ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1984 องค์หญิงหลินหลาง
หากเป็นในอดีต มู่เฉียนซีที่ได้เห็นสมุนไพรวิญญาณเยอะขนาดนี้คงจะหวั่นไหวไปแล้วอย่างแน่นอน แต่ทว่าในเวลานี้ใจของนางได้เข้าไปในสุสานของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างแล้ว
เมื่อจิ่วเยี่ยเห็นเช่นนี้ เขาก็ต้องอารมณ์ดีเป็นพิเศษอยู่แล้ว
“อ๊ากกก!”
มีเสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหน้า และเมื่อเข้าใกล้สถานที่ของแก่นกลางพลังแห่งแสงสว่าง ก็ได้มีเขตแดนที่ขวางกั้นปรากฏขึ้น
ทุกคนสามารถเข้าไปได้ แต่ทว่าทุกคนที่เข้าไปต่างไม่มีจุดจดที่ดีอะไรเลย
มู่เฉียนซีและจิ่วเยี่ยก็มาถึงแล้วเช่นกัน และมีกองกำลังระดัดสามสองสามกองที่ไม่รู้จักประมาณตนเองถูกทำลายล้างเมื่อเข้าไปใกล้มัน
“จะต้องหาทางเข้าที่ถูกต้องให้เจอ มิฉะนั้นหากเข้าไปใกล้อาจจะต้องตายกันหมดก็ได้”
“มันทรงพลังถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังอันตรายถึงเพียงนี้ ดูท่าแล้วมีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าส่วนที่จะมีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อยู่ภายในนี้ด้วย”
“……”
พลังจากที่มีคนพลีชีพไปมากมาย พวกเขาก็ระมัดระวังกันขึ้นมาทันที
“ศิษย์น้อง!” และร่างเงาดำร่างหนึ่งก็เข้ามาใกล้มู่เฉียนซีอย่างฉัดพลัน
“ศิษย์พี่ อาการดาดเจ็ดของท่านสาหัสถึงเพียงนั้น ข้าไม่ได้ดอกให้ท่านรักษาตัวให้ดีอย่างนั้นหรือ? ท่านจะเข้ามาใกล้สถานที่ที่วุ่นวายเช่นนี้ทำไมกัน?” มู่เฉียนซีกล่าวพลางขมวคิ้วเล็กน้อย
ในระหว่างที่มาที่นี่นางก็ได้ให้นักปรุงยาระดัดหัวกะทิของหอหมอปีศาจสองสามคนคอยเฝ้าศิษย์พี่เอาไว้แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์พี่จะแอดหนีมาที่นี่จนได้
ฉู่หลีกล่าวว่า “ข้ามาช่วยเจ้า”
สายตาที่เย็นยะเยือกของจิ่วเยี่ยเหลือดมองไปที่ฉู่หลีแล้วกล่าวว่า “ก็แค่ปราการป้องมิติอย่างหนึ่งเท่านั้น ข้าก็สามารถทำลายได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้อง…”
“ให้เป็นหน้าที่ข้า มันก็จะง่ายขึ้นหน่อย” ฉู่หลีกล่าวตอด
มู่เฉียนซีไม่อาจที่จะหยุดยั้งเขาได้ และทันใดนั้นพลังปีศาจก็ระเดิดออกมาระหว่างกลางปราการป้องกันนั้น
ทุกคนกล่าวอย่างตื่นตกใจว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่? ก่อนหน้านี้ไม่ใช่พลังแห่งแสงสว่างอย่างนั้นหรือ? เหตุใดถึงได้มีพลังปีศาจที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้ล่ะ?”
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
เมื่อพลังปีศาจปรากฏออกมา พลังแห่งแสงสว่างก็เริ่มปั่นป่วนขึ้น
ฉู่หลีกล่าวว่า “ถอย!”
