ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1986 เจอกับมู่หลินหลาง
ในตอนที่มู่เฉียนซีกำลังกังวลเรื่องของจิ่วเยี่ย มันก็ได้ทำให้พิฆาตวิญญาณไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“หากเขาจัดการแม้แต่เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ไม่ได้ละก็ ลูกแมวน้อย เจ้าก็ไม่ต้องเปลืองสมองไปช่วยเหลือเขาอีกแล้วล่ะ”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “จิ่วเยี่ยไม่มีทางเป็นอะไรได้หรอก พิฆาตวิญญาณเจ้าไปทำลายเจ้าสองตัวนี้ก่อนเถอะ!”
“ตอนนี้ข้าควรที่จะพูดว่า น้อมรับคำสั่งนายท่าน หรือไม่?” พลันนั้นมุมปากของพิฆาตวิญญาณก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
เปลวเพลิงอันน่าสะพรึงกลัวที่ระเบิดออกมาก็ได้แผดเผาทำลายภายในนี้จนสิ้นซาก และเจ้ารูปปั้นทั้งสองตัวนั้นก็ไม่อาจที่จะตอบโต้ใด ๆ ได้เลย
พิฆาตวิญญาณกล่าวว่า “มีกลิ่นอายของแสงสว่างเต็มไปหมด ช่างน่ารำคาญเสียจริง”
กลิ่นอายแห่งแสงสว่างที่คุ้นเคยนี้ ทำให้พิฆาตวิญญาณนึกไปถึงเจ้าคนสารเลวคนหนึ่งที่ชอบพูดพล่อย ๆ กับเขาอยู่เสมอว่า เขาฆ่าคนไม่ได้
ครืนนน!
ในตอนที่รูปปั้นนี้ล้มลงก็ได้มีประตูอีกบานหนึ่งปรากฏขึ้นมา
หินแร่ที่อยู่ภายในประตูเหล่านั้นต่างเต็มไปด้วยธาตุแสงทั้งสิ้น “หากต้องการเอาของสิ่งนี้ไปหลอมอาวุธป้องกันศักดิ์สิทธิ์หรือรักษาอาวุธศักดิ์สิทธิ์จะต้องได้ผลที่ไม่เลวอย่างแน่นอน อย่าปล่อยให้มันไร้ประโยชน์ เก็บไปก่อนเถอะ!”
เบื้องหน้ายังมีศัตรูอยู่อีกนับไม่ถ้วน และพิฆาตวิญญาณก็กวาดล้างพวกมันเหล่านั้นไปจนสุดทางอย่างเหลืออด ส่วนมู่เฉียนซีก็ทำหน้าที่ไล่ตามเก็บสิ่งของต่าง ๆ ตามไป
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหินแร่ทั้งนั้น หากฉงหมิงได้เห็นจะต้องตื่นเต้นจนบ้าไปเลยอย่างแน่นอน
หลังจากที่จัดการศัตรูในด่านที่เจ็ดเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ตามเกล็ดมังกรชิ้นนั้นไป และมู่เฉียนซีก็หาทางเข้าของประตูที่หกเจอแล้ว
“ไปเถอะ!”
ศัตรูภายในชั้นที่หก เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง
พิฆาตวิญญาณได้กวาดล้างมันต่อไป พลางกล่าวว่า “มาฆ่าเจ้าของเล่นเหล่านี้ไม่มีความน่าสนใจเลยแม้แต่น้อย”
ชั้นที่ห้าเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับกลาง เมื่อไปถึงชั้นที่สี่ก็กลายเป็นเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำเท่านั้น พิฆาตวิญญาณจึงกล่าวว่า “จากนี้ไปลูกแมวน้อยก็ค่อย ๆ เล่นไปแล้วกันนะ”
ลูกแมวน้อยของเขาไม่เพียงแต่ต้องการประสบการณ์เท่านั้น แต่เจ้าเด็กน้อยทั้งสามนั่นก็ต้องการด้วยเช่นกัน ฉะนั้นเขาจึงไม่สามารถช่วยนางขจัดอุปสรรคทั้งหมดได้
ถึงอย่างไรก็ตามเขาก็ไม่อยากให้นางไปช่วยหวงจิ่วเยี่ย เพราะอย่างไรเสียคาดว่าเจ้าหมอนั่นก็สามารถเอากระดูกมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างมาได้อย่างราบรื่นอยู่แล้ว ฉะนั้นไม่ต้องรีบหรอก!
