ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2102 ภูมิคุ้มกันวิชาคำสาป
พรวด พรวด พรวด!
เจ้าเศษสวะจากเผ่าคำสาปเหล่านี้ ไม่ได้ประโยชน์ใด ๆ จากการต่อสู้กับมู่เฟิงหลิงเลย
และหลังจากที่ถูกพวกเขาไล่ล่ามาเป็นเวลานาน ในที่สุดตอนนี้มู่เฟิงหลิงก็สามารถโต้กลับด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมได้แล้ว
ตูมม โครมมม!
แต่คนที่ยากลำบากที่สุด ดูเหมือนว่าจะเป็นตาเฒ่าผู้นั้นแล้ว
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ไม่ได้คาดคิดว่าข้าจะได้พบกับคนที่แปลกประหลาดเช่นเจ้าในแดนซวนเทียนแห่งนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะวิชาคำสาปของเผ่าคำสาปของพวกข้านั้นมีพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าเจ้าจะมีเชี่ยวชาญในการควบคุมพลังที่แปลกประหลาดนี้ แต่ก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้หรอก”
เขาถูกปราบปรามอยู่ตลอด อีกทั้งพลังยังถูกลิดรอนไปทีละเล็กทีละน้อย ทว่าตาเฒ่าผู้นี้ไม่เพียงแต่จะไม่ซึมเศร้า แต่กลับหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งอีกด้วย
“สิ่งที่เจ้าได้เห็นก่อนหน้านี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งบนยอดเขาน้ำแข็งของพลังเผ่าคำสาปของพวกเราเท่านั้น ต่อไปนี้ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของวิชาคำสาปเอง!”
“และสถานที่แห่งนี้ ก็เป็นสถานที่ที่ดีในการร่ายวิชาคำสาปยิ่งนัก!”
การพลังทลายของสำนักหลินเยว่ ได้ทำให้ความมืดมนในจิตใจของมนุษย์เกิดความสิ้นหวังจนน่าหวาดกลัว
เจ้าสำนักหลินเยว่รู้สึกหนาวสั่นไปทั่วทั้งตัว อีกทั้งยังมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเอามาก ๆ อีกด้วย ซึ่งตอนนี้นางก็รู้สึกราวกับว่ามีสัตว์ดุร้ายจากนรกกำลังจ้องเขม็งมาอย่างไรอย่างนั้น
“ความกลัว!”
“ความโลภ!”
“ความอิจฉาริษยา!”
“ความทะเยอทะยาน!”
“……”
ทุกย่างก้าวของตาเฒ่าผู้นี้ มีอักษรคำสาปปรากฏขึ้นมากลางอากาศและร่วงหล่นลงไปสู่พื้นดิน ทุกอักษรคำสาปล้วนผูกต่อกัน จนสุดท้ายก็ปกคลุมไปทั่วทั้งสำนักหลินเยว่
อักษรคำสาปเหล่านั้นเริ่มปีนป่ายขึ้นไปบนตัวของลูกศิษย์ของสำนักหลินเยว่เหล่านั้น พวกเขาพยายามทำทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่สามารถสกัดกั้นการเข้ามาใกล้ของอักษรคำสาปเหล่านี้ได้
สีหน้าของมู่เฉียนซีเคร่งขรึมขึ้นมาทันที พลางกล่าวว่า “อาถิง ตาเฒ่าผู้นี้ค่อนข้างเก่งเลยทีเดียว! และนี่คือคำสาปแห่งความมืดทั้งเจ็ด! มันเป็นวิชาคำสาปขนาดใหญ่ที่มีพลังการทำลายล้างที่รุนแรงมาก! นอกจากนี้การร่ายวิชาคำสาปนี้ยังต้องใช้วิญญาณของมนุษย์เป็นเครื่องสังเวย และมันไม่เพียงแต่จะสร้างความเสียหายต่อร่างกายอย่างสาหัส แต่ยังสามารถสร้างความเสียหายกับจิตวิญญาณได้ด้วย!”
“หากเจ้าสกัดกั้นมันไม่ได้ พวกเรามาลงมือด้วยกันเถอะ!”
“ให้เจ้าออกโรง? จะให้เจ้าออกโรงมาระเบิดตัวตายหรือยังไง? หากเจ้าไม่มีความเชื่อมั่นในตัวข้า เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ใช่ผู้ผูกสัญญาที่เหมาะสมอีกแล้ว! ไปปกป้องตนเองและอารองของเจ้าให้ดีเถอะ!”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย!”
