ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2099 ขจัดความชั่วเพื่อคนอื่น
ตูมม!
ต่อมาก็มีแมวขาวตัวใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ออกมา และแรงกระแทกเพียงแค่ฝ่ามือเดียวก็ทำให้ทั้งห้องโถงพังครืนเลยทีเดียว
นี่คือสัตว์เทพ! สัตว์เทพจริง ๆ!
อู๋ตี้ เสี่ยวหงและยังมีเสี่ยวโม่โม่เป็นผู้นำทัพหน้าของเหล่าสัตว์วิญญาณ หลังจากที่โรมรุกบุกตะลุยเข้ามา ในที่สุดก็หาที่อยู่ของเจ้าสำนักหลินเยว่จนเจอ
และในเวลานี้เหล่าหุ่นเชิดที่ไม่กลัวความตายก็ได้เข้าต่อสู้กับคนของสำนักหลินเยว่แล้ว ซึ่งมันก็ทำให้พวกนางรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
นี่ไม่ใช่มนุษย์จริง ๆ ด้วย! อย่างน้อยการบุกโจมตีในคราวนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับมนุษย์
เจ้าสำนักของสำนักหลินเยว่ชะงักงันไปปครู่หนึ่ง “ผู้ใดเป็นคนส่งสิ่งเหล่านี้มากันแน่! ฆ่าพวกมันซะ! คิดจะส่งสัตว์วิญญาณและหุ่นเชิดมาเพื่อฉวยโอกาสโจมตีสำนักหลินเยว่อย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!”
ตูมมม โครมมม!
แต่การที่พวกนางจะรวบรวมกำลังพลนั้นกลับเป็นเรื่องยาก เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้มีการส่งกำลังคนออกไปจำนวนหนึ่ง ทำให้พวกนางไม่อาจรับมือกับการโจมตีคราวนี้ได้ทันจริง ๆ
ในตอนที่ชิงหลงตามมาถึง ก็เห็นจากระยะไกลว่าทางฝั่งนี้ได้เปิดการโจมตีสำนักหลินเยว่ไปแล้ว เขากล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะรีบร้อนเช่นนี้ เหตุใดถึงลงมือเร็วนัก”
“เร่งให้เร็วขึ้นหน่อย!”
ชิงหลงและพรรคพวกเร่งตามไป แต่กลับคิดไม่ถึงว่ามู่เฉียนซีกำลังรอเขาอยู่ตรงนั้น
“มาแล้วหรือ ตอนนี้สามารถเริ่มลงมือได้พอดีเลย” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ลงมือแล้วหรือ! เช่นนั้นจะเอาคนลงมือมาจากที่ใดกัน? เป็นใครกัน? ชิงหลงตะลึงงันไปครู่หนึ่ง
“แน่นอนว่าต้องเป็นพลังส่วนหนึ่งของหอหมอปีศาจอยู่แล้ว แค่เจ้าไปดูเดี๋ยวก็รู้เอง”
และในตอนที่มู่เฉียนซีเร่งตามไป เหล่าลูกน้องของชิงหลงต่างก็พากันตะลึงงัน “ทั้งสัตว์วิญญาณ และหุ่นเชิด ทำไมถึงได้เยอะเช่นนี้”
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นสัตว์วิญญาณและหุ่นเชิด แต่ทว่าพวกเขาไม่เคยเห็นจำนวนที่มากมายเช่นนี้มาก่อน
ชิงหลงรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้สามารถฝึกสัตว์ได้ และไม่ว่าจะเป็นสัตว์ระดับไหนต่างก็ฝึกได้หมด แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะแอบไปฝึกสัตว์วิญญาณและมอบให้คนของนางที่เหมาะสมมากมายเช่นนี้
นอกจากนี้ยังมีหุ่นเชิดนั่นอีก!
ชิงหลงกล่าวว่า “เจ้าได้ส่งคนไปเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว และใช้ช่วงเวลานี้ฉวยโอกาสในการลงมือสินะ!”
“ใช่แล้ว! รีบบุกทะลวงเข้าไปเถอะ!”