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เสี่ยวโม่โม่ อู๋ตี้ เสี่ยวหง ลงมือได้!”
ตูมมมม!
พวกเขาร่วมมือกัน แม้จะบอกได้ว่าหุ่นเชิดของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำจะจัดการได้ไม่ง่ายนัก แต่ก็ยังสามารถจัดการได้อยู่ดี
ตูมมม โครมมม!
ประตูบานหนึ่งถูกเปิดออก ของที่อยู่ภายในนั้นต่างก็มีความสว่างพร่างพราวด้วยกันทั้งนั้น
อู๋ตี้ในเวลานี้ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “แน่นอนว่านี่คือของสะสมของเผ่ามังกร ทั้งหมดล้วนเป็นแกนวิญญาณที่พร่างพราวของสัตว์เทพ ยอดเยี่ยมจริง ๆ นายท่านจะยกของเหล่านี้ให้ข้าใช่หรือไม่?”
เสี่ยวหงกล่าวว่า “ฝ่าด่านมาจนถึงที่นี่ไม่ใช่ความดีความชอบของเจ้าคนเดียวเสียหน่อย ต้องแบ่งให้ข้าด้วย!”
“ถึงเจ้าหมูขี้เกียจอย่างเจ้าจะเอาไปก็ไม่มีประโยชน์ไม่ใช่หรือ?”
“ข้าจะเอามาเล่นไม่ได้หรือไง?”
“ไม่ได้!”
“หากเจ้าอยากได้มันก็ได้อยู่หรอก ขอร้องข้ามา ขอร้องข้ามาสิ!”
“เจ้าหมูขี้เกียจอย่างเจ้าฝันไปเสียเถอะ!”
ในขณะที่เสี่ยวหงและอู๋ตี้กำลังทะเลาะกันอย่างเมามันนั้นเอง มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้นมาว่า “มีคนมาแล้ว เสี่ยวหง อู๋ตี้พวกเจ้ากลับไปก่อน ปัญหาเรื่องการแบ่งแกนวิญญาณ ออกไปแล้วค่อยว่ากัน”
“ขอรับ!”
พวกเขากลับไปอย่างเชื่อฟัง และมู่เฉียนซีก็เริ่มทำการเก็บแกนวิญญาณต่อ และเป็นเพราะว่าชั้นก่อนหน้านี้พิฆาตวิญญาณกวาดล้างอย่างรวดเร็วเกินไป จึงไม่ได้มีโอกาสร่วมทางกับคนอื่น
และที่ชั้นสี่นี้คนที่กำลังจะมา ก็ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่?