เมื่อวิชาคำสาปนี้ถูกร่ายออกไปแล้ว และเกรงคนที่อยู่ในสำนักหลินเยว่ทั้งหมดคงจะไม่มีผู้ใดรอดชีวิตไปได้เป็นแน่
แม้ว่าเป้าหมายในการโจมตีจะไม่ใช่พวกเขา แต่นางก็รู้ดีว่านางและอารองของนางอาจจะตกอยู่ในอันตรายแน่นอน
หากต้องการที่จะต่อสู้กับวิชาคำสาปเหล่านี้ แผนที่ดีที่สุดคือต้องใช้วิชาคำสาปในการป้องกัน
มู่เฉียนซีจับมู่เฟิงหลิงเอาไว้ แล้วกล่าวว่า “อารอง อย่าได้ออกห่างจากข้ามากเกินไปเป็นอันขาด”
นางกัดไปที่นิ้วของตนเอง และพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งก็แผ่กระจายออกมา จากนั้นพลังจิตวิญญาณนี้ก็ได้สร้างปราการป้องกันล้อมรอบนางเอาไว้
อักษรคำสาปที่ซับซ้อนถูกมู่เฉียนซีร่างออกมาทีละอัน จากนั้นมันก็ปกคลุมไปทั่วทั้งป้อมปราการ
วิชาคำสาปนี้ไม่ได้ให้ผลการโจมตีที่แข็งแกร่ง แต่ทว่ามันมีวิธีการใช้อย่างหนึ่ง นั่นก็คือการเป็นภูมิคุ้มกันวิชาคำสาปทั้งหมดต่างหาก
แน่นอนว่า หากต้องการที่จะคุ้มกันจากวิชาคำสาปที่แข็งแกร่ง นางก็จะต้องจ่ายด้วยพลังจิตวิญญาณและยังมีพลังคำสาปที่แข็งแกร่งถึงจะสามารถทำได้
และเมื่อคำนึงถึงความปลอดภัย มู่เฉียนซีจึงใช้พลังจิตวิญญาณอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังสร้างเกาะป้องกัน ตอนนี้ตาเฒ่าผู้นั้นก็ได้สร้างการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้แล้ว
แม้แต่พลังแห่งกาลเวลายังไม่สามารถควบคุมได้ มันทำได้เพียงสะท้อนพลังกลับ และหายไปเท่านั้น
อาถิงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เช่นนั้น ก็คงจะต้องตรงเข้าไปขวางแล้ว! คิดว่าเจ้าของเด็กเล่นเช่นนี้จะทำอะไรข้าได้อย่างนั้นหรือ”
พลังแห่งความมืดได้ปรากฏขึ้นมาบนท้องฟ้าแห่งนี้ และมันก็ได้ดึงดูดความสนใจจากกองกำลังต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบสำนักหลินเยว่เหล่านั้นอีกด้วย
“ทางนั้นมันสำนักหลินเยว่มิใช่หรือ?”
“สำนักของกองทัพสตรีเหล่านั้น หรือว่าไปทำให้ใครขุ่นเคืองใจเข้าแล้ว”
“ห่างกันตั้งไกลขนาดนี้ แต่กลับทำให้ข้ารู้สึกใจสั่นได้ขนาดนี้ หากเข้าไปใกล้ยังสถานที่ที่มีพลังนั้น ก็คงจะไม่มีชีวิตรอดเป็นแน่!”
“ตายซะ!”
ในตอนที่เขากำลังจะลงมือก็เหลือบมองไปที่มู่เฟิงหลิงและมู่เฉียนซี อย่างไรเสียมู่เฟิงหลิงก็จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ ส่วนแม่สาวน้อยผู้นั้นหากตายขึ้นมาก็จะน่าเสียดายเกินไป และเขาก็ไม่ต้องการชีวิตของพวกเขา อีกทั้งยังไม่ต้องการให้พวกเขาตายอยู่ที่นี่อีกด้วย
สุดท้ายเขาก็ได้ค้นพบว่า “วิชาคำสาปของภูมิคุ้มกันวิชาคำสาปหรือ นี่มันไม่ได้สูญหายไปแล้วหรือ? ในคัมภีร์โบราณของเผ่าข้าเหลือเพียงอักษรคำสาปที่ไม่สมบูรณ์เท่านั้น เหตุใดสาวน้อยผู้นี้ถึงได้รู้อักษรคำสาปที่สมบูรณ์ได้”
“แต่ก็ดีเหมือนกัน พวกเขาน่าจะปกป้องชีวิตน้อย ๆ นั้นของตนเองได้!”
“ไม่มีสมาธิในเวลาเช่นนี้ กล้าดูถูกข้าอย่างนั้นหรือ รนหาที่ตายนัก!” ในตอนที่แววตาของเขามองไปทางพวกของมู่เฉียนซี ลำแสงสีเขียวอ่อนก็ส่องสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้าแล้ว
“ไอ้หนู เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
ทั่วทั้งร่างของชายชราผู้นั้นถูกปกคลุมไปด้วยพลังคำสาปที่แข็งแกร่ง และการต่อสู้นี้ก็กำลังดำเนินต่อไป!
ตูม! ตูม! ตูม!
พลันนั้นยอดเขาที่สำนักหลินเยว่ตั้งอยู่ทั้งหมด ก็ได้หายไปอย่างสมบูรณ์!
“กรี๊ดดดดด!”
“ช่วยด้วยย!”
“ข้ายังไม่อยากตาย!”
เสียงร้องร่ำไห้ดังระงมไปทั่วทุกพื้นที่
มู่เฟิงหลิงจับมือของมู่เฉียนซีเอาไว้แน่น และแม้ว่าจะขวางกั้นไว้ด้วยเกาะป้องกันชั้นหนึ่ง แต่เขาก็ยังสามารถสัมผัสถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวนั้นได้อยู่ดี
โชคดีที่ซีเอ๋อร์รู้วิธีการป้องกันคำสาป มิเช่นนั้นเขาคงไม่มีทางที่จะปกป้องซีเอ๋อร์เอาไว้ได้แน่
มู่เฟิงหลิงกล่าวว่า “ความสามารถของอารองยังไม่พอ ยังห่างไกลมากนัก!”
ในดวงตาของเขาฉายแววมุ่งมั่นออกมา ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน เขาก็จะต้องบรรลุเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณให้เร็วที่สุดให้จงได้
“กรี๊ดดด! ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! ได้โปรดเถอะ มู่เฉินซี…”
ในเวลาเช่นนี้ ก็มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือด้วยความอ่อนแอดังขึ้น
ถูกตาเฒ่าผู้นี้ร่ายวิชาคำสาปใส่อย่างป่าเถื่อน อีกทั้งยังมาดึงวิญญาณของพวกเขาไปอีก และตอนนี้คนของสำนักหลินเยว่ก็ตายกันไปเกือบหมดแล้ว
แต่เจ้าสำนักหลินเยว่ถือว่าโชคค่อนข้างดีเลยทีเดียว แม้ว่านางจะบาดเจ็บแต่ก็ยังสามารถยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ได้ ซึ่งมันก็ทำให้มู่เฉียนซีค่อนข้างประหลาดใจมากเลยทีเดียว
“ช่วยอย่างนั้นหรือ ท่านเจ้าสำนักหลินเยว่! เจ้าเคยพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะฆ่าข้ามาก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะมาร้องขอความช่วยเหลือจากข้า เจ้าไม่รู้สึกว่ามันน่าขันเกินไปหน่อยอย่างนั้นหรือ?” มู่เฉียนซีจ้องมองไปที่นางอย่างเยาะเย้ย
“ข้า…ขอเพียงเจ้าช่วยข้า หลังจากนี้ไปข้าจะยอมเป็นวัวเป็นม้าไว้ให้เจ้าได้ใช้งานอย่างเต็มใจ!”
“กรี๊ดดด! ข้ายังไม่อยากตาย ข้าไม่อยากตายอย่างทุกข์ทรมานเช่นนี้ และวิญญาณยังถูกเอาไปเป็นเครื่องสังเวยอีก ช่วยข้า…”
“……”
สีหน้าของเจ้าสำนักหลินเยว่เปลี่ยนไปน่าเกลียดยิ่งกว่าภูตผีเสียอีก เนื่องจากความหวาดกลัว ทำให้น้ำตาของนางไหลออกมาจนไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งนางก็ยังคงไม่ยอมแพ้ และเอาแต่พ่นคำพูดแสดงความภักดีออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากมู่เฉียนซี
“เจ้าควรที่จะภักดีต่อมู่หลินหลางอยู่ตลอดเวลามิใช่หรือ? ตอนนี้เพื่อที่จะปกป้องชีวิตของตนเองแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาขอให้ข้าช่วยเช่นนี้?”
ร่างของเจ้าสำนักหลินเยว่ชะงักงันไปครู่หนึ่ง “ฝ่าบาทหลินหลาง ฝ่าบาทหลินหลาง แม้ว่าข้าจะตาย ก็จะเป็นคนของฝ่าบาทหลินหลาง ไม่มีทางทรยศแน่นอน แน่นอน…”
นางพูดพึมพำออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมตนเองได้
เพียะ!
หลังจากนั้นนางก็ตบเข้าที่ใบหน้าของตนเองอย่างแรง และดวงตาคู่นั้นของนางก็เปลี่ยนกลับมาสดใสอีกครั้ง
“ไม่ใช่สิ! ไม่ใช่!”
“องค์หญิงหลินหลาง คิดไม่ถึงเลยว่าองค์หญิงหลินหลางจะทำเรื่องเช่นนี้กับพวกเราได้!”
“มู่เฉินซี เจ้าจะต้องเชื่อข้านะ! พวกข้าก่อนหน้านี้…พวกข้าก่อนหน้านี้แค่เชื่อฟังคำสั่งของฝ่าบาทหลินหลางอย่างสมบูรณ์ และที่พวกเราปฏิบัติต่อนางราวกับเทพพระเจ้า นั่นต้องเป็นเพราะว่านางได้ทำอะไรบางอย่างกับพวกเรา? มันจะต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน”
“มิเช่นนั้นเหตุใดผู้คนมากมายถึงได้หมกหมุ่นอยู่กับนางอย่างสุดใจเช่นนี้ ข้า…ข้าถูกบังคับ! เจ้าจะต้องเชื่อข้านะ”
เจ้าสำนักหลินเยว่รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เหตุใดฝ่าบาทจึงให้ความสำคัญต่อนางเช่นนั้น และยังทำให้นางได้เป็นเจ้าสำนักของกองกำลังระดับสี่ ที่แท้ตั้งแต่ต้นจนจบนางก็เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดที่ถูกมู่หลินหลางควบคุมเท่านั้น