การโจมตีของแนวหน้าพิเศษระลอกแรกนี้ทำให้คนของสำนักหลินเยว่ตั้งตัวไม่ทัน และทันใดนั้นพวกเขาก็ค้นพบว่า นี่มันไม่ใช่การเริ่มต้น เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังบุกทะลวงเข้ามาแล้ว
ในที่สุดเจ้าสำนักของสำนักหลินเยว่ก็ได้รู้แล้วว่าตัวต้นเรื่องนั้นคือผู้ใดกันแน่?
“มู่เฉินซี จะ…เจ้า คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเจ้า เจ้าช่างบังอาจนัก” เจ้าสำนักของสำนักหลินเยว่กล่าวอย่างโกรธเคือง
นางเพิ่งจะส่งคนออกไปจัดการหอรัตติกาลเพื่อหาที่อยู่ของมู่เฉินซี แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะกล้าบุกมายังฐานที่มั่นหลักของพวกนาง
“คนของสำนักหลางซิงเหล่านั้นค่อนข้างน่าสงสารเลยทีเดียว ที่มักจะหมกมุ่นอยู่กับมู่หลินหลาง จนตายไปทั้งที่ยังโสดอยู่ ข้าจึงอยากจะส่งพวกเจ้าลงไปเพื่อให้ไปเป็นสามีภรรยาผีแก้ขัดให้กับพวกเขาที่นำหน้าไปก่อน ไม่ได้หรือ? นี่ข้ากำลังช่วยเหลือพวกเจ้าอยู่ เหตุใดเจ้าสำนักหลินเยว่ต้องโกรธถึงเพียงนั้นด้วยเล่า?” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างหยอกล้อ
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ เจ้าสำนักหลินเยว่ก็โกธรจนหน้าดำหน้าแดงเลยทีเดียว
“สำนักหลางซิง! เรื่องสำนักหลางซิงเจ้าก็เป็นคนลงมืออย่างนั้นหรือ! สมควรตายนัก!”
ในเวลานี้ แสงของดาบเล่มหนึ่งก็สว่างวาบขึ้น
“เจ้าสำนักหลินเยว่ หอรัตติกาลของข้ารังแกไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ! ในเมื่อกล้ามาแตะต้องหอรัตติกาล เจ้าก็เตรียมตัวตายซะเถอะ”
คราวนี้ชิงหลงไม่ได้สวมหน้ากากมาด้วย และเขาก็ปรากฏตัวออกมาด้วยตัวตนของซูอี้ชิงผู้มีใบหน้าที่แสนจะธรรมดาใบหน้านั้น
ทันทีที่เขาชักกระบี่ออกมา นั่นก็แสดงถึงตัวตนของเขาได้แล้ว
“ซูอี้ชิง จะ…เจ้า คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ หอรัตติกาลยังไม่ถูกทำลายล้างอย่างนั้นหรือ! เป็นไปไม่ได้!”
“เจ้ายังไม่กล้าที่จะยอมรับความจริงข้อนี้หรือ? ว่าสำนักหลินเยว่ของพวกเจ้าไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำลายหอรัตติกาลได้ แต่กลับเป็นคนเหล่านั้นที่ถูกทำลายจนสิ้น และไม่รอดชีวิตเลยสักคนเดียวต่างหาก” มู่เฉียนซีกล่าว
“ข้าไม่เชื่อ! พวกเจ้าทั้งหมดจงตายซะเถอะ! ลงมือได้”
เจ้าสำนักของสำนักหลินเยว่ระเบิดพลังออกมาอย่างสมบูรณ์ และร่างสีแดงเข้มร่างหนึ่งก็พุ่งทะยานออกไป พร้อมกับดาบหนักเล่มหนึ่งที่อยู่ในมือ
“ซีเอ๋อร์ หญิงชราผู้นี้ปล่อยให้อารองเป็นคนจัดการเอง”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เช่นนั้น อารองก็ระวังตัวด้วย!”
ตูมมมม!
