ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2100 นักเล่นคาถาอาคมโจมตี
เจ้าสำนักหลินเยว่ก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่านักโทษที่หนีรอดไปได้ในตอนแรก จะได้มาเห็นการล่มสลายของสำนักหลินเยว่ในวันนี้
ตอนนี้สำนักหลินเยว่ไม่มีแรงที่จะต้านทานเลยแม้แต่น้อย พวกนางทั้งบาดเจ็บสาหัส ทั้งโดนวางยาพิษ!
เจ้าสำนักหลินเยว่กล่าวว่า “หากพวกเจ้ากล้าลงมือ เช่นนั้นก็ทำลายสำนักหลินเยว่ไปซะเถอะ! หวังว่าหลังจากที่ลงมือกับสำนักหลินเยว่แล้ว พวกเจ้าจะสามารถรับความพิโรธของฝ่าบาทได้ไหวก็แล้วกัน”
“เรื่องนี้ ข้าไม่รบกวนให้เจ้าต้องมากังวลแทนหรอก” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
ทุกคนในสำนักหลินเยว่ต่างก็หมดเรี่ยวแรงกันแล้ว หากต้องการสังหารพวกเขา ก็เพียงแค่ออกคำสั่งเท่านั้น
แต่ทว่าในขณะนี้ มู่เฉียนซีกลับสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่น่าสยดสยอง อีกทั้งมันยังเป็นกลิ่นอายที่คุ้นเคยมากอีกด้วย
“หาเจอแล้ว ในที่สุดก็หาเจอเสียที”
ร่างเงาสีดำสองสามร่าง ปรากฏตัวออกมาราวกับภูตผีก็มิปาน ซึ่งมันก็ได้ทำให้คนที่อยู่โดยรอบอดที่จะขนหัวลุกไม่ได้เลยทีเดียว
“นี่เป็นใครกัน?” ชิงหลงกล่าวอย่างเย็นชา
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! คนที่แค้นพวกเจ้ามาหาถึงที่แล้ว พวกเจ้าเตรียมตัวตายได้เลย!”
คนชุดดำเหล่านี้แปลกประหลาดและอันตรายมาก แต่กลับไม่ได้พุ่งเป้าไปที่สำนักหลินเยว่ของพวกเขา ทว่ากลับพุ่งเป้าไปหาทางด้านคนของมู่เฉินซีมากกว่า ในที่สุดความซวยก็มาหาพวกคนที่สมควรตายเหล่านี้แล้ว
ความตึงเครียดปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของมู่เฟิงหลิงทันที มู่เฉียนซีจึงดึงเขาเอาไว้พลางกล่าวว่า “ชิงหลง เสี่ยวเหลิ่ง พาทุกคนถอยออกไปให้หมด เร็วเข้า!”
“หอฉงโหลวบนเมฆา! จงออกมา!”
มู่เฉียนซีได้เอาหอฉงโหลวบนเมฆาออกมา สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเสี่ยวเหลิ่งเคร่งขรึมขึ้นในพริบตา และรู้ได้ทันทีว่าเรื่องตอนนี้ร้ายแรงมากเพียงใด
“น้อมรับคำสัง เจ้านาย!”
เหลิ่งหนิงจือพาคนล่าถอยออกไป ส่วนชิงหลงมองคนชุดดำเหล่านั้นไม่ชัดเจนนัก ทว่ารับรู้ได้ว่าบนร่างกายของพวกเขามีพลังที่แปลกประหลาดยิ่งนัก
“ให้พวกเราออกไปหมด หรือว่าเจ้ากับอารองจะสู้กับพวกเขาเพียงลำพังอย่านั้นหรือ?” ชิงหลงกล่าว
“ใช่สิ! ข้ามีความมั่นใจเช่นนั้นแล้วเจ้าจะมายุ่งได้หรือ? หากไม่ต้องการให้คนของพวกเจ้าตายก็รีบออกไปจากที่นี่ซะ ตอนนี้ข้าไม่ได้กำลังล้อเล่นกับเจ้าอยู่หรอกนะ” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ชิงหลงเหลือบมองไปที่มู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “มู่เฉินซี ทางที่ดีเจ้าอย่าตายอยู่ในดินแดนทางทิศตะวันออกเสียล่ะ!”