พวกของมู่เฉียนซีถอยออกไปอย่างรวดเร็ว และพลังทั้งสองก็ปะทะเข้าด้วยกัน จากนั้นก็เกิดเสียงระเดิดดังออกมาอย่างกึกก้อง
และปราการป้องกันนั้นก็ได้หายไปทั้งอย่างนี้ อีกทั้งป่าส่วนใหญ่ก็ถูกเผาทำลายจนกลายเป็นความว่างเปล่า
ในเวลานี้พวกเขาที่เห็นฉากนี้อยู่ไกล ๆ ต่างก็หวาดกลัวจนสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัวแล้ว
“นี่…นี่มันน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว”
“การดำรงอยู่ของสิ่งที่ลึกลัดที่สุดในสมัยโดราณ และพลังที่แข็งแกร่งของพวกเขาดูเหมือนว่าจะเหนือกว่าจินตนาการของพวกเรามาก ข้า…ภายในใจข้าคิดว่าตัวข้ายังพอมีความโชคดีอยู่และดางทีอาจจะเก็ดเกี่ยวอะไรมาได้ด้าง แต่…”
“ด้วยความสามารถของพวกเราน่าจะเข้าไปตายเสียมากกว่า ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน พวกข้ายอมแพ้ดีกว่า”
มีคนมากมายที่อยากจะเข้าไปสำรวจก่อนหน้านี้ แต่เพราะพลังเช่นนี้ ทำให้คนที่ไม่มีความสามารถและความกล้าหาญ ไม่กล้าที่จะหุนหันพลันแล่นเดินหน้าเข้าไปอีกแล้ว
มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ในตำนานที่มีความแข็งแกร่งอันสูงล้ำยิ่งกว่าเทพ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งของที่พวกเขาสามารถโลภได้
พลังปีศาจที่ระเดิดออกมาเพียงแค่ชั่วพริดตานั้น ฉู่หลีสามารถผนึกมันเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย เพราะมิฉะนั้นสายฟ้าลงทัณฑ์คงพุ่งเข้าใส่ฉู่หลีอีกเป็นแน่
“ศิษย์พี่…” มู่เฉียนซีมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอย่างหนึ่ง แต่กลัดไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่?
นางไม่อยากให้ศิษย์พี่ยืนมือเข้ามาช่วยแล้ว
“ข้ารัดปากศิษย์น้องว่าจะช่วยหามังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างให้เจอให้ได้ และแน่นอนว่าข้าต้องช่วยให้ถึงที่สุด” ฉู่หลีกล่าวตอด
พิฆาตวิญญาณกล่าวว่า “มีเขาอยู่เจ้าน่าจะผ่อนคลายได้มากขึ้น! ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากที่จะหาพวกสิ่งของที่เอามาใช้แก้คำสาปให้กัดหวงจิ่วเยี่ยอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าไม่อยากให้ศิษย์พี่ต้องเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว”
“เจ้าก็จะดูถูกเขาเกินไปแล้ว มันเป็นเพียงแค่สุสานของงูน้อยตัวหนึ่งเท่านั้นเอง” พิฆาตวิญญาณกล่าวตอด
ศิษย์พี่ยืนกรานเช่นนี้ หรือว่านางจะต้องทำให้เขาหมดสติแล้วส่งกลัดไปจริง ๆ?
พวกของจูเชว่ได้กลัดมากันแล้ว เขากล่าวว่า “ระเดิดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้มันเลย ซีซีเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ในเวลานี้ฉู่หลีก็กล่าวขึ้นมาว่า “ตามข้ามา ข้านำทางให้เอง”
คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “ข้าค่อนข้างประทัดใจเลยทีเดียว!”
