ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2063 ปากไม่ตรงกับใจ
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ใช่แล้ว! ข้าคือมู่เฉินซี!”
“เจ้าไม่เพียงแต่จะไม่ซ่อนตัวให้ดี กลับยังมายั่วยุข้าอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฆ่าเจ้าเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย!” เฮยฮั่นกล่าวอย่างเย็นชา
“ลูกพี่! เป็นลูกพี่จริง ๆ ด้วย!”
“ศิษย์พี่ ท่านดูสิ!”
“……”
เมื่อเห็นคนที่คุ้นเคยผู้นั้น คนของสำนักเซิ่งหลินก็พุ่งทะยานเข้าไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจนายน้อยของสำนักหมอทมิฬเลยแม้แต่น้อย
และเมื่อมู่เฉียนซีได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเหล่านั้น นางก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นพวกเจ้านี่เอง!”
พวกเขาก็คือคนของสำนักเซิ่งหลินผู้เป็นพันธมิตรที่ช่วยก่อความวุ่นวายในหมู่เกาะเฮยสุ่ยด้วยกันก่อนหน้านี้!
คนอื่นต่างพากันผงะไปครู่หนึ่ง “คนเหล่านั้นเหมือนว่าจะเป็นอัจฉริยะจากสำนักเซิ่งหลินไม่ใช่หรือ?”
“คิดไม่ถึงเลยว่าอัจฉริยะของสำนักเซิ่งหลินจะเรียกมู่เฉินซีว่าลูกพี่ มู่เฉินซีกลายไปเป็นลูกศิษย์ของสำนักเซิ่งหลินไปตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“……”
การบุกเข้ามาอย่างกะทันหันของคนเหล่านี้นั้นทำให้รู้สึกเกะกะมากเกินไป เฮยฮั่นจึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเศษสวะพวกนี้ รีบไสหัวไปซะ! อย่ามาเกะกะที่นี่!”
“แม้ว่าเจ้าจะเป็นนายน้อยของสำนักหมอทมิฬ แต่พวกเราก็ไม่ยอมให้เจ้ามาแตะต้องลูกพี่ได้หรอก!”
“ใช่แล้ว! คิดว่าพวกข้าจะกลัวสำนักหมอทมิฬจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
ลูกศิษย์ของสำนักเซิ่งหลินเหล่านี้ เลื่อมใสศรัทธาในตัวของมู่เฉินซีเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ชีวิตน้อย ๆ ของพวกเขาก็ยังได้มู่เฉินซีช่วยเหลือไว้อีกด้วย และแม้แต่ราชาแห่งสวรรค์ก็ไม่อาจทำให้พวกเขายอมจำนนได้ แล้วนับประสาอะไรกับนายน้อยของสำนักหมอทมิฬกันล่ะ
จากนั้นก็มีคนกล่าวกับผู้อาวุโสของสำนักเซิ่งหลินว่า “เจ้าหนูจากสำนักเซิ่งหลินของพวกเจ้าเหล่านั้นจะหุนหันพลันแล่นเกินไปแล้ว! อีกฝ่ายเป็นถึงนายน้อยของสำนักหมอทมิฬเชียวนะ”
เหล่าผู้อาวุโสกล่าวพลางหัวเราะออกมาเบา ๆ ว่า “เรื่องระหว่างหนุ่มสาว ก็ต้องให้เหล่าหนุ่มสาวเป็นคนจัดการเองสิ ข้าคิดว่าสำนักหมอทมิฬคงจะไม่มาระบายความโกรธกับสำนักเซิ่งหลินของพวกเราด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้หรอก”
“เฮ้อ! พวกเจ้าสอนลูกศิษย์อย่างไรกัน ไปทำให้นายน้อยของสำนักหมอทมิฬขุ่นเคืองใจ มันอาจจะเป็นอันตรายต่อตนเองเสียเปล่า ๆ!” มีใครบางคนกล่าวขึ้นมา
“นั่นก็ไม่แน่หรอก!”
