ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1988 ทิ้งคำสั่งเสียไว้เถอะ
หากตอนนี้มู่เฉียนซีต้องต่อสู้ด้วยตนเองเพียงลำพัง เช่นนั้นนางจะต้องถูกมู่หลินหลางทำให้บาดเจ็บสาหัสไปแล้วอย่างแน่นอน
แต่ทว่าตอนนี้มีเสี่ยวโม่โม่อยู่ด้วย ถึงมู่หลินหลางต้องการจะจัดการนาง แต่มันก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้นแล้ว!
ตูมมมมม!
ในสถานที่ที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย ทั้งสองคนก็ได้เปิดฉากการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวจนทำให้ต้องรู้สึกยากที่จะเชื่อขึ้นมาในสถานที่แห่งนี้
มู่เฉียนซีนั้นไม่เคยหวาดกลัวการต่อสู้ที่ยืดเยื้อมาก่อน แต่ทว่าทางมู่หลินหลางยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งใจร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ
นางไม่เคยถูกคนที่มีอายุไล่เลี่ยกันบีบจนมาถึงจุดนี้มาก่อนเลย มู่หลินหลางกล่าวว่า “ข้าเสียเวลาอยู่กับเจ้าที่นี่มามากเกินไปแล้ว ดังนั้น…”
“เจ้าไปตายได้แล้วล่ะ”
“ผู้เฒ่าเย่…”
ทันใดนั้นก็มีชายชราคนหนึ่งพุ่งทะยานออกมา เขากล่าวว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยมาช้าเกินไปแล้ว”
ผู้ที่มานั้นก็คือผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณคนหนึ่ง ซึ่งเป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณระดับเก้าเลยทีเดียว และคนที่มีความสามารถเช่นนี้ถึงแม้จะเป็นภายในกองกำลังระดับห้าก็ใช่ว่าจะมีมากมายนัก
ทันทีที่เขามาถึง พื้นที่บริเวณโดยรอบก็ได้ถูกผนึกเอาไว้ เพื่อไม่ให้มีผู้ใดฉวยโอกาสหนีไปได้
แรงกดดันของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณทำให้มู่เฉียนซีหายใจลำบากเป็นอย่างมาก มู่หลินหลางเหลือบมองไปยังมู่เฉียนซีอย่างดูถูกพลางกล่าวว่า “มู่เฉินซี คิดจะสู้กับองค์หญิงอย่างข้า เจ้าจะต้องตายแน่นอนอยู่แล้ว”
นางคิดว่าจะได้เห็นความหวาดกลัวและความขี้ขลาดบนใบหน้าของมู่เฉียนซี ยิ่งไปกว่านั้นนางยังคาดหวังว่าจะได้เห็นนางคุกเข่าร้องขอความเมตตาราวกับมดปลวกก็มิปานอีกด้วย
แต่ทว่า มันกลับไม่มีเลย!
ผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้ ถึงแม้จะมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่งดงามเท่านาง แต่บุคลิกที่ดูเย่อหยิ่งจนเข้าไปถึงกระดูกดำนี้ ทำให้มู่หลินหลางรังเกียจมากยิ่งขึ้นไปอีกเช่นกัน
“ฆ่านางซะ!” มู่หลินหลางออกคำสั่งอย่างเย็นชา
ผู้เฒ่าเย่เริ่มเคลื่อนไหว และฝ่ามือวายุที่น่าสะพรึงกลัวก็พุ่งตรงเข้าใส่กลางศีรษะของมู่เฉียนซี
แต่ในเวลานี้เอง ชิ้นส่วนวิญญาณของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างชิ้นนั้นก็ได้กลายเป็นโล่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน และได้ขวางอยู่เบื้องหน้าของมู่เฉียนซี
ตูมมม!
