ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2103 ข้าขอตัวก่อน
ไม่ได้มีเพียงแค่เจ้าสำนักหลินเยว่เท่านั้น แต่ยังมีคนส่วนใหญ่ของสำนักหลินเยว่ คนของสำนักหลางซิงเหล่านั้น หรือแม้กระทั่งคนของราชวงศ์ตงหวงทั้งหมดเลยด้วย
น่ากลัวเหลือเกิน!
ภายในดวงตาของมู่เฉียนซีฉายแววมืดมนออกมา มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ!
และมีความเป็นไปได้ว่าอวิ๋นซิวก็น่าจะถูกควบคุมโดยวิธีการเช่นนี้เหมือนกัน
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างนิ่งสงบว่า “เจ้ามาค้นพบตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว! ข้าไม่มีทางช่วยเจ้าได้หรอก”
ด้วยฝีมือของตาเฒ่าผู้นั้น ที่ใช้วิชาคำสาปในการบีบบังคับผู้คนให้มาถึงเส้นทางแบ่งระหว่างความเป็นกับความตายนี้ จึงส่งผลให้เจ้าสำนักหลินเยว่สามารถทำลายวิธีการของมู่หลินหลางได้ในที่สุด
ในเมื่อมันสามารถทำลายได้ บางทีหลังจากนี้นางน่าจะลองทำดูบ้าง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! มู่หลินหลาง องค์หญิงมู่หลินหลางผู้สูงศักดิ์ที่สุดแห่งราชวงศ์ตงหวง! เจ้านี่มันช่างดีเสียจริง ๆ! ข้าขอสาปแช่งเจ้า ให้สุดท้ายแล้วเจ้าต้องจบลงอย่างน่าอนาถ ข้าขอสาปแช่งเจ้า…”
เมื่อมาถึงจุดนี้ คนที่เจ้าสำนักหลินเยว่เคียดแค้นมากที่สุดกลับไม่ใช่มู่เฉียนซี และก็ไม่ใช่ตาเฒ่าที่ร่ายวิชาคำสาปผู้นั้นด้วย แต่กลับเป็นมู่หลินหลาง คนที่นางเคยมอบความภักดีให้จนหมดหัวใจ
เจ้าสำนักหลินเยว่กล่าวว่า “ข้าไม่ขอให้เจ้าช่วยชีวิตข้า แต่ข้าขอให้หลังจากที่ข้าตายไปแล้ว เจ้าช่วยลบล้างจิตวิญญาณของข้า อย่าให้ถูกคนผู้นั้นเอาไปใช้ได้ก็พอแล้ว”
ซึ่งก่อนที่มู่เฉียนซีจะทันได้รับปาก เจ้าสำนักหลินเยว่ก็ฆ่าตัวตายไปเสียแล้ว
และตอนนี้มู่เฉียนซีก็สัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัว ขณะเดียวกันภูมิคุ้มกันวิชาคำสาปของนางก็อาจจะทนเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้ว่านางและอารองอาจจะไม่ตาย แต่ก็ต้องบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารอง ที่สามารถถูกวิชาคำสาปเข้ามาพัวพันได้ง่าย เขาจะต้องทุกข์ทรมานมากเป็นแน่
“ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ข้ารับปากเจ้า!”
มู่เฉียนซีได้ควบคุมจิตวิญญาณของเจ้าสำนักหลินเยว่เอาไว้ เพราะอย่างไรเสียก่อนหน้านี้นางก็เป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าขั้นสูงสุดคนหนึ่ง ฉะนั้นพลังจิตวิญญาณของนางจะต้องไม่อ่อนแออยู่แล้ว
ดังนั้นมู่เฉียนซีจึงได้ใช้จิตวิญญาณอื่น ในการร่ายวิชาคำสาปของนาง!
ตูมมม!
