ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1985 กำหนดระดับ
“ตัวใหญ่แล้วมันสุดยอดนักหรืออย่างไร ร้องโฮกฮากทำไมกัน คิดว่าข้าเสี่ยวโม่โม่กลัวเจ้าอย่างนั้นหรือ?” เมื่อเผชิญหน้ากับการยั่วยุของหมาป่าสีเงินของแสงสว่าง เสี่ยวโม่โม่ก็โกรธมากเช่นกัน
พลังไม่มีการแบ่งดีชั่ว เพราะทุกอย่างต่างขึ้นอยู่กับการใช้งานพลังของบุคคลเท่านั้น ซึ่งความคิดของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างนั้นชี้ขาดเกินไป
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “สู้มัน”
ตูมมม!
กลุ่มของพวกเขาถูกหมาป่าสีเงินพุ่งเข้าโจมตี และหมาป่าสีเงินที่อยู่บริเวณโดยรอบยิ่งอ่อนแอลงเรื่อย ๆ
หลังจากที่เข้ามาในนี้แล้วก็ได้ถูกค่ายกลปิดล้อมเอาไว้ ศัตรูที่เข้ามาโจมตีพวกเขาแตกต่างกันออกไป แต่ทว่าล้วนครอบครองพลังแห่งแสงสว่างดัวยกันทั้งนั้น ซึ่งมันก็มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ตูมมม โครมมม!
และสิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นก็คือ หากพ่ายแพ้ให้กับหมาป่าสีเงินแห่งแสงสว่าง ก็จะไม่ตาย แต่จะกลายเป็นหมาป่าสีเงินและมาจัดการพวกเขาแทน
และพวกเขาก็ได้กลายเป็นผู้พิทักษ์ไปอย่างไม่รู้ตัว
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ต้องจัดการให้รวดเร็วฉับไว!”
ฟิ้วว!
เสี่ยวโม่โม่เบี่ยงเบนความสนใจของศัตรู และให้มู่เฉียนซีก็แอบลอบโจมตี
ขนปีกหงส์ทมิฬทะลุผ่านร่างกายของพวกมันไป และมันก็ทำให้หมาป่าแห่งแสงสว่างหายไปในพริบตาเดียว
เสี่ยวโม่โม่กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “พวกเราชนะแล้ว นายท่าน!”
“ใช่! ลุยกันต่อเถอะ!” มู่เฉียนซีกล่าว
ฉงหมิงกล่าวว่า “ใช้ขนปีกหงส์ทมิฬ กลุ่มหนึ่งโจมตีหลัก อีกกลุ่มลอบโจมตี”
แน่นอนว่าขนปีกหงส์ทมิฬในครอบครองของลูกน้องฉงหมิงไม่ได้ทำมาจากขนนกของเสี่ยวโม่โม่อยู่แล้ว แต่ก็เป็นขนของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บินได้ที่มีพลังธาตุแห่งความมืดเช่นกัน ฉะนั้นจึงสามารถควบคุมพลังแห่งแสงสว่างได้
“ฉงหมิง มีของดีอะไรเจ้ารีบเอาออกมาซะ!” เนื่องจากสถานการณ์ทางด้านของฉงหมิงดีเป็นอย่างมาก จูเชว่จึงกล่าวขึ้น
“นี่คืออาวุธที่มีอยู่ในตอนนี้ ออกไปแล้วก็อย่าลืมจ่ายเงินให้ด้วยล่ะ” ฉงหมิงโยนแหวนมิติสองวงไปให้กับไป๋เจ๋อและจูเชว่
หลังจากที่มีของเหล่านี้แล้วสถานการณ์ก็ดีขึ้นมาไม่น้อยเลย
จิ่วเยี่ยไม่อยากที่จะเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไป เขาจึงระเบิดพลังที่น่าสะพรึงกลัวนั้นออกมา สิ่งของที่เขาต้องการ ไม่จำเป็นต้องให้ใครยื่นมือเข้ามาช่วย
ถึงแม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นคนที่ซีไว้วางใจมากก็ตาม
พลังแห่งความมืดอันไร้ขอบเขตที่รุนแรง ทำให้หมาป่าสีเงินแห่งแสงสว่างตัวหนึ่งมลายหายไปราวกับน้ำแข็งก้อนหนึ่งที่เจอกับไฟอย่างไรอย่างนั้น
และเมื่อร่างเงาของจิ่วเยี่ยกระโดดข้ามไป หมาป่าสีเงินเหล่านั้นก็หายไปในพริบตา
แม้ว่าค่ายกลนี้จะสามารถสร้างหมาป่าสีเงินออกมาได้จำนวนนับไม่ถ้วน แต่ทว่าความเร็วของมันก็ไม่อาจสู้ความเร็วของจิ่วเยี่ยได้อยู่ดี
แกร่ก!
ค่ายกลนี้กำลังเกิดรอยร้าว
ม่านตาของคนอื่น ๆ หดลงอย่างรวดเร็ว คนผู้นี้…ความสามารถของคนผู้น้จะน่ากลัวเกินไปหน่อยแล้ว!