การโจมตีนี้ถูกสกัดกั้นเอาไว้ และเส้นทางที่อยู่ข้างหลังมู่เฉียนซีก็ถูกเปิดออก
มู่เฉียนซีพุ่งตรงเข้าไปอย่างไม่พูดไม่จา คิดไม่ถึงเลยว่าเกล็ดมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างนี้จะใช้ประโยชน์เช่นนี้ได้ด้วย
ในตอนที่มู่เฉียนซีพุ่งทะยานออกไปนั้น เส้นทางนั้นก็ถูกผนึกเอาไว้ทันที มู่หลินหลางกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ไล่ตามไป! นางจะต้องไปได้ไม่ไกลแน่!”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” ผู้เฒ่าเย่กล่าว
มู่หลินหลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “คิดไม่ถึงว่านางจะหนีไปได้ต่อหน้าต่อตาของผู้เฒ่าเย่ เรื่องเช่นนี้ ข้าไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองแน่”
ร่างเงาของทั้งสองพุ่งทะยานออกไป ผู้เฒ่าเย่กล่าวอย่างรับประกันว่า “ฝ่าบาท คนผู้นั้นก็มีวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มีคุณสมบัติเป็นธาตุแสงเช่นกัน เกรงว่าจะกลายเป็นคู่แข่งของพระองค์ได้ และไม่ว่าวิธีการใดข้าผู้นี้จะต้องกำจัดนางให้ได้ ฝ่าบาทได้โปรดวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
หลังจากที่ออกมาจากเส้นทางนั้นแล้ว ความเร็วของมู่เฉียนซีกลับไม่ได้ลดลงเลย เพราะตราบใดที่นางยังอยู่ภายในชั้นที่สี่ นางก็จะถูกค้นพบได้ในไม่ช้านั่นเอง
ในตอนที่มู่เฉียนซีกำลังเดินหน้าไป ก็ได้ค้นพบว่าหลังจากที่ได้ต่อสู้กับมู่หลินหลาง ความสามารถของนางก็แข็งแกร่งมากขึ้นไม่น้อยเลย
ตลอดทางนางพบเห็นหินแกะสลักมากมาย และเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว นางสามารถจัดการได้ด้วยความเร็วที่เร็วมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
มู่เฉียนซีนั้นโชคดีมาก ที่มู่หลินหลางไม่สามารถหานางพบได้ง่ายดายนัก
เพียงแต่นางกลับพบว่าฉงหมิงกำลังถูกล้อมโจมตีอยู่ และผู้ที่ล้อมโจมตีเขาก็คือคนของสำนักหลางซิงนั่นเอง
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างหยอกล้อว่า “คุณชายฉงหมิง เจ้าพบเจอกับเรื่องยากลำบากอีกแล้วหรือ? ต้องการให้ข้าผู้นี้ช่วยเหลือหรือไม่!”
ฉงหมิงเหลือบมองมาทางมู่เฉียนซีแล้วกล่าวว่า “เจ้าดูน่าเวทนาขนาดนี้ ก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าตรงไหนเลยไม่ใช่หรือ? แล้วข้ายังจะขอให้เจ้ามาช่วยอีกได้อย่างไรล่ะ?”
และคนเหล่านั้นก็สังเกตเห็นมู่เฉียนซีแล้วเช่นกัน “นั่นคือมู่เฉินซี ฆ่ามันไปพร้อมกันเลย!”
ก่อนหน้านี้เนื่องจากว่ามู่หลินหลางมีผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณคอยคุ้มครองอยู่ จึงทำให้นางเกือบที่จะโชคร้ายไปแล้ว ตอนนี้กลับต้องมาเจอกับสุนัขรับใช้ของนางอีก และมันก็ทำให้แววตาของมู่เฉียนซีเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที
“พวกเจ้าลองคิดดูให้ดี ว่าควรที่จะทิ้งคำสั่งเสียอะไรไว้ดี!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! คำสั่งเสียรึ คนที่ควรทิ้งคำสั่งเสียต้องเป็นเจ้าต่างหาก มู่เฉินซี!” พวกเขาหัวเราะเยาะขึ้นมา
พวกเขาไม่ได้คิดเลยว่าฉงหมิงคนหนึ่งบวกกับมู่เฉินซีอีกคนหนึ่ง จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้
“เสี่ยวโม่โม่ อู๋ตี้ เสี่ยวหง ในเมื่อพวกเขาไม่อยากจะทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้ เช่นนั้นก็จัดการมันอย่างรวดเร็วกันเถอะ!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา
ตูมมม!
ในตอนที่สัตว์เทพทั้งสามตัวปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็ขำกันไม่ออกอีกแล้ว
และเมื่อตอนที่พวกเขาได้เห็นสัตว์เทพที่มีพลังในการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวทั้งสามตัว มันก็สายเกินกว่าที่พวกเขาจะร้องไห้ออกมาเสียแล้ว
“หนีเร็ว!” มีคนหนึ่งร้องตะโกนออกมา
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ฉงหมิง ขัดขวางทางหนีของพวกเขาเอาไว้ แล้วฆ่ามันเสีย!”
ในเมื่อเสี่ยวโม่โม่และอู๋ตี้ได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว เช่นนั้นนางก็ไม่อาจปล่อยให้มีชีวิตรอดไปได้แม้แต่คนเดียวอย่างแน่นอน
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
“เพลิงคลั่ง!”
ตูมมม โครมมม!
พรวด!
คนของสำนักหลางซิงเหล่านั้นล้มลงไปทีละคน พวกเขาจึงกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “กล้าฆ่าพวกข้าอย่างนั้นหรือ? ฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปแน่”
ฉงหมิงกล่าวว่า “ข้าต้องหวาดกลัวมู่หลินหลางด้วยอย่างนั้นหรือ?”