เดิมทีสำนักหลินเยว่ได้สูญเสียยอดฝีมือไปบางส่วนแล้ว ฉะนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการบุกโจมตีในคราวนี้จึงยากที่จะต้านทานเอาไว้ได้
คนของหอหมอปีศาจและคุณชายชิงหลงกำลังบุกโจมตี ส่วนนักฆ่าของหอรัตติกาลก็ใช้ความมืดซ่อนตนเองไว้ จากนั้นค่อยฉวยโอกาสในช่วงเวลาโกลาหลของการต่อสู้ เข้าโจมตีศัตรูอย่างรุนแรง
จัดการผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณระดับหนึ่งยังสามารถทำได้ นี่แค่ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าขั้นสูงสุดคนหนึ่งเท่านั้น หากมู่เฟิงหลิงคิดอยากจะจัดการขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
พรวด!
หลังจากปะทะกันไปรอบหนึ่ง เจ้าสำนักหลินเยว่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
และลูกศิษย์คนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็นจำนวนหรือพละกำลัง ศัตรูล้วนมีเหนือกว่าพวกเขาทั้งหมด
แม้จะบอกว่าสำนักหลินเยว่ของพวกนางเป็นกองกำลังระดับสี่ แต่ในระดับนี้ถือได้ว่าค่อนข้างอ่อนแอ เพราะมักจะอาศัยกำลังคนของมู่หลินหลางที่หยิบยื่นออกมาให้ และด้วยเห็นแก่หน้ามู่หลินหลางถึงได้กลายเป็นหนึ่งในระดับสี่ได้
หากเมื่อเทียบกับกองกำลังระดับสี่อื่น ๆ ที่สั่งสมมาตามกาลเวลายังถือว่าห่างไกลกันมากนัก แม้แต่ค่ายกลขนาดใหญ่ที่ใช้ป้องกันสำนักยังเชื่อถือไม่ได้เลย
แน่นอนว่า เหตุผลที่ความแข็งแกร่งของค่ายกลป้องกันของสำนักไม่สูงนัก นั่นก็เป็นเพราะมู่หลินหลางเชื่อมั่นว่า การมีนางคอยให้การคุ้มครองจะต้องไม่มีผู้ใดกล้ามาทำลายสำนักเป็นแน่ และด้วยเหตุผลเช่นนี้ จึงทำให้การบุกโจมตีสำนักหลินเยว่ของพวกเขา ง่ายดายอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว
“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาเลย! ข้าว่าพวกเรารีบออกไปกันเถอะ แล้วค่อยให้ฝ่าบาทมาทำลายเจ้าพวกกบฏกลุ่มนี้” ผู้อาวุโสของสำนักหลินเยว่กล่าวพลางช่วยพยุงเจ้าสำนักของพวกเขาขึ้น
“ใช่แล้ว! พวกเราต้องไปเมืองหลวงเพื่อหาฝ่าบาท”
ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ พวกนางก็รู้ดีว่า ไม่มีทางเอาชนะได้อยู่แล้ว
ในเมื่อพูดไว้แล้วว่าจะมาทำลายสำนักหลินเยว่ ฉะนั้นมู่เฉียนซีจึงไม่คิดที่จะปล่อยให้พวกนางหนีไปได้อยู่แล้ว
“ขวางพวกนางไว้!”
ตูมมม โครมม!
สำนักหลินเยว่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก แม้ว่าจะมีบางคนที่พยายามหลบหนีอย่างสุดชีวิต แต่ภายนอกนั้นก็ยังมีอาวุธลับอาบยาพิษชนิดต่าง ๆ รอพวกนางอยู่เช่นกัน
“ท่านเจ้าสำนัก ด้านนอกก็ถูกล้อมเอาไว้หมดแล้ว! พวกเราหนีไม่รอดแล้วเจ้าค่ะ”
ตอนนี้ พวกเขาต่างกำลังตกอยู่ในความสิ้นหวัง
เจ้าสำนักหลินเยว่เหลือบมองไปที่หญิงสาวที่มีความสามารถอ่อนแออย่างน่าสงสาร แต่กลับบีบพวกนางมาจนถึงขั้นนี้ได้ จากนั้นนางจึงกล่าวอย่างมืดมนว่า “มู่เฉินซี ทำไมเจ้าถึงต้องบีบบังคับพวกข้าถึงเพียงนี้ด้วย! ขอเพียงเจ้าปล่อยพวกข้าไป ข้าสามารถทำให้เจ้ากลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักหลินเยว่ได้”
“การเจ้าที่สามารถเป็นเจ้าสำนักของกองกำลังระดับสี่ได้ตั้งแต่อายุยังน้อยแค่นี้นั้น ต่างก็เป็นเรื่องดีที่ผู้อื่นไม่อาจฝันถึงมันได้”
มู่เฟิงหลิงกล่าวอย่างเยาะเย้ยว่า “เป็นเพียงแค่สำนักขยะระดับสี่ จะมาเหมาะสมกับซีเอ๋อร์ของข้าได้อย่างไรกัน? คำพูดไร้สาระของเจ้าจะมากเกินไปแล้ว”
ฉัวะ!