เพล้ง!
และทันใดนั้นค่ายกลที่ขังพวกเขาเอาไว้ ก็แตกออกอย่างสมบูรณ์
“ไปกันเถอะ!” มู่เฉียนซีกล่าว
สถานที่ที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไป ก็ต้องเป็นสถานที่ที่ฉู่หลีออกไปก่อนหน้านี้แน่นอนอยู่แล้ว
ศิษย์พี่เป็นคนทำให้สุสานมังกรของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างปรากฏออกมา ฉะนั้นนางจึงเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มของมู่หลินหลางก็ทำลายค่ายกลด้วยความรุนแรงเช่นกัน
มู่หลินหลางกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ความเร็วมันช้าเกินไปหน่อยนะ”
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย หลังจากนี้ไม่นาน ค่ายกลนี้ต้องพังทลายลงแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
“เร็วกว่านี้อีก!” มู่หลินหลางกล่าวอย่างเอาแต่ใจ
มู่เฉียนซีและพรรคพวกเดินหน้าไป และได้ถูกค่ายกลกักขังเอาไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ต่าง ๆ ที่ธาตุแสงสร้างขึ้นมามากมายอีกด้วย
พลังของจิ่วเยี่ยควบคุมพลังแห่งแสงสว่างได้อย่างหนักแน่น ดังนั้นตลอดทั้งทางของพวกเขาจึงเป็นไปด้วยความราบรื่น
แสงสว่างของเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นมีกลิ่นอายที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ดูท่าทางแล้วมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างคงคิดวางแผนและวางกลอุบายใหม่อีกแล้วเป็นแน่
มือของจิ่วเยี่ยกำมือของมู่เฉียนซีเอาไว้แน่น หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินเข้าไปภายในหมอกนั่น
ฟิ้ววว!
แล้วมันก็เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ มีบางอย่างที่แอบซ่อนอยู่ภายในหมอกนั้นจริง ๆ และมันก็เข้าโจมตีพวกเราอย่างเงียบเชียบ
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ระวัง!”
หากถูกทำให้พ่ายแพ้ ก็จะต้องกลายเป็นหมอกนั้นอย่างแน่นอน
มู่เฉียนซีรวบรวมพลังวิญญาณ และไม่กล้าที่จะประมาทเลินเล่อเลยแม้แต่น้อย
“พลังวายุจันทราไร้คู่!”
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
สิ่งของที่พวกเขาใช้โจมตีกลายเป็นหมอกไปในทันที ซึ่งทำให้การโจมตีของพวกเขาไร้ประโยชน์ไปอย่างสิ้นเชิง
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “อย่าหยุด รีบออกไปจากที่นี่ในคราวเดียว หากอยู่ที่นี่ ต่อให้มีความสามารถก็ยังอันตรายอยู่ดี!”
“พุ่งออกไปเร็วเข้า!”
พวกเขาเร่งความเร็วมากขึ้นไปอีก พวกเขาพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง และจิ่วเยี่ยก็ไม่ได้ปล่อยมือของเขาออกจากมือของมู่เฉียนซีเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่ในตอนที่มู่เฉียนซีรู้สึกว่ากำลังจะออกไปจากอาณาเขตของแสงสว่างนี้ได้แล้วนั้น นางกลับค้นพบว่าคนที่จับมือนางไว้แน่นได้หายไปแล้ว
บริเวณโดยรอบเหลือเพียงแค่นางคนเดียวเท่านั้น ด้านหน้ามีประตูบานหนึ่ง บนประตูบานนั้นเขียวตัวเลขไว้หนึ่งตัว คือเลขเจ็ด
“นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?”
หลังจากมู่เฉียนซีผลักประตูบานนั้นออก แสงสว่างที่ระเบิดออกมาจากข้างในนั้นก็ทำให้ระคายตาเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังทำให้รู้สึกว่าดวงตาเจ็บเจียนตายเลยด้วย
นางรู้สึกว่าเกล็ดมังกรที่อยู่ในมิติมีปฏิกิริยาตอบสนองบางอย่าง ฉะนั้นมู่เฉียนซีจึงได้หยิบเอาเกล็ดมังกรอันนั้นออกมา และเกล็ดมังกรนั้นก็บินออกไปทันที
มู่เฉียนซีผงะไปเล็กน้อย “หรือว่าเจ้าของเล่นนี่จะสามารถนำทางได้อย่างนั้นหรือ?”
และนางก็ไล่ตามไปอย่างเงียบ ๆ
จื่อโยวที่ไล่ตามมาทางด้านหลังได้พยายามไล่ตามราชาของพวกเขามาอย่างเต็มที่ แต่ผลที่ได้ก็คือตามคนไม่ทัน และยังเข้ามาในสถานที่ที่แปลกประหลาดนี้อีกด้วย
ด้านหน้ามีประตูอยู่บานหนึ่ง และบนประตูนั้นก็เขียนเลขสิบเอ็ดเอาไว้ด้วย
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันละเนี่ย?”