เปลวไฟของฉงหมิงกลืนกินพวกเขาไปจนหมดสิ้น และมู่เฉียนซีก็โยนยาขวดหนึ่งไปให้พลางกล่าวว่า “รีบรักษาบาดแผลซะ แยกตัวออกเป็นสองเส้นทาง มู่หลินหลางอยู่บนชั้นนี้เช่นกัน ดังนั้นเจ้าต้องระวังตัวให้ดีด้วย”
ฉงหมิงกล่าวว่า “มู่หลินหลางก็อยู่บนชั้นนี้ด้วยรึ เหตุใดเจ้าถึงรู้ได้? เจ้าเจอนางแล้วหรือ”
“เจ้าจะถามมากไปทำไมกัน? ข้าไปล่ะ”
ฉงหมิงที่ไม่ยอมรับแผนการที่นางต้องการให้แยกตัวออกเป็นสองเส้นทาง จึงไล่ตามนางไปแล้วกล่าวว่า “เจ้าเจอกับมู่หลินหลางมาแล้ว อีกทั้งยังต่อสู้กับนางแล้วด้วย แต่เจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ ช่างโชคดีเสียจริง ๆ เลย!”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “คุณชายฉงหมิงผู้แสนฉลาด ฉงหมิงเอ๋ย ใช่แล้วล่ะ ข้าได้เจอกับมู่หลินหลางแล้ว! อีกทั้งยังทำให้นางขุ่นเคืองอีกด้วย ตอนนี้ข้ากำลังถูกผู้ที่เป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณคนหนึ่งไล่ล่า หากไม่อยากถูกฝังไปพร้อมกับข้าแล้วละก็ เจ้าก็เปลี่ยนเส้นทางไปเสียเถอะ!”
“ข้าไม่เปลี่ยน ข้าอยากรู้มาตลอดว่าผู้หญิงคนนั้นจะหน้าตาเป็นอย่างไร ตอนนี้มีโอกาสดี ๆ เช่นนี้แล้ว จะปล่อยให้พลาดได้อย่างไร” ฉงหมิงดันกล่าวแย้งมู่เฉียนซีมาแบบนี้เสียอย่างนั้น
และมันก็ไม่ได้ทำให้ฉงหมิงต้องผิดหวังเลย เพราะในที่สุดเขาได้เจอกับมู่หลินหลางแล้วจริง ๆ
ฉงหมิงไม่มีทางชื่นชมสาวงามอยู่แล้ว และเขาก็ไม่ได้สนใจหน้าตาของมู่หลินหลางเลยด้วย แต่กลับไปสนใจกระบี่ที่อยู่ในมือของนางเสียมากกว่า
มู่หลินหลางกล่าวว่า “มู่เฉินซี เจ้าคิดว่าเจ้าจะหนีพ้นอย่างนั้นหรือ?”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเยาะเย้ยว่า “หากเจ้ามีความสามารถจริงคงไม่ให้ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณผู้นั้นลงมือหรอก แล้วคิดว่าข้าจะกลัวเจ้าหรืออย่างไรล่ะ?”
ฉงหมิงก็กล่าวอย่างหยอกล้อว่า “เจ้าคือมู่หลินหลาง องค์หญิงหลินหลางผู้นั้นอย่างนั้นหรือ จัดการคนอายุไล่เลี่ยกันแค่คนเดียวคิดไม่ถึงเลยว่าต้องให้ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณลงมือแทนด้วย หรือเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำนี้มันน่าอายอย่างนั้นหรือ?”
“องค์หญิงอย่างข้าเพียงแค่ไม่อยากเสียเวลาเพราะคนชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าก็เท่านั้นเอง” แววตาของมู่หลินหลางเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
“ผู้เฒ่าเย่…”
ฉงหมิงมายืนขวางอยู่ด้านหน้าของมู่เฉียนซีแล้วกล่าวว่า “นางผู้หญิงบ้า ข้าติดหนี้เจ้าชีวิตหนึ่ง วันนี้ข้าจะคืนมันให้เจ้า! เจ้าไม่ได้รวดเร็วอย่างนั้นหรือ? รีบหนีไปเร็วเข้าสิ!”
“ไม่จำเป็นหรอก เจ้าถอยออกไปเถอะ!”
“ทำไมข้าจะต้องฟังเจ้าด้วย”
พวกเขาทั้งสองชอบที่จะพูดไปด่าไปจนดูเหมือนว่าไม่ชอบหน้ากัน แต่ทว่าเมื่อต้องเจอกับอันตรายพวกเขาต่างก็ปกป้องซึ่งกันและกัน ซึ่งมันก็ทำให้สีหน้าของมู่หลินหลางยิ่งมืดมนมากขึ้นไปอีก
“อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว ทำให้พวกมันตายไปให้หมดเสีย!”
ในตอนที่ผู้เฒ่าเย่กำลังจะออกกระบวนท่าเพื่อทำการสังหาร พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็ได้กลืนกินพลังของผู้เฒ่าเย่ไปจนหมดสิ้น
“เรื่องที่วีรบุรุษช่วยเหลือสาวงามเช่นนี้ควรจะเป็นข้าที่ทำถึงจะถูกสิ! ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าหนูอย่างเจ้ามาแย่งโอกาสนี้ไปได้หรอก” ร่างเงาสีเขียวเข้มพุ่งทะยานเข้ามา และในมือของเข้าก็ถือคทาแห่งแสงอันหนึ่งที่ดูไม่สอดคล้องกับอารมณ์ชั่วร้ายนั้นของเขาเลยแม้แต่น้อย
.