบว่า “เจ้านายก็ไม่ได้น่ากลัวนี่เจ้าคะ?”
มู่เฟิงหลิงกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์งดงามที่สุด เจ้าหนูนั่นไม่มีความกล้าหาญเอาเสียเลย คงจะถูกเจ้าพวกนั้นทำให้หวาดกลัวไปแล้วเป็นแน่! อย่าไปสนใจเขาเลย จากนี้ไปก็อย่าไปสนใจคนเช่นนี้อีก”
ชิงหลงหนีไปอย่างน่าประหลาดใจ มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เสี่ยวเหลิ่ง เจ้าส่งคนไปแจ้งข่าวกับชิงหลง ว่าเรื่องเก็บกวาดมอบให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาด้วย!”
“แต่ก็ต้องขอบคุณเผ่าคำสาป ที่ทำให้เรื่องนี้เก็บกวาดได้ไม่ยุ่งยากมากจนเกินนัก เพราะที่สำนักหลินเยว่ยังคงหลงเหลือพลังคำสาปอยู่มากมาย ฉะนั้นการทำลายล้างสำนักหลินเยว่ในคราวนี้ ก็ให้เผ่าคำสาปเป็นแพะรับบาปไปก็แล้วกัน” มุมปากของมู่เฉียนซีพลันยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้าค่ะ เจ้านาย!”
มู่เฉียนซีกล่าวกับมู่เฟิงหลิงว่า “เช่นนั้นอารอง พวกเรากลับไปพักผ่อนกันเถอะเจ้าค่ะ! อาการบาดเจ็บของท่านมีเพิ่มมาอีกแล้ว!”
“เพราะการปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของเผ่าคำสาป ก็เลย…” มู่เฟิงหลิงกล่าวอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะอย่างไรเสียตอนแรกที่มาเขาก็ได้รับปากกับซีเอ๋อร์ไว้แล้วว่าจะไม่เป็นอะไรอีกเด็ดขาด
“หากไม่ใช่เพราะพวกเขาปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันจนเกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ขึ้น ข้าจะไม่ยอมให้อภัยอารองแน่”
“อารองรู้ว่าซีเอ๋อร์ใจดีกับอารองที่สุดแล้ว”
หลังจากที่พวกเขาล่าถอยไปแล้ว ก็ได้มีคนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นบางคนถูกการเคลื่อนไหวของสำนักหลินเยว่ดึงดูดให้มายังที่แห่งนี้
ผลลัพธ์คือทันทีที่เข้าไปใกล้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
แม้ว่าจะไม่สามารถควบคุมความอยากรู้อยากเห็นได้ แต่พวกเขาก็มีความหวาดกลัวมากกว่าอยู่ดี
“หมดหนทางที่จะเข้าไปดูได้ใกล้กว่านี้แล้ว แต่ก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าไม่มีผู้รอดชีวิตอยู่ในสำนักหลินเยว่เลยแม้แต่คนเดียว”
“โหดเหี้ยม! มันจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว”
“นี่สำนักหลินเยว่ไปทำให้คนแบบไหนขุ่นเคืองใจกันแน่? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าสำนักหลินเยว่มีคนคอยหนุนหลัง คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกทำลายง่ายดายเช่นนี้”
เผ่าคำสาปนั้นมักจะมีตัวตนที่ลึกลับอยู่เสมอ ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าพลังแปลกประหลาดที่ยังหลงเหลืออยู่ในสำนักหลินเยว่เหล่านั้นจะเป็นพลังคำสาป
ทันใดนั้น ร่างเงาสีเงินก็พุ่งตรงมายังสำนักหลินเยว่อย่างรวดเร็วดุจพายุลมกรดอย่างไรอย่างนั้น
กล้ามาทำลายสำนักหลินเยว่ นั่นก็เปรียบเสมือนว่ากำลังยั่วยุฝ่าบาทของพวกเขา และในเวลาเดียวกันก็เหมือนกำลังยั่วยุราชวงศ์ตงหวงอีกด้วย แน่นอนว่าราชวงศ์ตงหวงไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ เป็นแน่
“องครักษ์สีเงินมาแล้ว พวกเราถอยกันก่อนเถอะ! อย่าเกะกะอยู่ที่นี่เลย”
“รีบออกไปกันเถอะ!”
“……”
ในเวลานี้มีคนนำทัพเข้ามาอย่างขึงขัง แต่หลังจากที่มาถึงสำนักหลินเยว่แล้วกลับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขาโบกมือพลางกล่าวว่า “อย่าเข้าไปใกล้! ออกห่างไปหน่อย!”