เมื่อพูดจบ เขาก็พาคนล่าถอยไปทันที
พวกเขาล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว ส่วนคนของสำนักหลินเยว่ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับหนีได้อย่างเชื่องช้า
และในตอนที่พวกนางกำลังจะหนีออกไปได้นั้น มิติที่อยู่โดยรอบบริเวณก็ถูกปิดกั้นเอาไว้แล้ว
ม่านสีดำสนิทที่ทำให้คนรู้สึกหดหู่ ได้ปิดกั้นบริเวณโดยรอบเอาไว้ทันที
และชายชุดดำเหล่านี้ก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ และจากนั้นพวกเขาก็กล่าวอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “มู่เฟิงหลิง คราวนี้เจ้าหนีไปไม่รอดแล้ว หนีไปไม่รอดแน่!”
“เผ่ากิเลน เหลือเพียงเจ้าเพียงคนเดียวแล้ว! หากเจ้าไม่อยากให้เผ่ากิเลนสูญพันธุ์แล้วละก็ เช่นนั้นก็ไปกับข้าอย่างเชื่อฟังจะดีกว่า”
นัยน์ตาของมู่เฟิงหลิงฉายแววเย็นยะเยือกออกมา คนกลุ่มนี้นี่เองที่ทำให้เผ่ากิเลนถูกทำลาย
เขาเติบโตมาด้วยกันกับพี่ใหญ่ที่ราชวงศ์ตงหวงตั้งแต่ยังเล็ก ฉะนั้นจึงไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับเผ่ากิเลนนัก
แต่ทว่าคนเหล่านี้ได้ทำให้ท่านแม่ของเขาต้องทุกข์ทรมาน อีกทั้งยังเอาแต่ไล่ล่าเขามาโดยตลอดอีกด้วย!
ฉะนั้นระหว่างพวกเขา ย่อมมีความแค้นบัญชีเลือดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“ฆ่าข้า หากทำได้เจ้าก็ลองดูสิ?” มู่เฟิงหลิงโบกสะบัดดาบยักษ์ของเขา จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่คนจากเผ่าคำสาปเหล่านั้นทันที
คนเหล่านั้นกล่าวอย่างเยาะเย้ยว่า “ไม่เจียมตัว!”
“จัดขบวน!”
คนสองสามคนได้ล้อมรอบมู่เฟิงหลิงเอาไว้ จากนั้นพลังคำสาปที่น่าสะพรึงกลัวก็ทะลักออกมา
วิธีการต่อสู้อย่างโหดเหี้ยมไม่ใช่รูปแบบของพวกเขา เพราะการต่อสู้ของพวกเขาก็คือการใช้พลังคำสาปอันทรงพลังเพื่อให้ได้รับมาซึ่งชัยชนะอันราบรื่น
ตูมมมม!
วิธีการที่แปลกประหลาดของคนเหล่านั้นทำให้เจ้าสำนักหลินเยว่รู้สึกตื่นตกใจจนหน้าซีดเผือด และทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าชื่อที่คนเหล่านั้นเรียกเป็นของผู้ใด
มู่เฟิงหลิง มู่เฟิงหลิงอย่างนั้นหรือ!