คนเหล่านี้ไม่รู้เรื่องของมู่เฉียนซี แต่พวกเขากลับรู้ดีว่าแม่นางน้อยผู้นี้เป็นคนช่วยชีวิตลูกศิษย์อันล้ำค่าของพวกเขาเอาไว้ นอกจากนี้ยังทำให้ลูกศิษย์ที่แสนล้ำค่าของพวกเขามีการพัฒนาที่ก้าวกระโดดอย่างมีคุณภาพทั้งการบำเพ็ญตบะ รวมไปถึงสภาวะทางจิตใจอีกด้วย
พวกเขาควรที่จะต้องขอบคุณนางถึงจะถูก แล้วจะให้พวกเขาลืมบุญคุณ ด้วยการล่าถอยไปเมื่อนางตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากได้อย่างไร
มู่เฉียนซีปรากฏตัวออกมาอย่างสูงส่ง อีกทั้งยังแย่งลงชื่อต่อหน้าเฮยฮั่นผู้เป็นนายน้อยว่าที่เจ้าสำนักของสำนักหมอทมิฬอีกด้วย ซึ่งนี่ก็ทำให้นายน้อยของสำนักหมอทมิฬเดือดดาลเป็นอย่างมาก
“มู่เฉินซี นั่นคือมู่เฉินซีจริง ๆ อย่างนั้นหรือ? นางไม่เห็นเหมือนกับรูปวาดเลย” คนของสำนักหลินเยว่จ้องมองไปที่มู่เฉียนซีพลางพูดคุยกันอย่างระมัดระวัง
“ข้ายอมที่จะสังหารคนผิดเป็นหมื่นคน ดีกว่าปล่อยคนที่น่าสงสัยคนหนึ่งไป! เพราะนางมีชื่อว่ามู่เฉินซี อีกทั้งยังกล้าหยิ่งผยองถึงเพียงนี้อีก ฉะนั้นคราวนี้พวกเราก็จะต้องจัดการนางด้วย”
“เจ้าค่ะ ศิษย์พี่หญิง!”
เศษสวะของสำนักเซิ่งหลินเหล่านี้ช่างขวางหูขวางตามากเกินไปแล้ว แต่ทว่าเฮยฮั่นก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่โอกาสที่จะลงมือได้
สุสานโบราณนั้นเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน และในเวลาเดียวกันก็ยังเหมาะที่จะเป็นสถานที่ในการจัดการกับมู่เฉินซีอีกด้วย ฉะนั้นปล่อยให้นางเย่อหยิ่งต่อไปก่อน แล้วค่อยหาโอกาสจัดการนางอีกทีก็แล้วกัน
เฮยฮั่นจ้องเขม็งไปที่มู่เฉียนซี หลังจากนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเขียนชื่อลงไปบ้าง
เขาต้องการที่จะเขียนชื่อให้ใหญ่และลึกยิ่งกว่ามู่เฉียนซี แต่กลับค้นพบว่าเขาทำเช่นนั้นไม่ได้
และหลังจากที่เขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันกลับมีขนาดเพียงแค่ครึ่งเดียวของมู่เฉียนซีเท่านั้น อีกทั้งร่องรอยที่ทิ้งไว้ยังตื้นมากอีกด้วย
เฮยฮั่นกล่าวว่า “นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ศิลาโบราณนี้มีปัญหาแล้วล่ะ!”
ชายชราผู้นั้นกล่าวว่า “ร่องรอยที่ถูกทิ้งเอาไว้บนศิลาโบราณนี้ มีความเกี่ยวข้องกับความสามารถและศักยภาพของตนเอง ฉะนั้นแม่สาวน้อยผู้นี้ถือได้ว่าไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ!”