พลังคำสาปนั้นยังคงพัดโหมกระหน่ำเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์อย่างไรอย่างนั้น และมู่เฉียนซีก็ถูกปกป้องอยู่ข้างหลังของมู่เฟิงหลิง
หลังจากที่ผ่านไปได้ครู่หนึ่ง พลังคำสาปนั้นก็สลายหายไป
ตาเฒ่าผู้นั้นยืนอยู่ในมิติ และไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ จากนั้นก็จ้องมองไปยังเด็กหนุ่มที่งดงามราวกับภูตก็มิปานผู้นั้นด้วยความตื่นตะลึง
“เป็นไปได้อย่างไร? ข้าจะพ่ายแพ้ให้เจ้าได้อย่างไรกัน”
เวลานี้อาถิงยืนอยู่กลางอากาศ ด้วยสภาพที่เสื้อผ้าหน้าผมยุ่งเหยิงเล็กน้อย ซึ่งทำให้เห็นได้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“เป็นไปได้อย่างไรอย่างนั้นหรือ! เมื่อต้องมาสู้กับข้า เจ้าจะน่าสังเวชก็สมควรแล้ว!”
ทันทีที่อาถิงโบกมือกลางอากาศ แสงสีเขียวอ่อนก็เข้าไปพัวพันตาเฒ่าผู้นั้นเอาไว้ เดิมทีเขาก็เป็นคนแก่มากอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ยิ่งเปลี่ยนเป็นแก่หง่อมขึ้นไปอีก
“นะ…นี่มันคือพลังแห่งกาลเวลา!”
ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และนัยน์ตาของเขาก็หดตัวลงทันที แม้ว่าความตายจะอยู่ตรงหน้า แต่ภายในดวงตาของเขาก็ฉายแววแห่งความละโมบออกมา
“ท่านคือ…ท่านคือเจ้าแห่งกาลเวลาศาลานิรันดร์ หรือก็คือศาลาเรือนรางเก้าชั้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นท่าน…เป็นท่านจริง ๆ…”
พ่ายแพ้ให้กับเขา ก็นับยุติธรรมดีแล้ว!
“แทนที่ท่านจะผูกพันธสัญญากับแม่สาวน้อยผู้นั้น ไม่สู้มาทำกับข้าดีกว่า! ข้าจะต้องนำพาเกียรติอันสูงสุดมาให้ท่านได้อย่างแน่นอน! ท่านจะไม่พิจารณาสักหน่อยเลยหรือ?”
“เจ้าที่เติบโตมามีหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่เช่นนี้ ใครเป็นคนมอบความมั่นใจเช่นนั้นให้เจ้ากัน!”
อาถิงเริ่มรู้สึกว่าเขาเป็นคนน่ารำคาญมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนให้ตาเฒ่าผู้นี้กลายเป็นกระดูกในทันที และเปลี่ยนให้การเป็นผุยผง ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วสำนักหลินเยว่ภายในชั่วพริบตา
กระบวนการของความแก่ชรา ความตาย รวมไปถึงการสึกกร่อนของคนคนหนึ่ง เนื่องจากอาถิงเป็นถึงผู้ควบคุมกาลเวลา เขาจึงสามารถทำให้มู่เฉียนซีได้เห็นกระบวนการเช่นนี้ได้ภายในอึดหายใจเดียวเท่านั้น
ตาเฒ่าผู้นี้หายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว และอาถิงที่อยู่กลางอากาศก็ยืนอย่างไม่มั่นคงเล็กน้อย จนสุดท้ายก็ร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศ
บัดซบเอ้ย! นี่เขากำลังจะล้มหน้าทิ่มจริง ๆ แล้ว เขาคงไม่ถูกหญิงอัปลักษณ์นั่นหัวเราะเยาะจนตายหรอกนะ
แต่ด้วยศักดิ์ศรีของอาถิงผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขา ไม่มีทางที่เขาจะขอความช่วยเหลือจากหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นแน่นอนอยู่แล้ว
“อาถิง!”