ในตอนที่คนผู้นั้นเดินเข้ามา นางก็มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยจนคุ้นเคยมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว และพูดได้ว่า เป็นศัตรูอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตอีกด้วย
แววตาของมู่เฉียนซีฉายแววเย็นยะเยือกออกมา และพยายามสะกดกั้นจิตสังหารเอาไว้ เพราะไม่อยากที่จะเปิดการต่อสู้กับมู่หลินหลางที่นี่
ดังนั้นนางจึงแสดงท่าทางเพิกเฉยต่อมู่หลินหลาง และเก็บรวบรวมแกนวิญญาณเหล่านั้นต่อไป โชคดีที่ของเหล่านี้เป็นเสบียงอาหารของอู๋ตี้ของนางได้ และมันก็เป็นเสบียงอาหารที่ทำให้อู๋ตี้เลื่อนขั้นความสามารถได้อีกด้วย
มู่หลินหลางประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะมีคนที่เพิกเฉยต่อนางได้อย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ด้วย
มู่หลินหลางกล่าวอย่างใช้อำนาจบาตรใหญ่ว่า “แกนวิญญาณสัตว์เทพไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเอาไปคนเดียวได้ ข้าต้องการส่วนแบ่งเก้าต่อสิบส่วน ส่วนที่เหลือหนึ่งในสิบส่วน ถือว่าข้าให้รางวัลเจ้า”
มู่เฉียนซียังคงเก็บต่อไป และไม่เหลือแกนวิญญาณไว้เลยแม้แต่ก้อนเดียว จากนั้นนางก็หันหน้ากลับไปกล่าวกับมู่หลินหลางว่า “ทั้งหมดนี้การมาก่อนมาหลังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และข้าก็เป็นคนมาก่อน ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ข้าสามารถกวาดไปได้ทั้งหมด”
“ดีจริง ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกล้าพูดเช่นนี้กับข้า?”
มู่เฉียนซีเดินหน้าไปแล้วกล่าวว่า “เจ้าจะถอยไปหน่อยได้หรือไม่? ข้ายังมีธุระที่ต้องทำอีก”
ความเฉยเมยของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าทำให้มู่หลินหลางรู้สึกไม่สบายใจ และมันก็ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไรนัก
“ข้ามักจะให้โอกาสคนเพียงครั้งเดียวเสมอ ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้มันสักหน่อยแล้ว”
มู่หลินหลางไม่ได้หลีกทาง แต่กลับโจมตีกลับมาทันที
ทันทีที่นางเคลื่อนไหว การโจมตีของนางก็ไม่อ่อนโยนเลยแม้แต่นิดเดียว นางระเบิดพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งออกมา และพุ่งเข้าโจมตีมู่เฉียนซีอย่างรุนแรง
มู่เฉียนซีเบี่ยงตัวหลบหลีก และเหลือบมองไปที่มู่หลินหลาง
ตอนที่อยู่ที่ดินแดนทั้งสี่ทิศ ในตอนแรกแม้แต่พลังส่วนหนึ่งของนางยังยากที่จะจัดการได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ นางสามารถจัดการกับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับสูงสุดคนหนึ่งได้ ถึงแม้ว่าจะเอาชนะไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้มู่หลินหลางชนะได้เช่นกัน
มู่หลินหลางประหลาดใจเล็กน้อย “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะหลบได้”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเหน็บแนมว่า “องค์หญิงหลินหลางผู้น่าเกรงขามที่เป็นถึงอัจฉริยะอันกับหนึ่งแห่งราชวงศ์ตงหวง แม้แต่แกนวิญญาณสัตว์เทพเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังขาดแคลนถึงขนาดที่ต้องมารังแกคนอื่นเช่นนี้ หรือว่าราชวงศ์ตงหวงถูกรุ่นของพวกเจ้าทำให้ยากจนข้นแค้นไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ในเมื่อรู้ว่าข้ามีสถานะเป็นถึงองค์หญิง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าพูดจาหยาบคายเช่นนี้ออกมาได้ ช่างกล้าเสียเหลือเกิน!” แววตาของมู่หลินหลางฉายแววความชั่วร้ายออกมา
ในเมื่อถูกยั่วยุเช่นนี้ มู่หลินหลางจะไปทนได้อย่างไร!
นางลงมืออีกครั้งในทันที และมู่เฉียนซีก็เอาพัดวิหคเฟิงหลิงออกมา
“เกราะพลังวายุ!”
“วายุกลืน จันทร์สะพรั่ง!”