ดาบหนักถูกกวาดออกไป และเจ้าสำนักหลินเยว่ก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าทันที
นางถูกดาบทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งอวัยวะภายในก็ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงอีกด้วย ขณะเดียวกันก็กระอักเลือดออกมาไม่หยุดไม่หย่อนอีกด้วย
คิดไม่ถึงเลยว่าสาวน้อยผู้นี้จะมีความทะเยอทะยานมากมายถึงเพียงนี้ ขนาดตำแหน่งเจ้าสำนักของกองกำลังระดับสี่ยังไม่เข้าตายนางอีกหรือ?
“พวกเจ้าต้องการให้ทำอย่างไรกันแน่? และการสร้างบาปโดยการสังหารคนมากมายขนาดนี้มันก็ไม่ได้ส่งผลดีอะไรต่อเจ้าเช่นกัน?”
“อุ้บ! นี่ข้ากำลังฟังเรื่องตลกอะไรอยู่กัน! สร้างบาปเป็นเรื่องไม่ดีอย่างนั้นหรือ?” ในเวลานี้ มีเสียงล้อเลียนเสียงหนึ่งดังขึ้น
หญิงสาวที่สวมชุดสีแดงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้านาง แล้วกล่าวถามว่า “อดีตท่านอาจารย์ของข้า เจ้ายังจำข้าเหลิ่งหนิงจือได้อยู่หรือไม่? แต่ข้ายังจำได้ว่า สำนักหลินเยว่เพื่อที่จะขจัดอุปสรรคให้มู่หลินหลาง จึงได้กำจัดคนที่อาจจะมีพรสวรรค์เหนือมู่หลินหลางบางส่วน และไม่รู้ว่าพวกท่านได้ทำลายตระกูลและสำนักไปมากมายเท่าไรแล้ว!”
“หรือท่านอยากจะให้ข้าค่อย ๆ พูดออกมาให้ท่านฟังกันล่ะ!”
“การที่เจ้านายของข้าทำลายสำนักหลินเยว่ของเจ้า ไม่ใช่การสร้างบาป แต่เป็นการขจัดความชั่วเพื่อคนอื่นต่างหากล่ะ!”
รอยยิ้มของเหลิ่งหนิงจือนั้นทั้งมีเสน่ห์และเลือดเย็น นางรอมาเนิ่นนานขนาดนี้ ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึงแล้ว
เจ้าสำนักหลินเยว่จ้องมองไปที่เหลิ่งหนิงจือด้วยความตื่นตกใจอย่างที่สุด “เป็นเจ้า! เจ้ามันคนกบฏ เจ้าทรยศสำนัก ตอนนี้ยังคิดที่จะใส่ร้ายสำนักหลินเยว่ของข้าอีกอย่างนั้นหรือ?!”
พรวด!
ทันใดนั้นบนขาของเจ้าสำนักหลินเยว่ก็มีเลือดทะลักออกมา!
“ใส่ร้ายหรือ! มาถึงตอนนี้แล้วยังจะเถียงข้าง ๆ คู ๆ เข้าข้างตัวเองอีกอย่างนั้นหรือ?” มู่เฟิงหลิงจ้องมองไปที่นางอย่างเย็นชา ในสายตาของเขา เจ้าสำนักหลินเยว่อะไรนี่ก็เป็นเพียงแค่คนที่ตายไปแล้วเท่านั้น