ในเมื่อวิกฤตได้รับการจัดการแล้ว มู่เฉียนซีจึงได้ปลดวิชาคำสาปของนางออก และใช้การเคลื่อนย้ายภายในชั่วพริบตาติดต่อกันหลายครั้งเพื่อไปคว้าอาถิงที่กำลังตกลงมาจากกลางอากาศเอาไว้
มู่เฉียนซีร่อนลงมาบนพื้นอย่างแผ่วเบา จากนั้นอาถิงก็เริ่มดิ้นพล่านด้วยความโกรธ
“หญิงอัปลักษณ์ ใครใช้ให้เจ้ามากันฮะ! ยังไม่รีบปล่อยข้าอีก เร็วเข้า…”
เพียงแต่ว่าร่างของเขาในตอนนี้เริ่มโปร่งใสมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ดูเหมือนว่าการดิ้นรนนั้นจะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “อาถิง นี่เจ้า!”
อาถิงกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ก็แค่สู้ไปสู้มาแล้วง่วงเท่านั้นเอง ข้าแค่อยากจะกลับไปนอนสักตื่นเท่านั้น! ทำไมต้องใช้สายตาเช่นนั้นมองข้าด้วยเล่า?”
มู่เฉียนซีรู้ดีว่าตาเฒ่าผู้นั้นยากที่จะรับมือเพียงใด และมันก็ทำให้อาถิงต้องกลับไปจำศีลอีกครั้งจนได้
มู่เฉียนซีกล่าวกับอาถิงด้วยรอยยิ้มว่า “อาถิง เช่นนั้นเจ้าก็ไปนอนสักตื่นเถอะ!”
เมื่อได้จ้องมองรอยยิ้มของมู่เฉียนซีในระยะประชิดเช่นนี้ อาถิงก็หลบสายตาทันที และหลังจากนั้นก็กล่าวว่า “เฮอะ! ไม่ต้องเจอข้าอีกแล้วก็คงจะมีความสุขมากเลยสินะ! ถึงได้ยิ้มอย่างชอบใจขนาดนั้นน่ะ?”
“หลังจากนี้ไปข้าไม่อนุญาตให้เจ้ายิ้มเช่นนี้อีกแล้ว ไม่เห็นจะน่าดูเลยสักนิด เจ้าไม่กลัวตัวเองยิ้มแล้วทำให้คนอื่นตกใจกลัวหรืออย่างไร?”
พลันนั้นรอยยิ้มของมู่เฉียนซีก็แข็งทื่อไปทันที รอยยิ้มของนางทำให้คนตกใจกลัวอย่างนั้นหรือ? มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรืออย่างไรกัน?
ในตอนที่นางอยากที่จะพูดคุยจริง ๆ จังกับเจ้าเด็กบ้าผู้นี้สักหน่อย ร่างของอาถิงก็ได้หายไปแล้ว ถึงเขาจะกลับเข้าไปในมิติพันธสัญญาแล้ว แต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ อาถิงเพียงแค่กลับไปจำศีลธรรมดาเท่านั้นเอง! แม้ว่าจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แต่เพื่อที่จะยกระดับความแข็งแกร่งของเขา ก็จำเป็นที่จะต้องกลับไปจำศีลโดยเร็วอยู่ดี”
มู่เฉียนซีพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “อื้ม! เช่นนั้นข้าจะรอวันที่อาถิงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความแข็งแกร่งที่ก้าวหน้าขึ้น เขาคงจะมีพลังที่ทรงพลังขึ้นด้วยสินะ!”
มู่เฟิงหลิงได้มาหยุดอยู่ข้างกายของมู่เฉียนซี และกล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “จากนี้ไปเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ให้อารองจัดการเถอะ! จะปล่อยให้ซีเอ๋อร์ของข้าไปกอดเจ้าหนูนั่นได้อย่างไรกันล่ะ!”