ในตอนที่มู่เฉียนซีกำลังเขียนอักษรเหล่านั้นลงไป ชายชราสองสามคนเหล่านี้ก็เฝ้ามองนางอยู่อีกมุมหนึ่งเช่นกัน อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาใช้ศิลาโบราณนี้ แต่ทว่าคนที่สามารถทิ้งร่องรอยเช่นนี้เอาไว้ได้ แน่นอนว่ามีไม่เกินห้าคนเท่านั้น
พรสวรรค์ของผู้หญิงคนนี้น่ากลัวจริง ๆ และนางจะต้องมีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน
“ข้าสู้นางไม่ได้อย่างนั้นหรือ? นี่กำลังล้อเล่นอยู่หรืออย่างไร?” เฮยฮั่นกล่าวด้วยสีหน้าที่ย่ำแย่เป็นอย่างมาก
ชายชราเหล่านี้ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบายกับเฮยฮั่นอีกแล้ว ขาจึงกล่าวต่อไปว่า “คนต่อไป!”
หลังจากนั้นก็มีคนมาเขียนชื่ออย่างต่อเนื่อง บางคนสามารถเขียนชื่อได้แค่เส้นบาง ๆ เท่านั้น และมีบางคนที่เขียนชื่อลงไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็หมายความว่าพวกเขาไม่มีทางเข้าไปในสุสานโบราณได้นั่นเอง
“เพราะอะไรกัน? ข้าลงสมัครมาแล้ว หรือว่าข้าไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้อย่างนั้นหรือ? เหตุใดถึงไม่บอกตั้งแต่แรกกันเล่า นี่มันทำให้ข้าดีใจไปอย่างสูญเปล่าจริง ๆ!”
คนที่เขียนชื่อไม่ได้ผู้นั้นราวกับถูกโจมตีอย่างหนัก ฉะนั้นเขาจึงได้หันไปซักถามกับผู้อาวุโสเหล่านั้นแทน
ผู้อาวุโสเหล่านั้นกล่าวว่า “แม้แต่ชื่อยังเขียนไม่ได้ นั่นก็หมายความว่าหากเจ้าเข้าไปในสุสานโบราณ เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน! เข้าไปไม่ได้ก็ถูกแล้ว หรือว่าเจ้าอยากจะเข้าไปตายอย่างนั้นหรือ?”
ถึงลูกศิษย์ของสำนักเซิ่งหลินจะดูธรรมดา แต่พวกเขาทั้งหมดกลับสามารถเขียนชื่อลงไปได้
หลังจากที่การลงทะเบียนสิ้นสุดลงแล้ว ก็มีจำนวนถึงหนึ่งในสามส่วนของคนที่มาเข้าร่วมที่ไม่สามารถเขียนชื่อได้ และไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมงานชุมนุมอัจฉริยะในครั้งนี้
นอกจากนี้บนศิลาแผ่นใหญ่นั้น ชื่อของมู่เฉินซีก็ทั้งใหญ่และชัดเจนที่สุด อีกทั้งยังดูโดดเด่นมากที่สุดในบรรดาชื่อทั้งหมดอีกด้วย ซึ่งมันก็ทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกอิจฉามากเลยทีเดียว
ในเวลานี้ หนึ่งในผู้ตกรอบก็กล่าวขึ้นมาว่า “มู่เฉินซีหรือ? เจ้าใช่มู่เฉินซีที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งดินแดนทางทิศใต้หรือไม่?”
“เจ้าจะพูดมากไปทำไมกัน? หากมู่เฉินซียอมรับ เกรงว่าน่าจะต้องถูกไล่ล่าน่ะสิ! ถึงข้าจะรู้สึกว่านางใช่ แต่ก็คงจะไม่ยอมรับหรอก”
“ข้าก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน!”
แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่า มู่เฉียนซีจะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา “ใช่แล้ว! ข้าก็คือมู่เฉินซีคนนั้นนั่นแหละ!”