บนโลกใบนี้หากมีคนที่รู้จักองค์รัชทายาทเฟิงอวิ๋น เช่นนั้นก็จะไม่ใครรู้จักมู่เฟิงหลิงไม่ได้อยู่แล้ว
เพราะมู่เฟิงหลิง ก็คือน้องชายแท้ ๆ คนที่สองขององค์รัชทายาทเฟิงอวิ๋นที่เกิดมาจากพ่อแม่เดียวกันนั่นเอง
แม้ว่าเขาจะสู้องค์รัชทายาทเฟิงอวิ๋นที่เป็นผู้มีความรอบรู้อันทรงภูมิปัญญาไม่ได้ แต่เขาก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะตัวมากทีเดียว
เขาได้หายตัวไปพร้อมกับองค์รัชทายาทเฟิงอวิ๋น คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมาปรากฏตัวอยู่ในดินแดนของราชวงศ์ตงหวง ทั้งยังตั้งตัวเป็นศัตรูกับฝ่าบาท หรือจะพูดว่าพวกเขายังคงไม่ยอมแพ้นั่นเอง!
หากผู้ชายคนนี้คือมู่เฟิงหลิง เช่นนั้นคนที่เรียกมู่เฟิงหลิงว่าอารองอย่างมู่เฉินซีเป็นใครกันแน่ล่ะ?
พลันนั้นนัยน์ตาของนางก็หดตัวลงอย่างกะทันหัน ลูกสาวขององค์รัชทายาทเฟิงอวิ๋น
ตอนแรกองค์รัชทายาทเฟิงอวิ๋น ได้หลบหนีการไล่ล่าด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้น และในขณะหลบหนี เขาน่าจะไม่มีทางรอดแน่นอน คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะยังมีชีวิตรอด และยังมีลูกสาวที่วิปลาสเช่นนี้อยู่อีกด้วย
ในที่สุดนางก็ได้รู้แล้วว่าเพราะเหตุใดพวกเขาถึงได้ไม่เกรงกลัวฝ่าบาทหลินหลางเลย และพวกเขายังอยากที่จะเป็นศัตรูกับฝ่าบาทของนางอีกด้วย เพราะที่แท้แล้วพวกเขาก็คือกลุ่มกบฏนั่นเอง!
ในขณะนี้นางรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก เพราะตอนที่พวกเขาต้องพบเจอกับศัตรู กลับไม่เห็นผู้ใดเลย!
“อ๊ากก!” การโจมตีด้วยวิชาคำสาป ทำให้มู่เฟิงหลิงไม่สามารถป้องกันเอาไว้ได้
และในตอนที่พวกเขาใกล้จะจับมู่เฟิงหลิงได้แล้วนั้น พวกเขากลับสัมผัสได้ถึงพลังจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่กำลังสั่นสะเทือนออกมาอย่างกะทันหัน
น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกเสียงหนึ่งลอยออกมา “ทำลาย!”
และทันใดนั้นเอง พลังคำสาปที่กำลังโจมตีมู่เฟิงหลิงอยู่นั้นย้อนกลับมาจู่โจมพวกเขาแทน!
ปัง ปัง ปัง!
ร่างของแต่ละคนลอยกระเด็นออกไปจากกลางอากาศ และรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างและศรีษะ
สะท้อนหรือ! พวกเขาถูกพลังคำสาปของตนเองสะท้อนกลับอย่างนั้นหรือ?
มู่เฉียนซีได้พุ่งเข้าไปอยู่เคียงข้างมู่เฟิงหลิงทันที จากนั้นพลังจิตวิญญาณก็ปกคลุมเขาเอาไว้เพื่อถอนวิชาคำสาปอันสร้างผลร้ายต่อเขาทิ้งไป
“เจ้า…”
“นางเด็กน้อยผู้นี้!”