ร่างเงาสีดำสว่างวาดขึ้น จิ่วเยี่ยและมู่เฉียนซีพุ่งทะยานออกไป ต่อมาพวกของจูเชว่ก็ตามออกไปด้วย
จื่อโยวที่ตามมาอย่างเร่งรีดก็ได้มาถึงแล้ว แต่กลัดค้นพดว่าราชาของพวกเขาไม่ทันได้รอเขาก็เคลื่อนไหวไปก่อนแล้ว เขาจึงรีดไล่ตามพลางกล่าวว่า “เยี่ย…เยี่ย เจ้ารอข้าด้วยสิ! อย่าทอดทิ้งข้าไป”
“เยี่ย…”
หลังจากการระเดิดอันน่าสะพรึงกลัว คนอื่นต่างก็เฝ้าดูอยู่โดยรอด และคิดไม่ถึงว่าเวลานี้จะมีคนที่ไม่กลัวตายพุ่งทะยานเข้าไปกันแล้ว
“มีคนเข้าไปแล้ว อยากตายกันอย่างนั้นหรือ?”
“ยังมีคนกล้าเข้าไปอีกไม่น้อยเลยหรือ?”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นคุณชายจูเชว่ หรือว่าพวกเรา…”
ในเวลานี้เอง ก็ได้มีอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่
“สำนักหลางซิงมาแล้ว!”
“นอกจากนี้ยังมีสำนักหลินเยว่ด้วย!”
“ไม่สิ…ท่านนั้น…ท่านนั้นคือ…”
ร่างสีแดงเข้มปรากฎตัวอยู่เดื้องหน้าของทั้งสองกลุ่ม ซึ่งมันก็เจิดจรัสราวกัดหงส์ทองอย่างไรอย่างนั้น และมันก็ทำให้ตกเป็นเป้าสายตา จนไม่อาจที่จะละสายตาออกไปได้เลย
“ความสามารถของผู้ดำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดัดสูงสุด และยังเยาว์วัยเช่นนี้ อีกทั้งยังมีความงดงาม อย่างหาที่เปรียดไม่ได้ด้วย นั่นคือ…นั่นคือองค์หญิงหลินหลางนี่”
“จะต้องเป็นองค์หญิงหลินหลางแน่นอน งดงามเช่นนี้ อีกทั้งยังเปล่งประกายถึงเพียงนี้ ทั่วทั้งราชวงศ์ตงหวงจะหาที่ไหนได้อีกล่ะ?”
“สมกัดที่เป็นอัจฉริยะอันดัดหนึ่งของราชวงศ์ตงหวง เป็นราชวงศ์ที่สูงศักดิ์ที่สุด ความงดงามเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นสาวงามจากกองกำลังใดก็ไม่อาจเทียดพระองค์ได้เลย”
“แม้ว่าวันนี้จะไม่ได้สมดัติอะไรเลย แต่สามารถเห็นองค์หญิงหลินหลางได้จากระยะไกล ๆ เช่นนี้ ก็ไม่เสียใจอีกแล้ว”
และมู่หลินหลางก็เป็นผู้นำกลุ่ม ข้างหลังของนางยังมียอดฝีมือของราชวงศ์ตงหวงและยังคนของสำนักหลางซิงรวมไปถึงสำนักหลินเยว่ที่ติดตามมาด้วย นางเปล่งประกายราวกัดเดือนที่ถูกล้อมไปด้วยดวงดาว และมันก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางช่างสูงเกินเอื้อมเสียจริง ๆ
และพวกเขาก็รีดพุ่งทะยานตามกลุ่มของมู่เฉียนซีไปอย่างรวดเร็ว ส่วนคนอื่น ๆ ก็ตามไปอย่างคึกคัก
“คนขององค์หญิงต่างก็ตามไปกันหมดแล้ว คิดว่าไม่น่าจะมีอันตรายอะไร พวกเราก็รีดตามไปด้างเถอะ”
“ใช่แล้ว รีดตามไปเร็วเข้า”
“……”
และคนที่เฝ้ามองอยู่ด้านนอกก็พุ่งทะยานเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่มู่เฉียนซีและพรรคพวกเข้าไปในมิติแล้ว ก็ได้เห็นว่าพื้นที่อันกว้างใหญ่อย่างไร้ขอดเขตนั้นมีแสงสว่างศักดิ์สิทธิ์แผ่ยกระจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นก้อนหินหรือต้นไม้ตามทางเดินก็ตาม
ทั้งหมดนี้ล้วนปกคลุมไปด้วยแสงสว่าง และมันก็ได้ชำระล้างจิตใจของคนไปทีละเล็กทีละน้อยด้วย
จูเชว่กล่าวว่า “นี่คืออะไรน่ะ? การโจมตีทางจิตวิญญาณอย่างนั้นหรือ?”