เกาะป้องกันพลังธาตุวายุระเบิดออกมา และสกัดกั้นเอาไว้ได้ แม้ว่าในตอนแรกมู่หลินหลางจะบอกว่าเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับสูงสุด แต่ทักษะวิญญาณของนางนั้นแข็งแกร่งมากจริง ๆ และไม่สามารถจัดการได้เหมือนคนอื่น ๆด้วย!
“เกาะป้องกันเพียงเล็กน้อยเท่านี้คิดจะเอามาสกัดกั้นการโจมตีของข้าหรือ ช่างน่าขันเสียจริง ๆ!”
ตูมมมม!
ตัวของมู่เฉียนซีลอยละลิ่วออกไป แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของมู่หลินหลางก็คือ การที่มู่เฉียนซีไม่ได้รับบาดเจ็บเลยต่างหาก
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย”
สายลมพัดโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง และมู่หลินหลางก็โจมตีกลับไปโดยตรง
“ใช้ธาตุวายุแต่คิดจะโจมตีข้า เจ้ายังมีคุณสมบัติไม่พอหรอก!”
พลังธาตุวายุระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่อง และทักษะวิญญาณที่แข็งแกร่งก็กวาดไปทางมู่เฉียนซี
“พลังวายุทำลาย จันทราหนาวเหน็บ!”
ตูมมม โครมม!
หลังจากที่ประลองฝีมือและทดสอบกันอยู่หลายรอบ มู่หลินหลางก็ค้นพบว่าการฝึกฝนทักษะวิญญาณของอีกฝ่ายไม่ได้แย่ไปกว่านางเลย
นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ทักษะวิญญาณที่นางฝึกฝนแข็งแกร่งมากที่สุดในบรรดาทักษะวิญญาณทั้งหมดของราชวงศ์ตงหวง อีกทั้งยังฝึกฝนยากที่สุดอีกด้วย
ปัง ปัง ปัง!
ความเร็วและการป้องกันทางกายภาพ ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน
“เจ้าคือมู่เฉินซีคนนั้นอย่างนั้นหรือ!”
ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตคนนี้กลับมีพลังในการต่อสู้ถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูต อายุน้อยเช่นนี้ นอกจากมู่เฉินซีคนนั้นแล้ว มู่หลินหลางก็เดาเป็นคนอื่นไม่ได้เลย
เดิมทีแล้วนางไม่ได้ใส่ใจคนผู้นี้มากเท่าไรนัก ถึงแม้จะมีสำนักหลางซิงและสำนักหลินเยว่ที่ไร้ประโยชน์ไปสักหน่อย แต่ก็ไม่คิดว่าจะจัดการแม้แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งไม่ได้เช่นนี้
ตอนนี้ที่นางได้ประลองฝีมือกับหญิงสาวผู้นี้ มู่หลินหลางก็รู้สึกว่านางจำเป็นที่จะต้องเผชิญหน้ากัยแม่เด็กน้อยนี่สักหน่อยแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ใช่แล้ว! ข้าคือมู่เฉินซีเอง”
“เจ้าคิดว่าข้าจะสู้เจ้าไม่ได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ? วิหคอัคคี จงออกมา!”
แสงสีแดงเข้มสว่างวาบออกมา และวิหคสีแดงตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมา
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สัตว์เทพระดับหนึ่ง มู่หลินหลาง เจ้าคิดว่าเจ้ามีมันเพียงคนเดียวหรืออย่างไร?”
“เสี่ยวโม่โม่ ออกมาเล่นเป็นเพื่อนกับวิหคอัคคีนี้เสียหน่อย”
พลังแห่งความมืดทะลักออกมา วิหคอัคคีตัวนั้นจ้องมองไปที่เสี่ยวโม่โม่ด้วยความตกใจ “เป็นหงส์นิลจากเผ่าหงส์ ไม่ใช่สิ…พลังแห่งความมืดนี่มันคืออะไรกัน? หงส์นิลกลายพันธุ์อย่างนั้นหรือ!”
.