เขาชกไปที่ประตูจนมันเปิดออก พลังแห่งแสงสว่างที่ระเบิดออกมาเกือบจะทำให้คนละลายได้อยู่แล้ว จื่อโยวรู้สึกว่าคทาแห่งแสงที่จิ่วเยี่ยทิ้งไว้ให้เขาราวกับเป็นขยะก็มิปานในตอนแรกนั้น ตอนนี้มันมีปฏิกิริยาตอบสนองเกิดขึ้นแล้ว
คทาแห่งได้เปิดเส้นทางให้เส้นทางหนึ่ง จึงทำให้จื่อโยวรู้สึกดีเป็นอย่างมาก
จื่อโยวกล่าวว่า “เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังแห่งแสงสว่าง ข้าไม่ชอบเลยจริง ๆ”
ขณะเดียวกันมู่หลินหลางก็มาถึงแล้วเช่นกัน และเลขที่อยู่บนประตูตรงหน้าของนางนั้น ก็คือเลขห้า!
มู่เฉียนซีไล่ตามเกล็ดของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างแผ่นนั้นไป และต่อมาด้านหน้าก็มีรูปปั้นหินแห่งแสงสองตัวปรากฏขึ้น
หลังจากที่มู่เฉียนซีมาถึง รูปปั้นนั้นก็กล่าวว่า “เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเจ้าคือมนุษย์ แต่กลับเต็มไปด้วยพลังแห่งความมืด พลังที่แท้จริงของเจ้าอ่อนแอมาก แต่ต้องการผ่านการทดสอบระดับเจ็ด เจ้าไม่มีทางผ่านด่านได้หรอก หากเจ้าคุกเข่าต่อหน้าข้าไปเจ็ดพันปีละก็ เจ้าก็จะได้ชำระล้างพลังแห่งความมืดในชีวิตของเจ้า และจากนั้นก็มารับใช้เจ้านายของข้าเสีย”
มู่เฉียนซีแอบคิดว่า : นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?
สิ่งที่รับรู้ได้ภายในคำพูดนั้นมีแค่เพียงว่า ระดับบนประตูนั้นก็คือระดับของการทดสอบนั่นเอง
สาเหตุที่ทำให้พลังแห่งความมืดของนางแข็งแกร่งขนาดนี้ น่าจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ของเสี่ยวโม่โม่และยังมีการเชื่อมต่อกันกับจิ่วเยี่ยอีกด้วย
แต่จะให้นางมาคุกเข่าถึงเจ็ดพันปี นี่มันเป็นเรื่องตลกอะไรกัน
“แค่ของเล่นอย่างพวกเจ้า ยังคิดจะมาสั่งให้ข้าคุกเข่าอีกหรือ! เสี่ยวโม่โม่ ลงมือ!”
เสี่ยวโม่โม่เริ่มลงมือ ซึ่งแน่นอนว่าพลังแห่งความมืดนี้ได้ส่งผลกระทบต่อรูปปั้นเหล่านี้โดยตรง หลังจากนั้นรูปปั้นทั้งสองก็เริ่มเคลื่อนไหว
“ในเมื่อเจ้าไม่พอใจ และยังดื้อดึงไม่ยอมรับผิด เช่นนั้นก็ให้พวกข้าชำระล้างเจ้าเสียเถอะ!”
“อู๋ตี้ เสี่ยวหง พวกเจ้าออกมาสู้ซะ!”
คิดไม่ถึงว่าเจ้าของเล่นเหล่านี้จะมีความสามารถเป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดเลยทีเดียว ไม่แปลกใจเลยที่พวกมันทั้งสองจะรู้สึกว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันเลยสักนิดเดียว
หลังจากที่เสี่ยวหงระเบิดเปลวเพลิงออกมา พวกเขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก
ตูมมม โครมม!
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “พิฆาตวิญญาณ!”
พิฆาตวิญญาณกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าลูกแมวน้อย เจ้ารู้สึกว่าถึงจุดวิกฤตแล้วใช่หรือไม่ หรือว่าเป็นเพราะผู้ผูกพันธสัญญาของเจ้าเชื่อถือได้มากกว่าล่ะ! หากเป็นพลังของหวงจิ่วเยี่ย น่าจะถูกโยนเข้าไปในสถานที่ที่เป็นระดับสูงที่สุดแล้วก็เป็นได้ ศัตรูทางนั้น อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเป็นระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นเทพวิญญาณเป็นแน่”
สีหน้าของมู่เฉียนซีเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก “อะไรนะ? ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นเทพวิญญาณหรือ?”
แต่เมื่อคิดดูแล้วก็มีความเป็นไปได้เป็นอย่างมาก นางอยู่ที่นี่ยังเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงเลย ฉะนั้นมันคงจะกลายเป็นเรื่องแปลกหากคู่ต่อสู้ที่จิ่วเยี่ยต้องเผชิญหน้าไม่มีความน่าหวาดกลัว
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนั้น อีกทั้งยังต้องคอยสะกดพลังของคำสาปเอาไว้ด้วย คำสาปมันคงจะไม่ปะทุขึ้นมาหรอกนะ?
.