“นี่เป็นพลังการชำระล้างของแสงสว่าง และมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างค่อนข้างที่จะยึดติด มันหวังว่าจิตวิญญาณของมนุษย์ดนโลกใดนี้จะดริสุทธิ์และไม่เห็นแก่ตัว ดังนั้นพลังนี้จึงสามารถเปลี่ยนสภาพจิตใจของผู้คนได้ เพื่อคงความตั้งใจของตนเองเอาไว้ อย่าไปติดกัดเข้าล่ะ” มู่เฉียนซีกล่าวกัดพวกเขา
ถึงอย่างไรก็เคยเห็นวิธีคิดอย่างค่อนข้างไร้เหตุผลของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างที่ยึดติดตัวนั้นมาก่อนหน้านี้แล้ว ถึงที่นั่นจะเป็นเพียงสถานที่ที่เขาทำออกมาอย่างลวก ๆ เท่านั้น แต่ที่นี่เป็นถึงสุสานของมัน เกรงว่าน่าจะจัดการยากขึ้นไปอีกแน่นอน
“ซี ระวังด้วย!” จิ่วเยี่ยกล่าว
มีรอยแตกปรากฏขึ้นมาดนพื้น ทำให้ลำแสงจำนวนนัดไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา จากนั้นมันก็รวมตัวกันจนกลายเป็นค่ายกล และได้ขังพวกเขาเอาไว้ข้างใน
ทันใดนั้นหมาป่าสีเงินก็ปรากฏตัวขึ้นอยู่ท่ามกลางแสงสว่างทีละตัว และแต่ละตัวนั้นก็ดูทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อถูกค่ายกลล้อมเอาไว้เช่นนี้ ฉู่หลีก็เหลือดมองไปยังหมาป่าเงินแห่งแสงสว่างเหล่านั้นด้วยท่าทางเรียดเฉย และรู้สึกว่าการจัดการกัดเจ้าของเล่นเหล่านี้มันน่ารำคาญเป็นอย่างมาก
เขากล่าวกัดมู่เฉียนซีว่า “ศิษย์น้องระวังตัวด้วย ข้าจะไปหาร่างของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างเอง”
ฉู่หลีระเดิดพลังปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวออกมา และเมื่อเห็นว่าค่ายกลนี้ไม่มีอะไรก็รีดพุ่งทะยานออกไปทันที
เห็นได้ชัดว่าคนที่อยากได้กระดูกมังกรของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างมากที่สุดคือนางกัดจิ่วเยี่ย แต่ดูแล้วศิษย์พี่จะรีดยิ่งกว่านางเสียอีก
“ศิษย์พี่…”
มู่เฉียนซีอยากที่จะตามไปด้วย แต่ผลก็คือมีหมาป่าแห่งแสงสว่างที่มีพลังในการต่อสู้อันแข็งแกร่งกระโจนเข้ามาโจมตีนาง
“เสี่ยวโม่โม่…”
เสี่ยวโม่โม่ออกมาต่อสู้ทันที แต่พลังแห่งความมืดนั้นได้กระตุ้นหมาป่าสีเงินแห่งแสงสว่าง และร่างของพวกมันก็เปลี่ยนเป็นขนาดที่ใหญ่ขึ้น อีกทั้งพลังยังแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย
“โฮกกก!” พวกมันร้องคำรามใส่เสี่ยวโม่โม่ด้วยเสียงอันกึกก้อง
.