“หากเจ้าคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนทางทิศใต้ แล้วเจ้ามาทำอะไรที่ดินแดนทางทิศตะวันออกของพวกเรากันล่ะ?” มีใครบางคนซักถามขึ้นมา
“อัจฉริยะจำต้องถูกขังอยู่ในสถานที่แห่งเดียวไปตลอดอย่างนั้นหรือ? ข้าฝึกฝนหาประสบการณ์ไปทั่วทุกสารทิศจนมาถึงดินแดนทางทิศตะวันออก และบังเอิญว่าอยากจะเห็นสุสานโบราณเสียหน่อย ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้หรืออย่างไร? หรือพวกเจ้ากลัวว่าข้าจะมาแย่งที่หนึ่งกันล่ะ”
ทุกคนตะลึงงันไปครู่หนึ่ง “อันดับหนึ่งหรือ! มู่เฉินซีเจ้านี่ช่างทะเยอทะยานเสียจริงนะ! คิดไม่ถึงเลยว่าอยากจะคว้าอันดับหนึ่งเช่นนี้”
“มีนายน้อยว่าที่เจ้าสำนักของสำนักหมอทมิฬอยู่ด้วย ฉะนั้นอันดับหนึ่งมาไม่ถึงเจ้าหรอก! แม้พลังต่อสู้ของเจ้าจะเหนือกว่า แต่เจ้าก็เป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูติเท่านั้น”
“ใช่แล้ว! อย่าคิดว่าวางอำนาจบาตรใหญ่ที่ดินแดนทางทิศใต้ได้แล้ว จะมาวางอำนาจบาตรใหญ่ที่นี่ได้ด้วยนะ แม่นางน้อยอย่างเจ้าจะไร้เดียงสาเกินไปหน่อยแล้ว”
“อ๊าก! ข้าแพ้เดิมพันแล้ว นางคือมู่เฉินซีตัวจริง”
หลังจากที่มู่เฉียนซียอมรับแล้ว ก็มีเสียงต่าง ๆ มากมายข้างล่างนั่น
มีทั้งความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และเจ็บปวดใจ!
เฮยฮั่นกล่าวด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า “ดีจริง ๆ! เช่นนั้นข้าก็จะทำให้คนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งดินแดนทางทิศใต้ผู้นั้น ตายด้วยน้ำมือของข้าเอง”
คนของสำนักหลินเยว่ก็จ้องเขม็งไปที่นางเช่นกัน “เป็นนางจริง ๆ ด้วย ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม คราวนี้จะต้องทำให้นางตายให้จงได้!”
และในเวลานี้เอง บนศิลาโบราณแผ่นนั้นก็ระเบิดม่านแสงสีเงินออกมา จากนั้นแต่ละชื่อก็กลายเป็นแสงสีเงินแและลอยขึ้นไปกลางอากาศ ลำแสงนั้นดูราวกับทางช้างเผือกอย่างไรอย่างนั้น
ต่อมาชื่อเหล่านั้นก็ได้หายเข้าไปในระหว่างคิ้วของแต่ละคน และพวกเขาก็ได้หายวับไปจากสถานที่แห่งนี้ในทันที
งานชุมนุมอัจฉริยะของดินแดนทางทิศตะวันออกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และอัจฉริยะที่ได้เข้าร่วมงานในคราวนี้เหล่านั้น ต่างถูกส่งเข้าไปในสุสานโบราณที่อันตรายเรียบร้อยแล้ว
การแข่งขันของอัจฉริยะของราชวงศ์ตงหวงแห่งดินแดนทางทิศตะวันออกครั้งนี้ กำลังเริ่มขึ้นอย่างดุเดือดแล้ว
บนหอคอยสูงที่อยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก คุณชายชิงหลงได้เฝ้ามองร่างสีม่วงนั้นหายวับไป
คนที่อยู่ข้างกายคนหนึ่งกล่าวถามขึ้นมาว่า “คุณชาย ในงานชุมนุมอัจฉริยะคราวนี้ยากที่จะจัดกำลังคนไปคุ้มครองแม่นางมู่ได้ เหตุใดท่านถึงไม่ขัดขวางนางเอาไว้เล่า! คนของสำนักหมอทมิฬและสำนักหลินเยว่เหล่านั้นต่างก็มีเจตนาอันชั่วร้ายทั้งนั้น เกรงว่าแม่นางมู่จะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากเป็นแน่”
ชิงหลงกล่าวตอบว่า “ให้ตายอยู่ในนั้นเลยก็ยิ่งดี!”
คนผู้นั้นกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “คุณชาย ข้าน้อยไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าท่านจะเป็นคนปากไม่ตรงกับใจเช่นนี้! เฮ้อ!”
.