ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1969 คุณชายรองเมิ่ง
เจ้าตำหนักเมิ่งกล่าวว่า “แม่นางมู่โปรดวางใจ ข้าจะต้องเชิญเจ้าสำนักฉู่มาอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นงานแต่งงานของลูกสาวข้า ข้าไม่ทำอย่างลวก ๆ อยู่แล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่มันใช่เลยล่ะ”
เมิ่งเสี่ยวชิงกล่าวว่า “แม่นางมู่ ตอนนี้ท่านปล่อยท่านพี่สี่ของข้าได้หรือไม่ ตอนนี้ท่านพี่สี่ของข้าคงจะทรมานมากแล้ว”
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว!”
มู่เฉียนซีเก็บพัดวิหคเฟิงหลิงและถอยหลังออกมา แต่ทว่าในเวลานี้เอง แววตาของเมิ่งเสี้ยวก็ส่องประกายชั่วร้ายออกมา จากนั้นเขาก็พุ่งตรงไปหามู่เฉียนซีด้วยมือข้างหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยพลังสีดำนั่น
“มู่เฉินซี เจ้าตายไปซะเถอะ!”
ในตอนที่เขากำลังลงมือนั้น เสี่ยวโม่โม่ที่ไม่ได้อ่อนแอ ก็ได้ใช้เพลิงหงส์อมตะแห่งความมืดกลืนกินคนทั้งคนเข้าไปเช่นกัน
เสี่ยวโม่โม่กล่าวอย่างโมโหเป็นอย่างมาก “รังแกเจ้านายของข้า คนที่สมควรตายมันคือเจ้าต่างหาก”
“อ๊ากกก!” เปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวนั้นทำให้เมิ่งเสี้ยวเจ็บปวดเป็นอย่างมาก และเปลวเพลิงที่เต็มไปด้วยพลังของเพลิงหงส์อมตะนี้ ก็เป็นสิ่งที่เมิ่งเสี้ยวไม่สามารถต่อต้านได้
ในเวลานี้ เจ้าตระกูลเมิ่งได้เริ่มลงมือแล้ว นางใช้พลังเย็นเยือกผนึกเปลวเพลิงนี้ลงไป และทุกคนต่างจ้องมองไปที่เจ้าตำหนักเมิ่งอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
เจ้าตำหนักเมิ่งดูเป็นคนที่อายุน้อยมาก แต่ทันทีที่นางลงมือกลับทำให้ทุกคนต่างรู้สึกถึงความล้ำลึกของนาง ผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งมาก และเป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งเลยทีเดียว
เจ้าตำหนักเมิ่งโบกมือพลางกล่าวว่า “พาคุณชายสีไปพักซะ”
นางกล่าวกับทุกคนอย่างสุภาพว่า “ทางข้ามีเรื่องเล็กน้อย คงต้องขอตัวก่อน หากทุกท่านอยากที่จะเที่ยวชมตำหนักเทพวิญญาณหลับใหล สามารถให้คนของข้านำทางได้ ถึงอย่างไรเสียพืชที่ปลูกไว้ที่บ้านพักวิญญาณหลับใหลของพวกเราต่างก็เป็นสิ่งที่พวกเราเอาไว้ฝึกฝนเป็นหลักทั้งนั้น ซึ่งมันสามารถทำให้คนตกเข้าสู่ห้วงนิทราได้ และคนธรรมดาก็ไม่สามารถทนไหวอีกด้วย”
ทุกคนก็กล่าวอย่างมีน้ำใจมากเช่นกัน “เจ้าตำหนักเมิ่งไปทำธุระเถอะ!”
“พวกเราไม่ได้อยากที่เดินเล่นไปทั่วหรอก ไม่อยากรบกวนท่านเจ้าตำหนักแล้ว”
“…”
ดอกไม้ที่ไม่รู้จักชื่อมากมายภายในนี้สามารถล่อลวงในตกสู่ห้วงนิทราได้ และยังทำให้คนจมลึกลงอยู่ภายในนั้น แม้ว่าจะมีคนของตำหนักเทพวิญญาณหลับใหลคอนนำทาง พวกเขาก็ไม่อยากที่จะเสี่ยงอันตรายเช่นนี้อยู่ดี
ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปหมดแล้ว มู่เฉียนซีเดินตรงไปหยุดอยู่ข้างหน้าของเมิ่งเสี่ยวชิงพลางกล่าวว่า “ว่าที่เจ้าสาวเจ้าจะไม่ให้ข้าเจอศิษย์พี่ของข้าจริงๆอย่างนั้นหรือ?”