หากเป็นผู้ผูกสัญญาทั่วไปก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่นั่นคือมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เชียวนะ ถึงร่างเดิมของพวกเขาจะเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพที่เหนือกว่าเทพเจ้า แต่เมื่อกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วก็แทบจะไม่มีความแตกต่างเลย
ไม่ว่ามันจะเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์หรือว่ามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพอะไรก็ตาม สำหรับสิ่งที่เป็นเพศตรงข้ามกับซีเอ๋อร์ ต่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องได้รับการเฝ้าระวังทั้งนั้น และในใจของเขาก็ไม่อยากจะให้พวกเขาสนิทสนมกันมากเกินไปด้วย
“อารองไม่ประหลาดใจเลยหรือเจ้าคะ?” มู่เฉียนซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เพราะสิ่งที่อารองให้ความสนใจ กลับไม่เหมือนกับคนอื่นเลยแม้แต่น้อย
“สำหรับอารองแล้ว สมบัติที่ล้ำค่ามากที่สุดไม่ใช่มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพต้านสวรรค์อะไรนั่นหรอก แต่เป็นซีเอ๋อร์ต่างหาก ที่ซีเอ๋อร์สามารถผูกสัญญากับศาลานิรันดร์ได้ นั่นก็ถือว่าเป็นโอกาสของซีเอ๋อร์เอง เพียงแต่ตอนนี้อารองรู้สึกกดดันมากขึ้น เพราะเกรงว่าการมีความสามารถถึงแค่ระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณ ดูเหมือนว่ามันจะไม่เพียงพอเสียแล้ว”
มีผู้คนมากมายที่ละโมบโลภมากในมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ และการเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณ ก็ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดอีกต่อไปแล้ว!
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าจะพยายามไปด้วยกันกับอารองเองเจ้าค่ะ”
ในสำนักหลินเยว่ตอนนี้ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตอีกแล้ว ทั้งกองกำลังระดับสี่ได้กลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง และแม้แต่ปราการป้องกันของเผ่าคำสาปก็หายไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้านาย!” เหลิ่งหนิงจือกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ในเมื่อเจ้ายังไม่ตาย เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนแล้วกัน” ชิงหลงกล่าวอย่างเย็นชา และหลังจากนั้นก็สั่งให้ลูกน้องของเขาล่าถอยทันที
ลูกน้องของเขาก็จนปัญญาเช่นกัน และหลังจากที่ออกไปแล้วก็กล่าวขึ้นมาว่า “ข้าว่านะลูกพี่! แม่นางมู่เพิ่งจะหนีเอาชีวิตรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ท่านไม่รู้จักที่จะใส่ใจหน่อยเลยหรืออย่างไรกัน!”
“คนเหล่านั้นเป็นใครกันแน่? พลังของทางนั้นมันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว ข้าคิดว่าดินแดนทางทิศตะวันออกจะจบเห่ไปแล้วเสียอีก ตอนนั้นลูกพี่ท่านก็เป็นห่วงมากไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดพอแม่นางมู่กลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้วท่านกลับเย็นชาถึงเพียงนี้เล่า”
“……”
พวกเขาพยายามเกลี้ยกล่อมต่าง ๆ นานา แต่หลังจากนั้นชิงหลงกลับกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าอยากจะกลับไปฝึกเพิ่มอย่างนั้นสินะ ดีเลย!”
เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเพราะเหตุใดถึงต้องหนีมาเร็วถึงเพียงนี้ด้วย แต่เขารู้สึกว่าหากไม่หนีออกมาโดยเร็ว และผู้หญิงคนนั้นวางกับดักอะไรบางอย่างกับเขา อย่างเช่นขอให้เขายอมรับนางอะไรเทือกนั้น เขาก็อาจจะควบคุมตนเองไม่ได้ จนรับปากนางไปก็เป็นได้
.