“……”
คนของเผ่าคำสาปมองไปทางมู่เฉียนซีอย่างตื่นตกใจ พวกเขามีเป้าหมายเพียงแค่มาจับมู่เฟิงหลิงที่มีเชื้อสายของเผ่ากิเลนกลับไปเท่านั้น ส่วนคนอื่นที่อยู่โดยรอบพวกเขาไม่ได้เห็นอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง
รอให้พวกเขาจับมู่เฟิงหลิงไปได้แล้ว ก็ใช้วิชาคำสาปทำให้พวกเขาเหล่านี้หายไปก็จบแล้ว
และด้วยที่ความสามารถของแม่สาวน้อยคนนี้ไม่เด่นชัด อีกทั้งยังสามารถถูกบดขยี้จนตายได้อย่างง่ายดาย ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางเห็นนางอยู่ในสายตาอยู่แล้ว
แต่กลับไม่คาดคิดเลยว่า พลังจิตวิญญาณของแม่สาวน้อยผู้นี้จะน่าหวาดกลัวเช่นนี้ นอกจากนี้ยังสามารถทำลายวิชาคำสาปของเขาได้อีกด้วย
“คิดไม่ถึงเลยว่าแม่สาวน้อยผู้นี้จะเป็นคนของเผ่าที่เร่ร่อนอยู่นอกเผ่าคำสาปของพวกเรา!”
คนของเผ่าคำสาปมักจะคิดอยู่เสมอว่า มีเพียงคนในเผ่าของพวกเขาเท่านั้นถึงจะสามารถใข้วิชาคำสาปได้ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักมู่เฉียนซี แต่พวกเขาก็จะยอมรับนางในฐานะของคนของเผ่าคำสาปอยู่ดี
และนี่ก็ทำให้มู่เฟิงหลิงโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
“ซีเอ๋อร์ของข้าคือคนของตระกูลมู่ของข้า นางไม่ใช่คนของเผ่าคำสาปของพวกเจ้า พวกเจ้าหัดมียางอายกันเสียบ้างเถอะ!”
ทันใดนั้น ดาบของมู่เฟิงหลิงก็หันกลับมา และพุ่งตรงไปยังพวกเขาอีกครั้ง
คนของเผ่าคำสาปเหล่านี้กล่าวอย่างฮึดฮัดว่า “ถึงเชื้อพระวงศ์ตงหวงสกุลมู่จะเก่งกาจ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับวิชาคำสาปของเผ่าคำสาปของพวกเราไปได้ แม่สาวน้อย เจ้าอย่าโดนคนผู้นั้นหลอกเอาได้! อย่าได้ทำเพื่อคนนอก จนเป็นโทษแก่เผ่าของตนเองเลย”
คนเหล่านี้เป็นคนหยิ่งผยองเป็นอย่างมาก ซึ่งมันก็ทำให้มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“คนของเผ่าคำสาปอย่างพวกเจ้าจะพูดจาไร้สาระเกินไปแล้ว มาบอกว่าข้าเป็นคนของเผ่าคำสาปอย่างนั้นหรือ เผ่าคำสาปของพวกเจ้าไม่คู่ควรกับข้าหรอก!”
“มาลองดูกันเถอะเจ้าค่ะ! อารอง ท่านเป็นคนโจมตีหลัก! ส่วนการโจมตีวิชาคำสาปเป็นหน้าที่ของข้าเอง หากพวกเขากล้าใช้วิชาคำสาปละก็ ข้าก็จะสะท้อนกลับไปที่พวกเขาให้เต็มที่เลย!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา
“ได้!”
มู่เฟิงหลิงใช้ดาบของเขาพุ่งโจมตีใส่หนึ่งในคนชุดนั้นทันที!
ตูมมม โครมมม!
“นางเด็กน้อย แม้ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ดีเพียงใด ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของพวกข้าได้!”
แน่นอนว่าพวกเขาไม่เชื่อสิ่งชั่วร้ายนี้อยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงใช้วิชาคำสาปในการโจมตีมู่เฟิงหลิงต่อไป
และเพราะว่าความสามารถของเจ้าบัดซบอย่างมู่เฟิงหลิงยกระดับขึ้นเร็วมากเกินไป หากอาศัยเพียงพลังในการต่อสู้คงไม่สามารถจัดการเขาได้ ฉะนั้นจำต้องพึ่งวิชาคำสาปของพวกเขาเท่านั้น!
.