เมิ่งเสี่ยวชิงกล่าวว่า “รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม แม่นางมู่จะต้องได้พบอย่างแน่นอน”
“ขอตัวก่อน!” เมิ่งเสี่ยวชิงติดตามแม่ของนางเดินจากไปเช่นกัน
เหลิ่งหนิงจือกล่าวว่า “นายท่าน ตำหนักเทพวิญญาณหลับใหลแห่งนี้เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดทุกหนทุกแห่ง พวกเราจะไปกันต่อ หรือว่าจะกลับไป และคิดหาทางอื่นกันก่อน”
“แน่นอนว่าต้องไปเดินเล่นต่ออยู่แล้ว ทิวทัศน์ภายในนี้สวยงามถึงเพียงนี้ ไม่เดินเล่นก็เสียดายแย่” มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“คราวนี้พวกเจ้าก็ระมัดระวังด้วย อย่าให้โดนโจมตีได้อีกล่ะ!”
“เจ้าค่ะ!”
ตำหนักเทพวิญญาณหลับใหลกว้างใหญ่มาก แต่หลังจากที่มู่เฉียนซีเดินวนไปแล้วรอบหนึ่งก็ยังคงไม่มีเบาะแสอะไรอยู่ดี
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
“เจ้าค่ะ!”
“กลับไปแล้วหรือ คิดไม่ถึงเลยว่ามู่เฉินซีจะยอมแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ข้าไม่เชื่อหรอก คืนนี้นางจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน แจ้งพี่รอง บอกให้เขาทำให้มู่เฉินซีหายสาปสูญไปโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เพื่อแก้แค้นให้พี่สี่เสีย” เมิ่งเสี่ยวชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ขอรับ นายหญิงน้อย!”
แน่นอนว่ามู่เฉียนซีไม่มีทางยอมแพ้อยู่แล้ว ตอนค่ำมู่เฉียนซีได้ให้เหลิ่งหนิงจือพาหุ่นเชิดผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุด พุ่งทะยานออกไปด้วยความรวดเร็ว
ระหว่างวันเป็นเพียงแค่การสำรวจเส้นทางเท่านั้น ตอนค่ำต่างหากถึงเป็นการเคลื่อนไหวที่แท้จริง
มู่เฉียนซีส่งกระแสจิตกล่าวกับพิฆาตวิญญาณว่า “พิฆาตวิญญาณ เจ้าบอกว่าศิษย์พี่ของข้าน่าจะถูกขังไว้ที่ใดนะ?”
“ข้าปราถนาเป็นอย่างยิ่งให้เจ้าหมอนั่นแต่งงานไปเสีย และไม่อยากให้ที่รักหาเขาเจอเลยสักนิด ดังนั้นเรื่องนี้ข้าคงช่วยเหลือเจ้าไม่ได้ ที่รักค่อยๆหาไปเถอะ!” พิฆาตวิญญาณกล่าวตอบ
“ได้ เช่นนั้นข้าหาเองก็ได้” มู่เฉียนซีกล่าว
พิฆาตวิญญาณกล่าวอย่างแห้งเหี่ยวเล็กน้อยว่า “ลูกแมวน้อย เจ้าจะไม่ขอร้องข้าสักหน่อยหรือ? แค่เจ้าของร้องข้า บางทีข้าอาจจะใจอ่อนก็ได้นะ”
มู่เฉียนซีกล่าวตอบว่า “ข้าไม่สามารถพึ่งพาพวกเจ้าได้ตลอดเวลาเช่นกัน”
ในตอนที่กำลังพุ่งทะยานผ่านตำหนักเทพวิญญาณหลับใหล ก็มีสถานที่หลายแห่งที่มีค่ายกลที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และมู่เฉียนซีก็เตรียมที่จะเข้าไปให้ลึกกว่านี้
นางหลบหลีกค่ายกลเข้าไป และทันใดนั้นมู่เฉียนซีก็สัมผัสได้ถึงพลังที่แปลกประหลาดบางอย่าง
“มู่เฉินซี ในที่สุดเจ้าก็มาถึงแล้ว เจ้านี่ช่างมาช้าเสียจริงๆเลย!”
ร่างเงาหลายร่างเดินออกมาจากความมืด แววตาที่เย็นชาของพวกเขาจ้องมองไปที่ร่างของมู่เฉียนซี “เจ้าไม่รู้หรือว่า ห้ามบุกเข้าไปในบ้านของคนอื่นอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าน่ะ?”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “พวกเจ้ากักขังคนที่ไม่ควรขังเอาไว้ หรือว่าปล่อยให้ข้าหาคนไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ?”
“พรสวรรค์ไม่เลว อารมณ์ก็รุนแรง หากเจ้ายอมกลายมาเป็นอนุภรรยาของข้า ข้าก็จะไปอ้อนวอนท่านแม่ ให้ไว้ชีวิตของเจ้า ดีหรือไม่?”