“ข้าจะรีบกลับไปทูลฝ่าบาท และไปเชิญท่านผู้อาวุโสใหญ่มา พวกเจ้าทั้งหมดรออยู่ที่นี่! และอย่าให้ผู้ใดเข้าไปใกล้ได้”
ตอนนี้เหล่าองครักษ์สีเงินรู้แล้วว่าสำนักหลินเยว่นั้นเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น มิเช่นนั้นก็คงไม่ต้องไปรายงานฝ่าบาทและท่านผู้อาวุธใหญ่อย่างตื่นตระหนกเช่นนี้
ชายชราผมขาวผู้มีใบหน้าที่แดงระเรื่อปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เขากล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “เป็นวิชาคำสาป! มีคนใช้วิชาคำสาปทำลายล้างสำนักหลินเยว่”
“เหตุใดเผ่าคำสาป จึงได้มาปรากฏตัวอยู่ในแดนซวนเทียนได้ พลังของคำสาปในตอนนี้ไม่มีทางทำอันตรายต่อพวกเจ้าได้มากนัก แต่ก็ระวังหน่อย ไปตรวจสอบว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในสำนักหลินเยว่กันแน่ แล้วคนพวกนี้ไปทำให้เผ่าคำสาปขุ่นเคืองได้อย่างไรกัน! เจ้าคนพวกนี้นี่ช่างไร้ความสามารถแล้วยังสร้างปัญหาอีก หากไม่ใช่เพราะฝ่าบาทอยากจะสร้างสำนักขึ้นมาเพื่อความสนุกสนาน ข้าก็คงทำให้พวกเขาหายไปนานแล้ว”
“ขอรับ! ท่านผู้อาวุโสใหญ่”
“ส่วนข้าจะกลับไปรายงานฝ่าบาทเอง”
เผ่าคำสาป มีพลังคำสาปที่ลึกลับเป็นอย่างมาก และพวกเขาก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในแดนซวนเทียนอีกด้วย
หลายพันปีมานี้มีนักเล่นคาถาอาคมเพียงไม่กี่คนที่มาปรากฏตัวยังแดนซวนเทียน แต่พวกเขาก็ไม่ถูกใจสถานที่แห่งนี้เท่าไรนัก นั่นก็เป็นเพราะว่าที่นี่ไม่เอื้อต่อการฝึกฝนของพวกเขาเลย
แม้ราชวงศ์ตงหวงของพวกเขาจะเป็นถึงกองกำลังระดับห้า แต่ถึงจะเป็นกองกำลังระดับเจ็ดก็ยังไม่สามารถเอาชนะเผ่าคำสาปได้อยู่ดี
“อะไรนะ? เผ่าคำสาปเป็นคนทำลายสำนักหลินเยว่ที่หลินหลางสร้างขึ้นอย่างนั้นหรือ! คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะไปยั่วยุเผ่าคำสาปเข้า ช่างรนหาที่ตายนัก” จักรพรรดิตงหวงกล่าวอย่างโกรธเคือง
“เรื่องนี้ไม่เล็กเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวอย่างเคร่งขรึม
“แดนซวนเทียนไม่ใช่อาณาเขตของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะมาถึงแดนซวนเทียนแต่พลังของพวกเขาย่อมอ่อนแอลง แต่ถึงพวกเขาจะทรงพลังมากก็คงไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับราชวงศ์ตงหวงของพวกเราอย่างจริง ๆ หรอก! ถึงจะเป็นอย่างนั้นข้าก็อยากที่จะไปถามเรื่องเกี่ยวกับเผ่าคำสาปกับพระจักรพรรดิสูงสุดในทันที ลองดูว่าจะติดต่อพวกเขาได้หรือไม่ ข้าไม่อยากก่อเรื่องให้มันใหญ่นัก” จักรพรรดิตงหวงกล่าว
“พ่ะย่ะค่ะ! มิมีสิ่งใดดีเท่านี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ผุ้อาวุโสใหญ่กล่าวตอบ
ผลการตรวจสอบขององครักษ์สีเงินออกมาอย่างรวดเร็ว พบว่าคนของสำนักหลินเยว่ได้ถูกวิชาคำสาปปลิดชีพในทันที แต่ทว่าในเวลาเดียวกันก็มียอดฝีมือที่มีพลังอันน่าสะพรึงกลัวมากกว่าได้ต่อสู้กับคนของเผ่าคำสาปด้วย
ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าสำนักหลินเยว่ไม่ได้เป็นคนทำให้เผ่าคำสาปต้องขุ่นเคือง แต่สำนักหลินเยว่เพียงแค่โชคไม่ดีที่ถูกผู้แข็งแกร่งทั้งสองเลือกให้มาเป็นสถานที่ในการต่อสู้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องตายอย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรเสียด้วยความสามารถของคนจากเผ่าคำสาป สามารถทำลายสำนักหลินเยว่ได้อย่างง่ายดายมาก ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างความเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เลย
“คนลึกลับผู้นี้เป็นใครกันแน่นะ? และมีความเป็นไปได้มากกว่าจะต้องไม่ใช่คนของแดนซวนเทียนเป็นแน่” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
หลายต่อหลายครั้งที่ผู้แข็งแกร่งลึกลับปรากฏตัวขึ้นล้วนไม่ทิ้งร่องเลยอะไรไว้ให้พวกเขาเลย และเนื่องจากไม่สามารถควบคุมผู้แข็งแกร่งได้ จึงทำให้ผู้อาวุโสอย่างเขารู้สึกราวกับว่าพายุลูกใหญ่กำลังจะเข้ามา
ข่าวเรื่องที่สำนักหลินเยว่ถูกทำลายได้แพร่กระจายออกไปในวันรุ่งขึ้น แต่ด้วยเหตุผลกลใดนั้น ล้วนถูกปดปิดเอาไว้จนสิ้น
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นความตั้งใจของราชวงศ์ตงหวง ที่ต้องการจะทำให้กองกำลังระดับสี่อย่างสำนักหลินเยว่หายสาบสูญไปอย่างเงียบ ๆ
และเมื่อมู่เฉียนซีได้รับข่าวนี้แล้วจึงกล่าวว่า “ดูเหมือนจะแน่ใจได้แล้วว่าเผ่าคำสาปเป็นคนรับบาปแทน นอกจากนี้ราชวงศ์ตงหวงยังไม่กล้าทำให้เผ่าคำสาปต้องขุ่นเคืองใจอีกด้วย”
ที่มู่เฉียนซีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ นั่นก็เพราะนางสามารถกำจัดลูกสมุนของมู่หลินหลางได้อีกครั้งแล้วนั่นเอง จากนั้นนางก็ได้เตรียมอาหารเลิศรสไว้เต็มโต๊ะเพื่อเฉลิมฉลองกับอารองและพวกของเสี่ยวเหลิ่ง
“ซีซี ข้ารู้สึกว่าข้าจะมาได้ถูกเวลาพอดีเลยนะ! ช่างหอมหวนเหลือเกิน!” น้ำเสียงที่ดูลึกลับชวนให้หลงใหล รูปร่างหน้าตางดงามพราวไปด้วยเสน่ห์ และจูเชว่ก็นั่งลงตรงด้านข้างของมู่เฉียนซีโดยไม่สังเกตสิ่งใดเลย
เมื่อเห็นว่าอีกฝั่งหนึ่งข้างมู่เฉียนซียังมีคนอยู่ จูเชว่จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สวัสดีขอรับอารอง ข้าคือจูเชว่!”
ในฐานะหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง ฉะนั้นเขาต้องรู้เรื่องที่มู่เฉียนซีมีอารองแน่นอนอยู่แล้ว
และมู่เฟิงหลิงก็มองไปทางจูเชว่ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจพลางกล่าวว่า “เจ้าคือสตรีหรือว่าเป็นบุรุษ หากเป็นสตรีก็จงถอยห่างจากซีเอ๋อร์ของข้าไปหนึ่งจั้ง แต่หากเป็นบุรุษแล้วละก็ จงถอยให้ห่างไปสามจั้ง ฉะนั้นจงทำตัวให้เหมาะสม ระวังข้าจะจับเจ้าโยนออกไปเสีย”
จูเชว่กล่าวพลางหัวเราะเริงร่า “หากข้าไม่ใช่ทั้งบุรุษและก็สตรีเล่า เช่นนั้นข้าสามารถสนิทสนมกับซีซีได้หรือไม่!”
หมัดของมู่เฟิงหลิงกำแน่น และเตรียมพร้อมที่จะพุ่งเข้าไปต่อยหน้าปีศาจชุดแดงนั้นอยู่แล้ว
จูเชว่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว จึงทำให้ต้องนั่งยืดตัวตรงอยู่ข้าง ๆ มู่เฉียนซีทันที อารองของซีเอ๋อร์นั้นค่อยข้างน่ากลัวเลยทีเดียว และเขาก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด ซึ่งเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้อยู่แล้ว!
ร่างสีขาวร่างหนึ่งค่อย ๆ เดินเข้ามา จากนั้นจึงกล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “เฉียนซี!”
ไป๋เจ๋อกล่าวทักทายอย่างเป็นปกติเป็นอย่างมาก! แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตที่จ้องมองมาที่เขาอยู่ดี
“ผู้หญิงบ้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่ตายสินะ” ฉงหมิงเดินเข้ามาอย่างไม่ใส่ใจ และนั่งลงโดยไม่สังเกตเห็นสิ่งใดทั้งสิ้น
ขณะนี้จิตสังหารของมู่เฟิงหลิงน่าหวาดกลัวขึ้นไปอีก และคิดอยากที่จะทุบเจ้าพวกแขกที่มาโดยไม่ได้รับเชิญกลุ่มนี้แรง ๆ สักทีจริง ๆ
.
.