“ข้าว่าเจ้ารนหาที่ตายมากกว่า!” มู่เฉียนซีลงมืออย่างกะทันหัน พัดวิหคเฟิงหลิงโจมตีเข้าไปที่ต้นคอของเขา
“ข้าได้เคยให้โอกาสเจ้าแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่คว้าโอกาสนี้เอาไว้ เช่นนั้นข้าคงไม่อาจเป็นบุรุษที่ต้องทะนุถนอมสาวงามได้อีกแล้ว”
พลังสีดำสนิท ปกคลุมทั่วทั้งร่างกายของเขาเอาไว้
ที่นี่ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาสามารถที่จะใช้พลังอันน่าไร้ยางอายนี้ได้ พลังนี้พัดโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง และดูเหมือนว่ามันต้องการที่จะกลืนกินคนเข้าไปให้ได้
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เสี่ยวโม่โม่ เผาทำลายพลังสีดำเหล่านั้นไปซะ”
“ลงมือได้ จัดการเจ้าสัตว์เทพหงส์ตัวนั้นซะ”
“เจ้าคิดว่าผู้หญิงอย่างข้าอ่อนแออย่างนั้นหรือ?” เหลิ่งหนิงจือโพล่งออกมา และปล่อยหุ่นเชิดสกัดกั้นพวกเขาเอาไว้
“ตูมม!” ทั้งสองฝ่ายเข้าต่อสู้กัน และพลังก็เข้าปะทะกันอย่างบ้าคลั่ง
เพียงแต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ภายในค่ายกล จึงไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากเกินไปนัก
“ยัยเด็กน้อย ไปตายซะเถอะ!” แขนคู่หนึ่งที่ถูกพลังสีดำปกคลุมเอาไว้ ได้กลายเป็นแขนที่มีขนาดใหญ่กว่าธรรมดาถึงสามเท่า กรงเล็บที่เปลี่ยนเป็นแข็งแรงขึ้น พุ่งเข้ามาหมายจะคว้ามู่เฉียนซีเอาไว้
ร่างสีม่วงสว่างวาบ และมู่เฉียนซีก็หลบหลีกการโจมตีของเขา นางกล่าวว่า “การโจมตีนี้ของเจ้ามมันช้าเกินไปหน่อยนะ”
คุณชายรองเมิ่งจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยความโกรธเกรี้ยว และพัดวิหคเฟิงหลิงก็ระเบิดการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
“ตูมมม!” พรรณพืชที่อยู่โดยรอบ ถูกเผาทำลายในพริบตา
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ในอันดับที่เท่าไรของตระกูลเมิ่ง เพียงแต่วันนี้เมิ่งเสี้ยวคุณชายสี่เมิ่งคนนั้นต่างก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เจ้ายังรีบมาตายเพื่อน้องสาวของเจ้าอีก ช่างมีความกล้าหาญมากเสียจริงๆ!”
คุณชายรองเมิ่งกล่าวว่า “เจ้าอย่าดูถูกข้ามากเกินไปนักเลย”
พลังของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนไต่ระดับขึ้นไปถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตสูงสุดเลยทีเดียว
“ข้าคือพี่รองของเมิ่งเสี้ยว มีความแข็งแกร่งกว่าเจ้าขยะนั่นมากนัก วันนี้ข้าไม่เพียงแต่เอาชนะเจ้าเท่านั้น แต่ยังต้องการทำให้เจ้ากลายเป็นคนพิการด้วยตนเอง และให้เจ้ากลายมาเป็นทาสของข้าเสีย”
“ฝันกลางวันรึ!” มู่เฉียนซีโพล่งคำเหล่านี้ออกมาอย่างเย็นชา และทักษะวิญญาณธาตุวายุก็ผนึกรวมอาวุธลับเพื่อโจมตีไปทางคุณชายรองเมิ่ง
“พลังวายุทำลาย จันทราหนาวเหน็บ!”
“พลังวายุทำลาย ดับสูญ!”
พลังปีศาจนั้นสกัดกันการโจมตีจากธาตุวายุของมู่เฉียนซีราวกับกำแพงเหล็กอันทรงอานุภาพที่กลายมาเป็นฉากกันอย่างไรอย่างนั้น และแน่นอนว่าเขาก็ไม่สามารถทำอะไรมู่เฉียนซีได้เช่นกัน
“คิดว่ามีความเร็วแล้วข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้เลยจริงๆอย่างนั้นหรือ?” เขาหยิบเอาอาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่งออกมา ซึ่งนั้นก็คือมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์แม่นยำที่มาช่วยเสริมพลัง และสิ่งที่มาช่วยเสริมนั้นก็คือความเร็วนั่นเอง
“ข้ามีความเร็วของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ในครอบครอง ในตอนนี้ มาดูซิว่าเจ้าจะหนีได้อย่างไร?” คุณชายรองเมิ่งกล่าวพลางแสยะยิ้ม
การลงมือของเมิ่งเสี้ยวในวันนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นคือการบีบบังคับเพื่อตรวจสอบความล้ำลึกของมู่เฉียนซีโดยเฉพาะนั่นเอง
ตอนนี้คุณชายรองเมิ่งได้สัมผัสมู่เฉียนซีที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจนแล้ว ดังนั้นการเคลื่อนไหวในคืนนี้ จึงเป็นแผนการในการต่อสู้ที่ทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว